Skip to main content
จำได้หรือไม่กับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกของอังกฤษเมื่อปี 2012 ที่มีภาพยนตร์สั้น ซึ่งสร้างความประหลาดใจและความประทับใจให้กับคนดูทั่วโลกอย่างมาก เมื่อเจมส์ บอนด์ (แสดงโดย ดาเนียล เครก) ได้เดินทางไปถวายการอารักขาให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (แสดงโดยพระองค์จริง) ที่พระราชวังบักกิงแฮมก่อนจะเสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์ไปทำพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่สนามกีฬาโอลิมปิกสเตเดียม กรุงลอนดอน และเพลงคลาสสิกซึ่งถูกบรรเลงคลอไปด้วยอันสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับภาพยนตร์ของแดนนี บอยด์อย่างมากคือเพลง The Arrival of the Queen of Sheba ซึ่งถูกแต่งโดยคีตกวีที่เราจะกล่าวถึงในบทความนี้นั่นคือ George Frideric Handel (จอร์จ ฟรีเดริก แฮนเดิล) ผู้ถือได้ว่าเป็น ยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งของดนตรียุคบาร็อค (Baroque)  และเป็นผู้สร้างสรรค์ความอลังการและความหรูหราให้กับราชสำนักของอังกฤษที่ยืมดนตรีของเขามาใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ มาหลายศตวรรษ หรือแม้แต่สื่อไม่ว่าละครหรือภาพยนตร์ในปัจจุบันก็ยืมเพลงของแฮนเดิลมาใช้กับภาพยนตร์ย้อนยุคของอังกฤษหรือประเทศอื่นในยุโรปอันทำให้ผู้ชมได้อารมณ์ของชนชั้นสูงในสมัยนั้นอย่างมาก 
 
แม้ดนตรีของแฮนเดิลยังยิ่งใหญ่ไม่เท่าโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค คีตกวีในยุคเดียวกัน แต่เขาก็มีอิทธิพลต่อคตีกวียุคหลังอย่างเช่นโมซาร์ทและเบโธเฟนอย่างมาก เบโธเฟนถึงกลับกล่าวว่า
 
"แฮนเดิลเป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าเคยมีมา ผมจะขอเปิดหมวกและจะคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพของเขา"
 
 
                                      
                                                 ภาพโดย  www.hoasm.org
 
 
แฮนเดิลมีพื้นเพเดิมเป็นคนเยอรมัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 1685 ปีเดียวกับบาค ณ เมืองฮัลเล ประเทศเยอรมันในปัจจุบัน บ้านของแฮนเดิลห่างจากบ้านเกิดของบาคเพียง 50 ไมล์ แต่ดูเหมือนคนทั้งคู่จะไม่เคยเจอกันเลยตลอดชีวิต บิดาของแฮนเดิลเป็นนายแพทย์ประจำราชสำนักแซกเซ ไวนเซนเฟลส์  ในวัยเด็กเขาก็เหมือนกับคีตกวีทั่วไปที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเปี่ยมล้น แต่บิดาเขาประสงค์จะให้เขาเรียนทางกฏหมายมากกว่า แฮนเดิลก็แสดงความดื้อด้านจนบิดาต้องยอมให้แฮนเดิลไปเรียนดนตรีกับฟรีดริช ซาโชว์นักประพันธ์และนักเล่นออร์แกนประจำเมืองเป็นเวลา 3 ปี 
 
ต่อมาอาจจะนึกเกรงใจบิดาขึ้นมาหรือไม่ค่อยประสบความสำเร็จในอาชีพดนตรีช่วงต้นๆ แฮนเดิลก็เลยเข้ามหาวิทยาลัยฮัลเล เพื่อเรียนวิชากฎหมายในปี 1703 แต่บิดาได้ถึงแก่กรรมในปีถัดมา เขาจึงหันเหมาทางดนตรีที่ตัวเองรักสุดตัว โดยการเป็นนักเล่นออร์แกนในโบสถ์นิกาย คาล์วิน (นิกายย่อยของศาสนาคริสต์นิกายโปร์เตสแตนท์) อีกหนึ่งปีก็ย้ายไปเมืองฮัมบรูกเพื่อรับงานเป็นนักเล่นไวโอลินในโรงอุปรากร ในช่วงต้นของปี 1705 นี้เขาก็ได้เขียนอุปรากรสองเรื่องแรกคือ Almira และ Nero จากนั้นเขาก็ท่องเที่ยวและศึกษาดนตรีที่อิตาลีเป็นเวลา 4 ปี ณ ที่นั้นเขาได้พบกับ นักแต่งอุปรากรชื่อดังคืออาเลสเซอร์โดร สการ์เลตติ  ซึ่งมีอิทธิพลต่อเขาในเวลาต่อมา และในอิตาลีนี้เองที่เขาเขียนอุปรากรขึ้นมาหลายเรื่อง 
 
ปี 1712 แฮนเดิลเดินทางไปที่เกาะอังกฤษเพื่อตั้งรกรากเป็นการถาวร ต่อมาได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นอังกฤษ ดังนั้นชื่อที่เราคุ้นเคยกันจึงเป็นชื่อที่เปลี่ยนมาในภายหลัง จากชื่อเดิมในภาษาเยอรมันของเขาคือ Georg Friedrich Haendel แฮนเดิลมีผู้อุปถัมภ์องค์สำคัญคือพระเจ้าจอร์จที่ 1  ในอีก 3 ปีต่อต่อมาเขาได้แต่งเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Water Music เพื่อใช้ประกอบกระบวนพยุหยาตราชลมารคของพระองค์ทางแม่น้ำเทมส์ โดยมีนักดนตรี 50 คนบรรเลงเพลงบนเรือ ทำนองเพลงทั้งช้าและเร็วสลับกัน สร้างบรรยากาศอันเปี่ยมมนต์ขลังของราชวงศ์อังกฤษเป็นยิ่งนัก
 
 
                                       
 
                                                     ภาพจาก www.musicweb-international.com   
 
 
ปี 1917 แฮนเดิลได้เป็นหัวหน้ากลุ่มส่งเสริมอุปรากรที่ชื่อว่า Royal Academy of Music  (คนละคนกับสถาบันทางดนตรีชื่อเดียวกันซึ่งถูกก่อตั้งในปี 1822)  อันประกอบด้วยนักแต่งเพลงชาวอิตาลีเช่นอัตติลิโอ อาริโอสติและโจวานนี บาตติสตา โบนอนซินี วงนี้อยู่ได้ 9 ปีก็ถูกยุบ แต่เเฮนเดิลก็ยังคงเขียนอุปรากรภาษาอิตาลีต่อไปพร้อมๆ กับอุปรากรภาษาอังกฤษ มีอยู่หลายเรื่องที่ดังมากอย่างเช่น  Semele   Giulio Cesare และ Orlando สำหรับ อุปรากรเรื่อง Serse ซึ่งเกี่ยวข้องกับกษัตริย์เปอร์เซียนั้นไม่ประสบความสำเร็จนักแต่เพิ่งมาโด่งดังในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะเพลงร้องเดี่ยว (aria) ชื่อ Ombra mai fu ที่ร้องโดยนักร้องในยุคนั้นมักเป็นผู้ชายที่ถูกตอน (castrato) เพราะผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ขึ้นเวทีแสดง  
 
นอกจากนี้แฮนเดิลยังโด่งดังในด้านโอราโตริโอทั้ง 32 ชิ้นของเขา สำหรับโอราโตริโอ หรือ Oratorio คือการร้องทั้งเดี่ยวและคู่รวมถึงเป็นหมู่คณะพร้อมกับดนตรีเหมือนอุปรากรแต่แตกต่างจากอุปรากรตรงที่ไม่มีชุดแต่งกายและฉากหรือการแสดง ดังเช่น Samson (1743) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Messiah (1741) ซึ่งถือว่าเป็นงานที่โด่งดังที่สุดของแฮนเดิล  Messiah  หมายถึง "พระผู้มาโปรดโลก" บทเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นในปี 1741 ที่บ้านของแฮนเดิลเองกลางกรุงลอนดอน ในช่วงที่แฮนเดิลกำลังทุกข์ทรมานใจเพราะชื่อเสียงของตนกำลังตกต่ำ ผลงานของเขาโดยเฉพาะอุปรากรถูกโจมตีจากพระผู้ทรงอิทธิพลในคริสตจักรว่ามีเนื้อหาดูหมิ่นศาสนาเช่นเดียวกับโรงละครโคเวนท์การ์เดนที่เขาเป็นผู้อำนวยการก็ถูกกล่าวหามีแต่ผู้ชมที่ไร้เกียรติในสังคม
 
ผู้เขียนเนื้อร้องของเพลง Messiah คือชาร์ลส์ เจนเนนส์ได้นำเนื้อหามาจากเนื้อพระคัมภีร์ทั้งพันธสัญญาเดิมและใหม่ งานสามารถแบ่งเป็น 3  ส่วนที่บรรยายชีวิตของพระเยซูคริสต์ ส่วนแรกนั้นเกี่ยวข้องกับตอนที่พระองค์ประสูติ ส่วนที่ 2 บรรยายถึงความทุกข์ทรมาณของพระเยซูขณะถูกตรึงกางเขน การฟื้นกลับมาและการกลับสู่สวรรค์ และการเผยแพร่คำสอนของพระองค์ ส่วนที่ 3 นั้นบรรยายถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระวิวรณ์ที่มีต่อเซนต์จอห์น บทเพลงย่อยในออราโตริโอบทนี้ที่ได้รับความนิยมได้แก่ 
 
 
For Unto Us a Child Is Born
 
Rejoice Greatly, O Daughter of Zion
 
I Know That My Redeemer Liveth 
 
Behold the Lamb of God
 
The Trumpet Shall Sound
 
All we like sheep 
 
Hallelujah
 
ฯลฯ
 
Messiah ถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิตปี 1742 ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตการกุศลในนิวส์มิวสิกฮอลล์ กรุงดับบลิน ไอร์แลนด์จนประสบความสำเร็จอย่างสูง ออราโตริโอชิ้นนี้จึงเป็นงานที่ช่วยให้ชื่อเสียงและฐานะการเงินของแฮนเดิลกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง Messiah มักจะถูกแสดงในช่วงอาทิตย์ก่อนวันคริสตมาส และกลายเป็นเพลงร้องประสานเสียงได้ที่นิยมมากที่สุดของโลกตะวันตกจนถึงทุกวันนี้ ผลงานที่พอจะเทียบเคียงได้ก็มี Christmas Oratorio ของบาค  
 
เป็นเรื่องน่าสนใจว่า ขณะดนตรีแสดงตอน Hallelujah  พระเจ้าจอร์จที่ 2 ก็ทรงยืนขึ้นเพราะความซาบซึ้งพระทัย ทำให้คนอื่นในโรงละครที่กำลังแสดงคอนเสิร์ตก็ต้องลุกตามจนกลายเป็นประเพณีสืบมาว่าเมื่อดนตรีเล่นถึงตอนนี้แล้วคนดูจะต้องลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอีกว่าจริงๆ แล้วการที่พระเจ้าจอร์จทรงลุกขึ้นเพราะความซาบซึ้งพระทัยหรือว่ายืนเพราะเสด็จมาสายหรือว่าพระองค์เพียงต้องการถวายความเคารพต่อพระเจ้าหรือพระองค์ทรงเป็นโรคเก๊าท์จึงต้องลุกเพื่อให้อาการเจ็บทุเลาลง อันนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่การยืนเช่นนี้ก็กลายเป็นประเพณีสืบมาหลายร้อยปี สำหรับแฮนเดิลมักจะเล่นเพลงนี้อยู่เสมอในช่วงบั้นปลายของชีวิตเพราะสามารถใช้หากินได้ตลอด
 
 
                                            
 
                                                       ภาพจาก  www.amazon.com
 
ก่อนหน้านี้ แฮนเดิลยังผลิตงานอันยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมอังกฤษคือ Zadok the Priest (1727)  ซึ่งเขาแต่งถวายให้งานพิธีราชาภิเศกของพระเจ้าจอร์จที่ 2 ซึ่งจะกลายเป็นเพลงประกอบพิธีเช่นนี้ของราชสำนักอังกฤษจนถึงปัจจุบัน  กระนั้นเราจะมองข้ามผลงานชื่อดังอีกชิ้นของเฮนเดิลไปไม่ได้เป็นอันขาดนั้นคือเพลง Fireworks Music (1749) ที่พระเจ้าจอร์จทรงรับสั่งให้เขาเขียนประกอบการเล่นดอกไม้ไฟที่กรีนปาร์คในกรุงลอนดอนเพื่อเป็นการฉลองการสิ้นสุดของสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย (Austrian Succession)  และการลงนามในสัญญาแอกซ์ ลา ชาแปล ( Aix-la-Chapelle) กระนั้นการซ้อมและการแสดงไม่ค่อยราบรื่นนักเพราะมีอุบัติเหตุและความคับคั่งของการจราจรด้วยผู้คนแห่กันมาดูเป็นจำนวนมาก
 
แฮนเดิลก็เหมือนเบโธเฟนและบาร์มส์ที่ไม่เคยแต่งงานจนตลอดชีวิต (ตรงกันข้ามกับบาคที่มีลูกถึง 13 คน) ช่วงท้ายๆ ของชีวิตเขาผกผันคือมีทั้งขาดทุนและประสบความสำเร็จ แต่แล้วตัวเองก็พบกับปัญหาสุขภาพตาเริ่มพล่ามัวจนบอดเพราะโรคต้อกระจก เขาเสียชีวิตในวันที่ 14 เมษายน ปี 1759 ศพถูกฝังที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ มีผู้เข้าร่วมงานศพมากกว่า 3,000 คน อันสะท้อนถึงความนิยมของคนอังกฤษที่มีต่อแฮนเดิลอย่างไม่เสื่อมคลาย
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
(เรื่องสั้นสยองขวัญภาษาอังกฤษเรื่องนี้ลอกมาจากเรื่องสั้นของราชาเรื่องสยองขวัญของเมืองไทย ครูเหม เวชากร ตัวเอกคือนายทองคำ เด็กกำพร้าอายุ 12 ขวบที่อาศัยอยู่กับยายและญาติในชนบทของไทยในช่วงเวลาประมาณ พ.ศ.2476)
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
The lingering sunlight from the dawn kissed my eyelids and I could hear faintly the flock of big birds, whose breed was unbeknownst to me, chirping merrily outside window ,as if to greet the exuberant face of a new day.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นวนิยายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับนักเขียนวัยกลางคนที่มีความหลังอันดำมืดและความสัมพันธ์กับดาราสาวผู้มีพลังจิต 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เรื่องของรปภ.หนุ่มผู้ค้นหาภูติผีปีศาจในตึกที่ลือกันว่าเฮี้ยนที่สุด  เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากรายการ The Ghost Radio(the altered version)
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เรื่องของผู้ชาย 3 คนที่ขับรถบรรทุกแล้วต้องเผชิญกับผีดูดเลือด 3 Friends and The Ghosts                                                (1)
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
This short novel is about a guy who works as a DJ for the radio program 'The Spook Radio', famous for its allowing audience to share their thrilling experiences or tales about the superstitious stuffs, especially the ghosts, via telephones.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นวนิยายภาษาอังกฤษเรื่องนี้เกี่ยวกับคนไทยที่ใช้ชีวิตในเยอรมันช่วงพรรคนาซีเรืองอำนาจ  เขียนยังไม่จบและยังไม่มีการ proofreading แต่ประการใด                     Chapter 1  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความนี้มาจาก facebook  Atthasit Muangin สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มหาศาสดาผู้ลี้ภัยอยู่ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ในฐานะเป็นเอตทัคคะหรือผู้เป็นเลิศในเรื่องเจ้า (The royal affairs expert)  พบกับการวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีอย่างมากมายจากบรรดาแฟนคลับหรือคนที่แวะเข้ามาในเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 (มีบทความอื่นอีกมากมายในเฟซบุ๊คของผมคือ Atthasit Muang-in) 1.สลิ่มไม่ชอบอเมริกาและตะวันตกซึ่งคว่ำบาตรและมักท้วงติงไทยหลังรัฐประหารปี 2557  ในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยพวกสลิ่มเห็นว่าทั้งสองฝ่ายเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกเช่นเคยบุกประเทศอื่น
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตัวละครบางตัวได้แรงบันดาลใจมาจากอิ๊กคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา The Abbot and The Noble           (1) In our village , Abbot Akisada was enormously respected by most of our
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เรื่องความแค้นของผีตายทั้งกลม This (real) horror short story is partly inspired by the ghost tale told by the popular YouTuber like Ajarn Yod. Or it is in fact from the amateurish storytellers participating in Ghost Radio or The Shock more or less.