Skip to main content

จะเขียนเรื่อง closed caption หลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เขียนเสียที (เหมือนกับอีกอื่นร้อยสิ่งอย่างที่ยังไม่ได้ทำ) วันนี้ขอเขียนเร็วๆ แบบเท่าที่นึกออก ไม่มีอ้างอิงอะไรใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่งั้นจะไม่ได้เขียนซะที)

คำนี้ได้ยินกันบ่อยในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เพราะถูกพูดถึงในบริบทของการประมูลความถี่ทีวีดิจิทัล
 
กสทช.นี่ตั้งแต่ตั้งขึ้นมาก็เป็นองค์กรที่ไม่ว่าจะขยับอะไรคนก็สนใจไปหมด ส่วนหนึ่งก็เพราะมันสำคัญ เป็นทรัพยากรสาธารณะที่มีจำกัด เป็นเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารที่ยุคนี้มันสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่า เป็นเพราะมันเป็นองค์กรที่มีและเกี่ยวข้องกะเงินเยอะน่ะ
 
จริงๆ เราทุกคนใกล้ชิดกับ closed caption มาอย่างไม่รู้ตัว สัญลักษณ์ [CC] ใน YouTube ที่กดไปแล้วจะเห็นคำบรรยาย นั่นก็ย่อมาจาก closed caption นี่แหละ
 
closed caption ไม่เหมือนกับ subtitle เสียทีเดียว
 
สมมติว่าเป็นหนังละกัน subtitle นั้นจะมีคำบรรยายเฉพาะคำพูดของตัวละคร
 
ในขณะที่ closed caption จะบรรยายละเอียดกว่า เช่นว่า มีเสียงเดินลากเท้า มีเสียงดนตรีบรรเลงจากไกลๆ ตัวละครกำลังกระซิบอยู่ มีเสียงกรีดร้อง มีเสียงคลื่น อะไรแบบนี้เป็นต้น
 
พูดอีกอย่างคือ ในการทำ subtitle นั้น คนทำมีสมมติฐานว่าผู้ชมยังได้ยินเสียงอยู่ แต่อาจต้องการคำบรรยายเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เช่นอาจจะไม่รู้ภาษา หรือฟังสำเนียงไม่ถนัด
 
ส่วนสมมติฐานของการทำ closed caption คือ ผู้ชมนั้นไม่สามารถได้ยินเสียงเลย จึงจำเป็นต้องบรรยายทุกอย่างที่สำคัญกับเรื่อง
 
อย่างไรก็ตาม เวลาบอกว่า "ผู้ชมไม่สามารถไม่ได้ยินเสียง" นั้นไม่ได้แปลว่าผู้ชมมีปัญหาทางการได้ยินหรือหูหนวก
 
ผู้ชมอาจจะเป็นคนธรรมดาทั่วไปนี่แหละ แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดัง มีเสียงรบกวน หรือไม่สามารถใช้เสียงได้ (เปิดเสียงจากทีวีไม่ได้) คำบรรยายบนจอจึงมาทดแทน
 
ใครเคยดูทีวีในผับหรือในสถานที่สาธารณะ อย่างท่ารถ สนามบิน อะไรพวกนี้คงพอนึกออก เราแทบไม่ได้ยินเสียงเลย ถ้ามีตัวอักษรคำบรรยายให้อ่าน มันก็ดีกว่าแน่ และสำหรับคนที่อาจจะไม่ถนัดภาษาไทยนัก ฟังเร็วๆ ไม่ทัน การมีคำบรรยายก็ย่อมช่วยได้มาก ไหนๆ จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกันแล้วครับ
 
closed caption จึงไม่ใช่ "เทคโนโลยีสำหรับคนพิการ" อย่างที่หลายคนเข้าใจ (ซึ่งก็คงโทษเขาไม่ได้ เพราะกลุ่มคนที่ผลักดันเรื่อง closed caption อย่างจริงจังในเมืองไทยนั้นมาจากกลุ่มผู้มีปัญหาทางการได้ยินหรือสมาคมที่เกี่ยวกับคนพิการเป็นหลัก) 
 
closed caption เป็นเทคโนโลยีสำหรับคนทั่วๆ ไปนี่แหละ ชีวิตคนเราย่อมมีโอกาสไปอยู่ในสถานการณ์หลากหลาย ใช้เสียงได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือมีอะไรบางอย่างทำให้ความสามารถในการได้ยินของเราหายไปชั่วคราว
 
คำว่า close ใน closed caption นั้นบอกความหมายว่า ถ้าผู้ชมไม่ต้องการ ก็สามารถสั่งปิดได้ (softsub) แต่ถ้าเป็นกรณี open caption / open subtitle / hard sub แบบนี้จะสั่งปิดไม่ได้ คือตัวอักษรนั้นฝังมากับตัวภาพเลย เหมือนเวลาเราไปดูหนังในโรง หรือซื้อแผ่นวีซีดีรุ่นเก่าๆ ที่คำบรรยายกับภาพวิดีโอมันไม่ได้แยกกัน ใครที่โหลดหนังทางเน็ตบ่อยๆ คงพอนึกออก หนังบางเรื่องคำบรรยายจะฝังมา บางเรื่องต้องไปหาโหลดไฟล์คำบรรยายต่างหากแล้วค่อยเอามาเปิดรวมกัน
 
ข้อดีอันหนึ่งของแบบ open ก็คือ เนื่องจากมันฝังมาในภาพเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์อะไรพิเศษ แต่ข้อเสียใหญ่โตก็คือ มันไม่ยืดหยุ่น ถ้าจะให้มีหลายๆ ภาษาอันนี้ก็ลำบากละไม่รู้ต้องทำกี่บรรทัด หรือถ้าอยากปรับให้ตัวอักษรใหญ่ขึ้นก็ไม่ได้
 
caption แบบ closed มันดีกว่า open ในเรื่องความยืดหยุ่นนี้ และเปิดโอกาสให้คนทำภาพกับทำคำบรรยาย ทำแยกกันได้ แต่ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่รองรับด้วย ไม่งั้นก็แสดงผลไม่ได้ ดังนั้นเพื่อรับรองสิทธิของผู้รับสื่อใช้สื่อ กสทช.ก็เลยกำหนดให้ผู้แพร่ภาพ ผู้ผลิตกล่องรับสัญญาณ ต้องรองรับ closed caption กำหนดอันนี้ลงเป็นเงื่อนไขในการพิจารณารับใบอนุญาต
 
เขียนๆ มาไม่ใช่อะไรน่ะครับ แค่อยากให้มองตัวเทคโนโลยีนี้ว่ามันมีประโยชน์กับทุกคน อย่าไปกรอบให้มันเป็นเทคโนโลยีสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม อย่างที่ได้อธิบายไปข้างบนแล้ว
 
และประโยชน์อีกอย่างที่สำคัญของ closed caption ในยุคนี้คือ ถ้าสามารถบังคับให้ผู้แพร่ภาพ ทำคำบรรยายสำหรับ closed caption ได้จริงๆ นี่จะเป็นประโยชน์มากในการค้นหาเนื้อหาย้อนหลังครับ เพราะเนื้อหาที่เดิมเป็นเสียงจะถูกถอดออกมาเป็นข้อความทั้งหมด
 
เทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงนั้นยังไม่แพร่หลายมาก แต่เทคโนโลยีการค้นหาด้วยข้อความนั้นมีใช้กันทั่วไปแล้ว ลองคิดดูว่าในอนาคต เมื่อเรามี closed caption สำหรับทุกรายการ นั่นก็แปลว่าเรามีฐานข้อมูลถอดคำพูดคำบรรยายของทุกรายการเช่นกัน แปลว่าเราสามารถค้นหาทำนองเดียวกะค้นเน็ตได้ว่า ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 2556 ในรายการข่าวภาคคำของช่อง XXXX มีพูดคำว่า "เลือกตั้งกทม." กี่คำ
 
สิ่งนี้จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังเป็นไปได้มากขึ้น และการศึกษาวิจัยเรื่องสื่อจะมีเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาช่วยอีกเยอะ
 
"ภาษาเขียน" ที่ closed caption นำเสนอจึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะสำหรับคนพิการ แต่สำหรับทุกคน (man) ทุกคนในสังคมพหุภาษา จะไทยกลาง อิสาน คำเมือง อังกฤษ จีน อะไรก็แล้วแต่ และมันยังเป็นภาษาสำหรับเครื่อง (machine) อีกด้วย เป็นภาษาเขียนที่ทำให้คอมพิวเตอร์มันประมวลผลทำดัชนีค้นหาให้เราได้ ยุคนี้ถ้าข้อมูลอะไรอ่านด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้ ก็มีประโยชน์โดยเปรียบเทียบน้อยลงไปมาก
 
การกำหนดมาตรฐาน closed caption อย่างระมัดระวังและบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวตลอดทางตั้งแต่ต้นทางคือผู้แพร่ภาพไปจนถึงปลายทางคือตัวเครื่องรับสัญญาณและตัวโทรทัศน์ จึงเป็นการมองไปข้างหน้าจริงๆ ขอเชียร์กสทช.ในเรื่องนี้ครับ
 
----
 
เติม: หน้าเว็บนี้ที่ HowStuffWorks ดีนะ สั้นๆ แต่น่าจะพูดเรื่องที่ควรรู้ไว้หมด (มั๊ง)
 
EIA/CEA-708 เป็นมาตรฐาน closed caption สำหรับทีวีดิจิทัลในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
 
ส่วนวิดีโอออนไลน์ FCC ให้ใช้มาตรฐาน SMPTE Timed Text (ST 2052) เพื่อจัดทำ closed caption ให้ตรงตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย 21st Century Communications and Video Accessibility Act 
 
 
 
 

บล็อกของ bact

bact
18 กันยายน 2014 วันลงคะแนนประชามติ ว่าสกอตแลนด์จะเป็นประเทศอิสระหรือไม่
bact
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง การลงประชามติเพื่อตัดสินใจอนาคตของสกอตแลนด์ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว วันนี้ผมมาอยู่ที่เอดินบะระ เมืองหลวงของสกอตแลนด์
bact
ความโกลาหลหรืองานฉลองในระยะสั้น จะเสียโอกาสกันทั้งหมดหรือเป็นประตูสู่ความรุ่งโรจน์ของชาติต่างๆ ที่เคยอยู่ร่วมสหราชอาณาจักรด้วยกันในระยะยาว เป็นประเด็นถกเถียงไม่รู้จบทั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ และสื่อสังคมออนไลน์ แต่อย่างน้อยดูจะมีสิ่งหนึ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันก็คือ คนสกอตแลนด์มีสิทธิ
bact
วันนี้ได้อ่านเกี่ยวกับบริการของบริษัท FullContact ซึ่งเพิ่งไปซื้อกิจการบริษัท Cobook ผู้ผลิตโปรแกรมสมุดโทรศัพท์บนระบบปฏิบัติการ (Mac) OS X มาเมื่อปลายปีก่อน
bact
คนซานฟรานทนไม่ไหว บริษัทเทคโนโลยีบุก ทำบ้านแพง ขนส่งมวลชนพัง ผู้เช่าเดิมถูกไล่ ธุรกิจท้องถิ่นต้องปิดตัวTech workers vs. The rest of the City
bact
ข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกรุงลอนดอน "Man hugs driver of tipper truck that killed his cyclist girlfriend at King's Cross blackspot"&n
bact
ปีนี้เป็นปีแห่งความปวดหัวตึ๊บของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจริงๆ จากข่าวโครงการดักฟังดักรับข้อมูลต่างๆ ของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา (NSA) ที่นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เปิดโปงเมื่อกลางปี ตามมาด้วยกรณีละเมิดความเป็นส่วนตัวในการสื่อสารต่างๆ นานา จนทั้งองค์กรสิทธิทั่วโลก รวมทั้งสหประชาชาติต้องวิ่งวุ่น
bact
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (3 ก.ย. 2556) ไปงาน แผนแม่บทไอซีที ระยะที่ 3 ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำลังจัดทำสำหรับ พ.ศ.
bact
นักข่าวยุคอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เพียงทำข่าวและส่งข่าวผ่านเน็ต แต่จำเป็นต้องรู้จักประเด็นปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่นี้ด้วย เพื่อปกป้องทั้งตัวเองและแหล่งข่าวสัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับนักข่าวในกลุ่มอาเซียนจำนวนหนึ่งในงาน Fellowship ของ Southeast Asian Press Alliance (SEAPA) เรื่องความเป็นส่วนตัวในส่วนที่เกี่ยวกับงานข่าวประเด็นที่สำคัญตอนนี้ น่าจะเป็นเรื่อง metadata และข้อมูลที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งถ้าหลุดหรือจัดการไม่ดี ก็จะเป็นอันตรายต่อแหล่งข่าวหรือตัวนักข่าวเอง หรือพูดในบริบทที่กว้างขึ้น ก็รวมทั้งคนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ด้วยแหละ
bact
ความหมายของ “hate speech” หรือ “คำพูดแสดงความเกลียดชัง”/”คำชัง” นี่ ถ้าไม่จัดการมันให้แคบ จำกัด ชัดเจน และเคร่งครัด จะอันตรายมาก พูดอะไรไปสักอย่างนี่มันมีโอกาสไม่ถูกใจใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าใครๆ ก็อ้าง “hate speech” ได้ จิตใจฉันหวั่นไหว แล้วโวยต่อไปด้วยว่า อะไรที่เป็น “hate speech” จะต้องแบน เ
bact
จะเขียนเรื่อง closed caption หลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เขียนเสียที (เหมือนกับอีกอื่นร้อยสิ่งอย่างที่ยังไม่ได้ทำ) วันนี้ขอเขียนเร็วๆ แบบเท่าที่นึกออก ไม่มีอ้างอิงอะไรใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่งั้นจะไม่ได้เขียนซะที)