Skip to main content

นายยืนยง

 

ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย

ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย

ผู้แปล : ธนพัฒน์

ประเภท : เรื่องสั้นแปล

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535

 

ในวรรณกรรมหลายเรื่องมีการกล่าวถึงเซ็กส์ในหลายรูปแบบ และหลายเจตนารมต่างกันออกไป และเซ็กส์ในเจตนารมของนักเขียนแต่ละคนก็เป็นเซ็กส์ที่เดินทางมาพร้อมกับความหมาย มีนัยยะสะท้อนไปทั่วทิศทาง ตั้งแต่เซ็กส์ที่มีนัยยะไปถึงเรื่องการเมือง เรื่องการกดขี่ทางเพศ เรื่องการแสวงหาตัวตนภายใน หรือแม้กระทั่งเซ็กส์ที่สะท้อนไปถึงนัยยะทางสังคม แต่เรื่องเซ็กส์เหล่านี้มักไม่มุ่งเน้นที่จะกระตุ้นทางกามารมณ์ และเรามักไม่ขนานนามวรรณกรรมที่กล่าวถึงเซ็กส์อันยอกย้อนซ่อนเงื่อนเหล่านี้ว่า วรรณกรรมแนวอีโรติก

 

คงไม่ต้องกล่าวถึงสังคมการอ่านแบบไทยที่มักเหมารวมเรื่องเซ็กส์ให้เป็นเรื่องลามก ไร้ศีลธรรม ต้องแอบอ่านหรือต้องกลายเป็นหนังสือต้องห้าม เนื่องจากเราจะมาดูกันว่า “เซ็กส์” ในวรรณกรรม โดยเฉพาะผลงานรวมเรื่องสั้น “คนรักผู้โชคร้าย” ของ อัลแบร์โต โมราเวีย เล่มนี้ จะสื่อไปถึงเจตนารมชนิดใด และเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร ที่เมื่อวรรณกรรมกล่าวถึงเซ็กส์และบทเข้าพระเข้านางแล้ว จะไม่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามตัวละครในเรื่องได้

 

ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องสั้นของโมราเวีย ขออ้างถึงทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ที่ได้มาจากหนังสือ

ลัทธิมาร์กซ์กับจิตวิเคราะห์” (Marxism and Psycho – Analysis) สีชมพู เป็นผุ้แปลและเรียบเรียง

เป็นหนังสือเก่าที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วลี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2524 ที่เขียนไว้ว่า

 

เนื้อหาหลักที่สำคัญประการหนึ่งของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ก็คือ เบื้องหลังความคิดและการกระทำทุกอย่างที่เราคิดว่ารู้สึกตัวนั้น แท้จริงแล้วล้วนแต่เป็นการทำงานของกระบวนการที่เราไม่สามารถจะรู้สึกตัว (Unconscious process) ซึ่งอยู่ในส่วนของจิตใจที่เราเรียกว่า “จิตใจระดับไร้สำนึก” นั่นเอง

 

ฟรอยด์อธิบายคุณลักษณะของจิตไร้สำนึกด้วยว่า จิตใจส่วนนี้เป็นแหล่งรวมของความรู้สึกต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในอดีต แล้วกลับถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นเรื่องที่เราไม่อาจจะรู้สึกตัวได้เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไป ด้วยเหตุนี้ฟรอยด์จึงให้น้ำหนักอย่างมากต่อกระบวนการของจิตไร้สำนึกว่า กระบวนการนี้มีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอม ดัดแปลงและมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำทั้งหลายที่อยู่ในระดับจิตสำนึกของคนเรา (สังเกตว่า ฟรอยด์ ใช้คำว่า “จิตใจระดับไร้สำนึก” โดยเลี่ยงไม่ใช้คำว่า “จิตใต้สำนึก” (sub-conscious) เพราะมันส่อถึงจิตใจบางส่วนโดยเฉพาะมากเกินไป และแสดงกิจกรรมทางสมองน้อยเกินไป—จากเชิงอรรถบทที่ 1ข้อ 4)

 

เราต่างรู้แล้วว่า ฟรอยด์ได้ให้น้ำหนักเนื้อหาของสัญชาตญาณทางเพศเป็นพิเศษ มากจนกระทั่งพูดได้ว่าทุกการกระทำและทุกพฤติกรรมของเราล้วนมีสาเหตุมาจากสัญชาตญาณทางเพศทั้งสิ้น ขณะที่ฟรอยด์ได้ให้ทฤษฎีไว้เช่นนั้นในฐานะนักวิชาการ อัลแบร์โต โมราเวีย ในฐานะนักเขียน เขาได้ใช้สัญชาตญาณทางเพศเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงยุคสมัยแห่งความไม่แยแส ที่แสดงให้เห็นถึงภาวะวิกฤตทางจิตวิญญาณของมนุษย์ในยุคสมัยของเขา

 

เรื่องสั้นทั้ง 5 เรื่องที่บรรจุในหนังสือเล่มนี้ ต่างแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมทางเพศที่มีจุดมุ่งหมายอย่างเลื่อนลอย เนื่องจากสอดร้อยเข้ากับจุดมุ่งหมายอันไร้แก่นสารของชีวิต และในความไร้แก่นสารบรรดามีเหล่านั้น โมราเวียได้แสดงทัศนะอย่างเข้มข้นผ่านพฤติกรรมทางเพศ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นสภาวะของตัวตนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

 

ในเรื่องสั้น ชื่อ ฆาตกรรมอำพราง ที่ตัวละครผู้ตกเป็นเหยื่อคือ หญิงวัย 50 เศษผู้ถูกล่อหลอกให้เข้าร่วมในงานเลี้ยงโดยชายหนุ่ม 5 คน ต่างแสร้งเยินยอหล่อนในความสวยงามที่มีอยู่เต็มเปี่ยมแม้วัยจะล่วงเลยมาถึงปูนนี้ ซึ่งตรงข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาลวงหล่อนให้มาร่วมดื่มกันลำพังในห้องลับ และพยายามยั่วยวนหล่อนด้วยถ้อยคำลามก สุดท้ายพวกเขาพยายามกระชากชุดราตรีของหล่อนออกเพื่อพวกเขาจะบรรลุถึงความบันเทิงในเกมนี้ หน้า 40 เขียนไว้ว่า

 

สองคนช่วยกันยึดแขนเธอไว้ ขณะที่สามคนที่เหลือช่วยกันดึงชุดเธอลงมาถึงเอง เผยให้เห็นหน้าอกที่เหลืองซีด หย่อนยานเป็นถุง

พระเจ้า หล่อนน่าเกลียดอะไรอย่างนี้” มิเกลลิอุทาน

คนอื่น ๆ กำลังหัวเราะร่าเริง จากการเห็นภาพเปลือยที่ไม่น่าดูและโกรธเกรี้ยว พวกเขากำลังพยายามถอดเสื้อผ้าให้หลุดพ้นจากตะโพกของเธอ

 

ก่อนที่หล่อนจะถูกกระชากเสื้อผ้าออก หล่อนกำลังเคลิบเคลิ้มไปว่า ตัวเองนั้นเป็นสตรีเปี่ยมเสน่ห์มากเสียกระทั่งชายหนุ่มทั้งหลายอดใจไม่ไหว หล่อนออกจะเมาสักหน่อย และเมื่อถูกกระตุ้นถูกยั่วยวนด้วยคารมปลิ้นปล้อน หล่อนยิ่งเชื่อมั่นในสรีระของตัวเอง แต่เมื่อพวกเขากระชากเสื้อผ้าหล่อนออก ร่างเปลือยของหล่อนที่เปิดเผยขึ้นนั้น ได้เปิดพื้นที่ให้หล่อนได้ตระหนักถึงความจริงข้อสำคัญของชีวิต และราวกับได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง หล่อนคิดหนีไปจากที่นี่ด้วยความอับอาย

 

การเปลื้องเสื้อผ้าให้เห็นถึงเนื้อสรีระที่โมราเวียเขียนขึ้นในเรื่องสั้นนี้ เป็นไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงการปอกเปลือกตัวตนของตนเอง ที่แท้แล้วมันคือความเปล่ากลวง น่าอับอาย น่าอดสูเสียจนต้องหนีไปให้พ้น รวมถึงกระบวนการของเกมตุ๋นของหนุ่มทั้งห้าคนนั้น ก็เป็นไปเพื่อสนองตอบความบันเทิงชั่วครู่ยาม และไร้แก่นสารอย่างยิ่ง ทั้งนี้ตัวละครที่เป็นชายหนุ่มทั้งห้าก็ตระหนักในข้อนี้ดี

 

ยังมีเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงการเปลื้องผ้าเพื่อนำไปสู่การแสดงให้เห็นถึงสภาวะเปล่ากลวงไร้แก่นสาร นั่นคือ เรื่อง ทางเปลี่ยว

 

ตัวละครหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เป็นชนชั้นกลาง ซึ่งให้บังเอิญเกิดรถเสียระหว่างทางในเวลามืดค่ำ ชายหนุ่มผู้คอยหาจังหวะแสดงสัญชาตญาณทางเพศกับหญิงสาวได้ชวนหล่อนให้เดินไปด้วยกัน เพื่อขอน้ำสักถังหนึ่งจากกระท่อมชาวนาที่อยู่ไกลออกไปจากถนน เพื่อมาเติมหม้อน้ำรถจะได้เดินทางต่อ

 

เมื่อหญิงสาวอยู่ในกระท่อมชาวนา ขณะชายหนุ่มต้องเดินไปตักน้ำ หล่อนถูกหญิงชาวนาและลูก ๆ ผู้อดอยาก ยากจนปล้นเอารองเท้า ถุงน่อง เสื้อคลุม พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงการปลดเปลื้องตัวตนของตนเองที่มีแต่ความไร้แก่นสาร โดยหล่อนไม่รู้เลยว่า ชายหนุ่มที่จ้องหาโอกาสจะจูบหล่อนนั้นก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน เขาถูกปล้นเช่นเดียวกับหล่อน ในหน้า 27 เขียนไว้ว่า

 

ทั้งสองตัวสั่นด้วยความหนาว ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่การหลีกเลี่ยงกรวดอันแหลมคมและโคลนหนา พวกเขาไม่ได้สังเกตว่า ได้มาถึงสุดทางเดินแล้ว

 

จากประโยคย่อหน้าดังกล่าว โมราเวียได้แสดงให้เห็นอีกว่า แม้กระทั่งตัวตนของตนเองได้ถูกปอกเปลือกออกจากสิ้นจนพบแต่ความเปล่ากลวงแล้วนั้น เรายังไม่อาจจะมีแก่นสารขึ้นมาได้ เนื่องจากเราไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินมาสุดทางแล้ว

 

รวมเรื่องสั้น คนรักผู้โชคร้าย เล่มนี้ ต่างก็ได้บรรจุไว้ซึ่งเรื่องราวคล้าย ๆ กับที่ได้กล่าวมาแล้ว และสำหรับผู้อ่านคนใดที่อ่านแล้วทำให้นึกถึง วรรณกรรมแนวเอ็กซิสเตนเชียลิสท์ หรือ คนนอก ของ ชาร์ตร์ขึ้นมา ในส่วนของคำนำสำนักพิมพ์เขียนไว้ว่า โมราเวียเขียนนวนิยายแนวนี้ก่อนที่ชาร์ตร์จะเขียน La Nausee (อ้วก) เป็นเวลา 9 ปี และก่อน คนนอก 13 ปี นอกจากนี้ โมราเวียยังไม่เคยอ่านทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์อีกด้วย

 

โมราเวียกล่าวว่า แนวคิดที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของเขาดูเหมือนจะได้แก่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อความเป็นจริง เขาเชื่อว่า “กามารมณ์เป็นรูปแบบความสัมพันธ์กับความเป็นจริงรูปแบบหนึ่งซึ่งเก่าแก่ที่สุดและไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย”

 

ส่วนสาเหตุที่การอ่านบทเข้าพระเข้านางในวรรณกรรมที่กล่าวถึงเซ็กส์โดยไม่มีรู้สึกว่าถูกกระตุ้นทางเพศนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวแล้ว ยังมีการเลือกใช้ภาษาและน้ำเสียงที่นักเขียนใช้ในการนี้อีกด้วย

โมราเวียเป็นนักเขียนที่เลือกจะเลี่ยงถ้อยคำที่ส่อเจตนายั่วยุกามารมณ์ หรือไม่ก็เน้นย้ำให้เกิดอารมณ์ของความเบื่อหน่ายสะอิดสะเอียนมากกว่าจะเป็นอารมณ์รัญจวน เหมือนกับภาพยนตร์ที่ฉายให้เห็นฉากร่วมรักกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนดูเป็นเรื่องไร้สาระ เฟ้อเฝือน่าเบื่อหน่าย กระทั่งไม่ก่ออารมณ์ทางเพศต่อผู้ชม

อย่างนี้นับเป็นกลวิธีสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนักเขียนที่ใช้ “เซ็กส์” เป็นเครื่องมือในการอธิบายทัศนะของนักเขียนผ่านวรรณกรรมของเขา

 

ใครที่สนใจประวัติของอัลแบร์โต โมราเวีย ขอคัดลอกจากหนังสือเล่มนี้มาให้อ่านกัน

 

อัลแบร์โต โมราเวีย เกิดที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1907 เมื่ออายุ 9 ขวบ เขาเป็นวัณโรคที่กระดูกขา ต้องเจ็บป่วยทรมานต่อเนื่องกันนานถึง 9 ปี สาเหตุนี้ทำให้เขาเรียนไม่จบชั้นเตรียมอุดม แต่ก็ได้ใช้เวลาให้หมดไปกับการอ่านหนังสือทุกอย่างที่ขวางหน้า เขาเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ และฝึกฝนเรื่อยมาจนอายุ 16 ปี เว้นว่างไป 2 ปีในช่วงเข้ารับการรักษาตัวในสถานพักฟื้น พอออกมาก็ลงมือเขียนอย่างจริงจัง

 

Gli indifferenti (1929) นวนิยายเรื่องแรกของเขา ประสบความสำเร็จสูงยิ่ง ได้รับคำชมเชยว่ามีความลุ่มลึกทางจิตวิทยาและสามารถเจาะทะลวงมายาภาพทางโลกออกมาได้อย่างหมดจด

 

การเป็นนักต่อต้านเผด็จการในสมัยมุสโสลินีทำให้เขาถูกหมายหัว จำต้องลดความรุนแรงในงานเขียนหรือเลี่ยงไปใช้นามแฝง ในปี 1943 เขาหลับภัยไปอาศัยอยู่กับชาวนาในชนบทหลายเดือน สำนึกทางสังคมและอิทธิพลความคิดลัทธิมาร์กซ์ซึมซ่านเข้าสู่หน้าวรรณกรรมของเขา เขานำเอาตัวละครที่เป็นชาวและผู้ใช้แรงงานเข้ามาไว้ในนวนิยาย La Romana (1949) ซึ่งได้กลายเป็นหนังสือขายดีในตลาดอังกฤษและอเมริกา (ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อ นางกลางโรม แปลโดย เลิศ กำแหงฤทธิ์รงค์)

 

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เขาหันหลังจากลัทธิมาร์กซ์มามองปัญหาสังคมด้วยสายตาของนักวิชาการ ช่วงนี้เขาเขียนเรื่องสั้นดี ๆ ไว้หลายเรื่อง ซึ่งภายหลังนำมารวมไว้ในเล่ม Racconti ramani ฝีมือการเขียนในท่วงทำนองรายงานข่าวและการใช้แก่นเรื่องเดียวกันสร้างตัวละครและสถานการณ์ได้หลากหลาย ทำให้นักวิจารณ์จำนวนมากลงความเห็นพ้องกันว่า ศักยภาพของโมราเวียจะเปล่งพลังสูงสุดออกมาเมื่อเขาเขียนหนังสือภายในกรอบโครงสร้างของเรื่องสั้น

 

โมราเวียเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในอพาร์ทเมนต์ที่มองออกไปเห็นแม่น้ำไทเบอร์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 1990 สิริอายุได้ 82 ปี.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…