Skip to main content

ภาพยนตร์เวียดนาม เมื่อรัฐออกแบบไม่ได้

 

Film  Kawan

           หากแฟนๆภาพยนตร์ที่ติดตามภาพยนตร์เวียดนาม (ที่ผลิตในประเทศ) ยังคงมีภาพจำว่า ภาพยนตร์ประเทศนี้มักจะวนเวียนกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสงคราม อีกทั้งโดยมากยังเป็นไปในลักษณะของการโฆษณาชวนเชื่อโดยรัฐ อาจจะต้องทำความเข้าใจใหม่กับความเปลี่ยนแปลงของวงการภาพยนตร์เวียดนามในรอบสิบปีที่ผ่านนี้ เพราะเนื้อหาของภาพยนตร์เวียดนามมีความหลากหลายขึ้นผิดหูผิดตา นั่นเป็นเพราะปัจจุบันมันมีภาพยนตร์ที่ทำโดยเอกชนมากขึ้น และมีแนวทางของประเด็นและเนื้อหาที่ “รัฐออกแบบไม่ได้”

        ปลายปี ค.ศ. 2009 ภาพยนตร์เรื่อง “เจย เวย” (Chơi Vơi) หรือ “ความเปลี่ยว (เหงา)” ภาพยนตร์ร่วมทุนสร้างระหว่าง Feature Film Studio n°1 ของเวียดนามกับ Acrobates Films ของฝรั่งเศส โดยผู้กำกับฝีมือดี "บุ่ย ถาก เจวียน" (Bùi Thạc Chuyên) ได้สร้างความน่าสนใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่นกับประเด็นเรื่องเพศและความเดียวดายของคนรุ่นใหม่ในสังคมเวียดนามที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์  "บุ่ย ถาก เจวียน" ผู้นี้เกิดและเติบโตที่ฮานอย และมีบิดาเป็นอดีตทหารที่เคยรบให้กับกองทัพปลดแอกในยุคสงครามเย็น ซึ่งต่อมาประกอบอาชีพเป็นนักข่าวสายบันเทิงให้กับสื่อของรัฐ "บุ่ย ถาก เจวียน" หนุ่มใหญ่วัย 44 ปีจึงซึมซับความคิดหลายอย่างจากผู้เป็นพ่อ และตัวเขาเองก็ผ่านประสบการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมเวียดนามมาตั้งแต่วัยเด็กเมื่อครั้งสงครามเข้าสู่จุดที่การรบเข้มข้น จนมาถึงจุดสิ้นสุดในปี 1975 ความยากลำบากในยุคสงคราม เรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นฟูหลังการประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่ในปี 1986 และยุคปัจจุบันที่เวียดนามกลับเข้ามาสู่กระแสหลักของการพัฒนาของโลกอีกครั้ง ด้วยมุมมองดังกล่าว งานของ "บุ่ย ถาก เจวียน" จึงมีความน่าสนใจในการเฝ้าติดตามไม่น้อย

          “เจย เวย” นำเสนอเนื้อหาที่ค่อนข้างจะท้าทายกับขนบดั้งเดิมของสังคมเวียดนามที่ค่านิยมของลัทธิขงจื๊อนั้นฝังรากลึก เมื่อคุณค่าความสัมพันธ์ของครอบครัวแบบเดิมเริ่มถูกแทนที่โดยปัจเจกชนนิยม และความสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชายไม่สามารถเป็นพื้นฐานของการสร้างครอบครัวในแบบเดิมได้อีกต่อไป ทำให้การได้อยู่เคียงข้างและไขว่คว้าซึ่งปรารถนาในความรักจากเพศเดียวกันอาจจะเป็นหนทางสู่การสร้างความสุขได้มากกว่า

          “เซวียน” (Duyên) ตัวเอกของเรื่องเป็นไกด์สาวสวยตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับสามีนามว่า “ไฮ” (Hải) แท็กซี่หนุ่มที่อ่อนวัยกว่าเธอ 2 ปี แต่แล้วความสุขที่คู่ครองพึงจะมีให้ซึ่งกันและกันหลังจากการแต่งงานก็มิได้บังเกิด ทุกอย่างกลับกลายเป็นความรู้สึกในทางตรงข้าม  “ความเปลี่ยว (เหงา)” เริ่มทำให้ “เซวียน” ไขว่คว้าและเปลี่ยนแปลงตนเองจากคนใสซื่อธรรมดากลายเป็นผู้หญิงผู้ตื่นรู้ตามความทันสมัยที่แปรเปลี่ยนไปของฮานอย โดยมี”เกิ่ม” (Cầm) เพื่อนหญิงนักเขียนผู้เจนโลกของเธอเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่า “เซวียน” จะเริ่มตระหนักว่า “เกิ่ม” ได้ช่วยเยียวยา “ความเปลี่ยว (เหงา)” ของเธอได้ ทุกอย่างดูจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะ “เกิ่ม” เองก็ไม่อาจจะหาความสุขได้จากความสัมพันธ์กับชายหนุ่มนามว่า “โถ” (Thổ) ไกด์หนุ่มรูปงามผู้เสพติดเซ็กส์ และเธอเองก็เริ่มรู้สึกมีปฏิกิริยาเคมีกับ “เซวียน” มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ “เกิ่ม” ได้ทำให้ “เซวียน” กับ “โถ” ได้เจอกัน ซึ่งเขาเองก็กลายเป็นอีกคนที่เข้ามาบำบัด “ความเปลี่ยว (เหงา)” ของ “เซวียน” ในนามของความคลั่งไคล้ตามแบบฉบับของสังคมชายเป็นใหญ่ ตัวละครทั้งหมดไม่อาจจะรั้ง“ความเปลี่ยว (เหงา)” และความปรารถนาเบื้องลึกให้หยุดนิ่งได้ และต่างต้องเผชิญหน้ากับมาตรฐานทางศีลธรรมแบบประเพณีนิยม และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่จะเกี่ยวพันกับความรู้สึกของทุกตัวละคร

          “เจย เวย” สามารถสะท้อนความรู้สึกของมนุษย์ที่พัวพันอยู่ในความซับซ้อนของแรงปรารถนาและต้องฝ่าฟันกับกำแพงทางศีลธรรมที่สังคมเป็นผู้กำหนดได้อย่างลึกซึ้ง ที่พรมแดนแห่งความดีและชั่วไม่มีอยู่ในความปรารถนาเช่นนี้ แม้ว่าเรื่องของรักร่วมเพศในสังคมเวียดนามยังถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามแบบแผนหลักของสังคม แต่การปรากฏตัวของเจย เวยได้แสดงให้เห็นว่าค่านิยมเรื่องเพศในสังคมเวียดนามเริ่มเปลี่ยนแปลงไป แบบแผนหลักบางประการของสังคมที่หญิงต้องคู่กับชาย ไม่สามารถจะเป็นคำตอบสุดท้ายพียงคำตอบเดียวให้กับความสุขของมนุษย์ได้

           ความน่าสนใจของการปรากฏตัวของ “เจย เวย” ที่มากไปกว่าเนื้อหาที่ล่อแหลมและท้าทายกับค่านิยมขงจื๊อในสังคมเวียดนาม ก็คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาล ซึ่งหากอยู่ในยุคสมัยที่เวียดนามเพิ่งจะปฏิวัติสำเร็จ รวมชาติและสถาปนาระบอบสังคมนิยมไปทั่วดินแดนทั้งเหนือและใต้ เนื้อหาการนำเสนอในลักษณะนี้คงจะไม่มีทางที่รัฐจะให้การสนับสนุนและไม่สามารถผลิตออกมาได้เป็นแน่ การสนับสนุนภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเช่นนี้จึงไม่น่าจะสะท้อนเพียงแค่การให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยภาครัฐเพียงเท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า รัฐบาลเองก็ตระหนักถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของผู้คนในสังคมเวียดนามอยู่ ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกับการที่เวียดนามได้กลับเข้าไปผูกติดกับกระแสของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ และบางทีรัฐบาลอาจจะกำลังเรียนรู้ว่า "รัฐไม่อาจจะออกแบบชีวิตของคนในสังคมไปได้เสียทุกเรื่อง"

          “เจย เวย” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีหลังจากตระเวนฉายไปตามงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆทั่วโลก ในเทศกาลภาพยนตร์เวนิสครั้งที่ 66 "บุ่ย ถาก เจวียน" นี้ได้รับรางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และตัวภาพยนตร์เองได้รับการจัดฉายในหมวดของ "ภาพยนตร์เทรนด์ใหม่ของโลกภาพยนตร์" นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับภาพยนตร์เวียดนามที่เรียกว่าเป็น “homemade” เพราะกำกับโดยผู้กำกับชาวเวียดนามในประเทศ เพราะที่ผ่านมาโลกภาพยนตร์จะรู้จักภาพยนตร์เวียดนามผ่านผลงานของบรรดา “เวียดเกี่ยว” หรือ “เวียดนามโพ้นทะเล” ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ นอกจากนั้นการออกฉายของ “เจย เวย” ยังกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดภาพยนตร์ภายในของเวียดนามนั้นโตขึ้นอย่างมาก ทั้งในแง่ปริมาณและแนวทางของภาพยนตร์ ที่ทุกวันนี้ความหลากหลายของเนื้อหามีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นผลมาจากสภาพทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปของเวียดนาม ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในรอบสิบปีที่ผ่านมา การลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของภาคเอกชน โรงภาพยนตร์ใหม่ๆเริ่มผุดขึ้นตามเมืองใหญ่ ผู้ชมตามโรงภาพยนตร์ต่างก็มีเพิ่มมากขึ้น และพวกเขาก็อยากที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์ของคนเวียดนามในโรงภาพยนตร์ อีกทั้งบาดแผลแห่งความขัดแย้งระหว่างคนเหนือกับคนใต้ในอดีตก็เริ่มเบาบางลง ทำให้ชาวเวียดเกี่ยว (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามใต้) ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บุคลากรที่เป็นเวียดเกี่ยวที่มีความสามารถในงานด้านภาพยนตร์ก็เข้ามาช่วยให้วงการภาพยนตร์เวียดนามนั้นมีสีสันมากขึ้น พวกเขาทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงการที่จะทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในโลกของภาพยนตร์เทียบเท่ากับชาติอื่นๆในเอเชีย และเอาเข้าจริงแล้วในอดีตเวียดนามนั้นถือได้ว่ามีชื่อเสียงไม่น้อยในโลกภาพยนตร์ โดยเวียดนามเหนือขึ้นชื่อในเรื่องของการทำภาพยนตร์สงคราม โด่งดังในวงการภาพยนตร์ของฝ่ายสังคมนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันออก ขณะที่เวียดนามใต้ก็จะปรากฏความคึกคักของวงการภาพยนตร์ตามแนวทางของฝ่ายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกค่ายเสรีนิยม

            แม้ว่าขณะนี้สัดส่วนของภาพยนตร์เวียดนามในโรงภาพยนตร์ยังมีอยู่น้อยแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี เพราะผู้ชมเองก็คาดหวังที่จะได้ชมภาพยนตร์เวียดนามที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ความสำเร็จของ “เจย เวย” จึงมีความหมายที่มากไปกว่าความสำเร็จเฉพาะตัวภาพยนตร์ แต่มันคือความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้กับวงการภาพยนตร์เวียดนามโดยรวมที่มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ ความแปลกใหม่ และความกล้าที่จะสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคม (แม้จะยังไม่สามารถจะสร้างหนังวิพากษ์การเมืองได้ก็ตาม) อย่างตรงไปตรงมา

            ภายหลังจากความสำเร็จของ “เจย เวย” ก็มีภาพยนตร์คุณภาพดีที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมเวียดนามผ่านมุมมองเรื่องเพศออกมาหลายเรื่อง เช่น Hot Boy Nổi Loạn ในปี 2011 ภาพยนตร์แนวดราม่าที่นำเสนอชีวิตของคนชายขอบในเมืองใหญ่อย่างนครไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ ซิตี้) เป็นความรักสองแบบของรักสามเส้าระหว่างชายสามคน และความรักของชายไม่สมประกอบกับผู้หญิงให้บริการ ความรักระหว่างชายผ่านความเปลี่ยนแปลงของเมืองใหญ่อย่างไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ ซิตี้) และ Bi, Don’t Be Afraid ในปี 2010 ภาพยนตร์ดราม่า ที่ตีแผ่แรงปรารถนาทางเพศของมนุษย์ได้อย่างถึงแก่นผ่านฉากอีโรติกอันเร่าร้อน เฉียบเนียนและลึกซึ้ง โดยมีความคล้ายคลึงบางประการกับ “เจย เวย”

             อาจกล่าวได้ว่าการกลับมาเกิดใหม่เป็น “New age” ของภาพยนตร์เวียดนามได้เริ่มขึ้นแล้ว และทำให้แฟนๆภาพยนตร์ได้ตระหนักว่า ภาพยนตร์เวียดนามไม่ได้มีดีแค่ภาพยนตร์สงคราม โฆษณาชวนเชื่อโดยรัฐ และผลงานของบรรดาเวียดเกี่ยวเท่านั้น ที่สำคัญภาพยนตร์ที่เป็น“New age” เหล่านี้กำลังสะท้อนความเปลี่ยนแปลงบางประการของสังคมเวียดนาม ที่หลายอย่างกำลังบอกเราว่า “รัฐออกแบบไม่ได้” อีกแล้ว

 

`````````````````

หมายเหตุ แก้ไขจากต้นฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไบโอสโคป ฉบับเดือนมกราคม 2556 

 

 

บล็อกของ Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)

Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
 A Guerra Da Beatriz ในฐานะบันทึกบนแผ่นฟิล์มเรื่องแรกของ ติมอร์ ตะวันออก สงครามยังไม่สิ้นสุด
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
อิโล อิโล (Ilo-Ilo) :  สิงคโปร์-ฟิลิปปินส์ เกิด ตาย และการอยู่ร่วมกัน ในวันที่เราหลงลืมอะไรบางอย่าง 
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
ภาพยนตร์เวียดนาม เมื่อรัฐออกแบบไม่ได้ Film  Kawan
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
มรกตวงศ์ ภูมิพลับFilm Kawan (ฟิล์ม กาวัน)  
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
 จิตรลดา กิจกมลธรรม (Film Kawan) 
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
  หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงาน