อีกด้านหนึ่งของคานธีที่คุณควรรู้จัก

2 July, 2012 - 16:21 -- iskra

อหิงสาและการดื้อแพ่งคือตัวตนของคานธีที่ดูจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปแต่ทว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาที่กระแสหลักพูดถึงไม่บ่อยนัก(หรือแทบไม่พูดถึงเลย)นั่นคือคัวตนของเขาในฐานะความเป็นศาสนา-อนุรักษ์นิยม

บทความนี้ถูกเขียนไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว(2554) ซึ่งเเขียนโดยสมาชิกกลุ่มประกายไฟโดยใช้นามแฝงว่าเบนจามิน แฟรงคลิน หรือแว่น ประกายไฟ จึงขอนำมาเผยแพร่ในพื้นที่นี้อีกที

 

เบนจามิน แฟรงคลิน(แว่น ประกายไฟ)

หากเอ่ยชื่อของคานธีหลายคนคงนึกถึงภาพชายแก่ผมบางนั่งปั่นผ้าและความสำคัญของเขาในฐานะผู้รวบรวมชาวอินเดียให้ทำการต่อสู้เพื่อปลกแอกจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวาทกรรม”อหิงสา”และ”อารยะขัดขืน”ของคานธียังคงมีบทบาทในขบวนการเคลื่อนไหวภาคสังคมทั้งในไทยและระดับสากลมาจนถึงทุกวันนี้ ช่วงทศวรรษที่1960 คนผิวดำในอเมริกาใช้การประท้วงแบบสันติตามรอยคานธีในการสู้กับคนขาวในหลายวิธีการเช่น นั่งในร้านอาหารที่ขายเฉพาะคนขาวจนกว่าเจ้าของร้านจะยอมขาย หรือประท้วงรถเมลล์ที่แบ่งที่นั่งคนดำและคนขาวโดยการเลิกขึ้นรถเมลล์แล้วเดินหรืออาศัยรถเพื่อนแทนเป็นต้น และเหนือไปกว่านั้นวีรบุรุษในดวงใจของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิงหนึ่งในผู้นำการต่อสู้เพิ่อสิทธิคนผิวดำก็คือ มหาตมะ คานธีดังนั้นคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวดำนั้นอิทธิพลของวาทกรรมและแนวคิดของคานธีมีบทบาทอยู่ไม่น้อย ในไทยเองวาทกรรมของคานธีก้อเข้ามามีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวอยู่ไม่น้อยเช่น เมื่อครั้งที่มีการประท้วงปิดสภาไม่ให้สนชเข้าไปพิจารณากฎหมายเมื่อช่วงเดือนธันวาปี50ก็มีการทำสัญลักษณ์ อหิงสา No Entry มาชูเพื่อให้สอดรับกับกิจกรรมการปิดล้อมสภาโดยสงบปราศจากอาวุธไม่ให้สนชเข้าไปประชุมพิจารณากฎหมายได้ การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเองก็ชูสโลแกนอหิงสาในการต่อต้านรัฐบาลตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา (ผมไม่แน่ใจว่าการยึดสนามบิน ยึดรถโดยสารประจำทางจะเข้านิยามอหิงสาหรือเปล่า) 

อหิงสาและการดื้อแพ่งคือตัวตนของคานธีที่ดูจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปแต่ทว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาที่กระแสหลักพูดถึงไม่บ่อยนัก(หรือแทบไม่พูดถึงเลย)นั่นคือคัวตนของเขาในฐานะความเป็นศาสนา-อนุรักษ์นิยม ประเด็นที่น่าสนใจคือความขัดแย้งในตัวเองของคานธี การต่อสู้เพิ่อปลดแอกจากอังกฤษแสดงให้เห็นว่าคานธีมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นเสรีชนอยู่ในตัวและต้องการเห็นประเทศของตนพ้นจากการปกครองของต่างชาติตรงนี้คือในมิติระหว่างประเทศ แต่ทว่าในระดับภายในประเทศเขากลับศรัทธาในระบบวรรณะ สนับสนุนให้แบ่งแยกคนโดยชาติกำเนิดของคนผู้นั้น คานธีให้ความเห็นถึงการล้มระบบวรรณะและการสถาปนาระบบการปกครองแบบตะวันตกว่า การล้มระบบวรรณะเท่ากับเป็นการทำลายหลักการของฮินดูที่สืบทอดกันมานาน นอกจากนี้การล้มระบบวรรณะยังจะนำไปสู่ความชุลมุนในสังคมด้วย คานธียอมรับไม่ได้ถ้าวันหนึ่งพราหมณ์จะกลายเป็นศูทรและศูทรจะกลายเป็นพราหมณ์ นั่นเท่ากับว่าคนต่างชาคิต่างภาษากดขี่เราเราต้องสู้แต่ถ้าคนชาติเดียวภาษาเดียวกับเรากดขี่เราเราต้องยอม ซึ่งผมมองว่าจุดนี้คานธีมีความขัดแย้งในตัวเองอย่างแรง

ประการต่อมาที่ผมมองว่าน่าสนใจและผมมองว่าเป็นความขัดแย้งในตัวคานธีก็คือประเด็นการศึกษา คานธีได้แสดงความเห็นไว้ว่าการเรียนรู้ข้ามวรรณะไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่การหาเลี้ยงชีพข้ามวรรณะคือสิ่งผิดและคุณต้องประกอบอาชีพเช่นบรรพบุรุษคุณ เช่นหากคุณเกิดในวรรณะศูทรคุณอาจเรียนรู้วิชาการต่อสู้ได้แต่ไม่อาจใช้วิชานั้นไปสมัครเป็นทหารได้เป็นต้น จากจุดนี้สามารถโยงไปถึงมุมมองต่อประเด็นปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมในสังคมอินเดียได้อย่างดี นั่นคือคานธีได้สร้างวาทกรรม“ความสุขเงินซื้อไม่ได้”ขึ้นมาโดยกล่าวว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีความสุขเพราะเขารวยหรือทุกข์เพราะเขาจน หลายครั้งที่คนรวยนั่งอมทุกข์ขณะที่คนจนยิ้มอย่างมีความสุข และประเด็นสุดท้ายที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือความขัดแย้งในตัวเองของการหยิบยกวาทกรรมและการยืมคานธีมาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมระหว่างคนขาวกับคนดำของดอกเตอร์คิง ความยึดมั่นในหลักการของฮินดูทำให้คานธิไม่คิดว่าการแต่งงานข้ามวรรณะหรือการร่วมโต๊ะอาหารข้ามวรรณะจะเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ ในขณะที่ดร.คิงและขบวนการคนผิวสีกลับเรียกร้องให้ยกเลิกแบ่งแยกการแต่งงาน การให้บริการสาธารณะระหว่างผิวสีโดยเห็นว่าประชาธิปไตยและสันติสุขในสังคมอเมริกันจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อคนผิวดำได้รับสิทธิพลเมืองเท่ากับคนผิวขาวเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันเป็นความลักลั่นที่เราไม่ควรจะมองข้ามไป

พูดถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าผมจะเขียนถึงคานธีทำไมแล้วมันเกี่ยวกับสังคมไทยหรือเสนอทางออกให้สังคมไทยอย่างไร แน่นอนในทางตรงอาจไม่เกี่ยวเพราะคานธีมิได้มีบทบาททางตรงใดๆทั้งสิ้นกับสังคมไทย บริบทของสังคมไทยในปัจจุบันกับบริบทของโลกร่วมสมัยของคานธีก็แตกต่างกันและที่สำคัญที่สุดแนวคิดเรื่องฮินดูนิยมและระบบวรรณะก็ดูจะเข้ากันไม่ได้สำหรับสังคมไทยสังคมพุทธที่ปราศจากวรรณะ(จริงหรือ)แต่อย่างไรก็ดีบทเรียนที่คานธีได้ให้แก่สังคมไทยก็มีอยู่หลายประการด้วยกัน ประการแรกเลยคือเหรียญมีสองด้านเสมอแต่สื่อกระแสหลักโดยความร่วมมือของชนชั้นปกครองบางกลุ่มมักเลือกที่จะแสดงให้คนเดินดินอย่างเราเห็นว่าเหรียญมีเพียงด้านเดียว เช่นในเมืองไทยคนส่วนมากมักรู้จักคานธีในฐานะเป็นนักต่อสู้เพื่อเอกราชโดยสันติวิธีผู้มีจริยธรรมสูงส่งแต่ว่าด้านมืดอีกด้านหนึ่งของเขาที่ต้องการให้คงระบบวรรณะไปจนถึงการกีดกันการมีสิทธิเท่าเทียมของUntouchableในสังคมอินเดีย (เพื่อนชาวอินเดียเล่าให้ผมฟังว่าคานธีอดอาหารประท้วงการให้สิทธิเลือกตั้งแก่Untouchable) กลับถูกละเลยไปตรงนี้ก็เป็นหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ อาจเป็นได้ว่าสังคมไทยมีอิทธิพลของระบบพ่ออุปถัมภ์แบบเผด็จการอยู่ ซึ่งระบบนี้ผู้เผด็จการทรงคุณธรรมคือหัวใจของระบบดังนั้นการสร้างHeroทางการเมืองจึงเป็นสิ่งจำเป็น นักต่อสู้ที่หยิบยกประเด็นชาตินิยมศาสนาและประเด็นศีลธรรมเป็นหลักในการต่อสู้และครอบงำสังคมเป็นที่ชื่นชอบของเผด็จการ ในขณะที่Ambedkarซึ่งแม้จะมีบทบาทสำคัญในรัฐธรรมนูญของอินเดียแต่การที่เขาต้องการสังคมที่เท่าเทียม ปราศจากวรรณะและยืนเคียงข้างคนยากจน และUntouchable จุดนี้เผด็จการรับไม่ได้ชื่อของเขาจึงไม่เป็นที่รู้จักในสังคมไทย

ประเด็นต่อมาคือแนวคิดของคานธีที่ว่าจิตใจของมนุษย์ว่าเปรียบเสมือนนกที่ไม่ยอมหยุดบินมีความต้องการอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุดสอดคล้องกับการที่ชนชั้นนำบางกลุ่มในสังคมไทยพยายามบอกกับคนจนว่าพวกเขาควรที่จะยอมรับความจนของตนต่อไปเพราะนั่นคือกฎแห่งกรรมที่ต้องยอมรับ อีกทั้งแม้เราจะจนแต่เราก็อยู่อย่างพอมีพอกินตามอัตภาพได้ถ้าเรารู้จักจัดสรรความจนของเรา แน่นอนว่าแนวคิดนี้เมื่อประกอบเข้ากับชุดความคิดทางศาสนาพุทธ(ปนฮินดู)ที่สอนเรื่องกฎแห่งกรรมและการปล่อยวางทุกสิ่งทางโลกเพื่อเข้าสู่นิพพานอันเป็นความสุขที่แท้จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นยาละลายความขัดแย้งอันเกิดจากการกดขี่ที่ชนชั้นปกครองและคนมีอำนาจมีเงินกดหัวและขูดรีดจากคนจนชนิดโงหัวไม่ขึ้นได้อย่างดีทีเดียว(ในขณะที่ชนชั้นปกครองและนายทุนต่างขูดรีดจากคนยากคนจนกันแบบไม่เคยเพียงพอ) ตัวผมเองขณะนี้อยู่ไกลบ้านแต่ก็ได้ข่าวแว่วๆมาว่ารัฐบาลชุดใหม่ของเราอาจมีนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งถ้าขึ้นมาจริงตรงนี้น่าจะช่วยยืนยันความไม่พอเพียงของชนชั้นปกครองได้อย่างดีทีเดียวและแน่นอนการใช้หลักการทางศาสนามานำการต่อสู้ขอคานธีก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงแม้ว่าด้วยการนำการต่อสู้ของคานธีโดยใช้วิธีอหิงสาและการใช้หลักศาสนานำหน้าจะมีส่วนสำคัญ(แต่ไม่ใช่ทั้งหมด)ในการปลดแอกอินเดียจากการเป็นอาณานานิคมของอังกฤษแต่ทว่าคานธีกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปลดแอกอินเดียจากความยากจน(กระทั่งทุกวันนี้แม้อินเดียจะเป็น1ในมหาอำนาจนิวเคลียร์แต่คนนับล้านยังคงต้องอาศัยสถานีรถไฟและข้างถนนเป็นที่ซุกหัวนอน)ตรงนี้ถือเป็นคุณูปการของคานธีที่ได้ช่วยยืนยันเรากับเราว่าแนวคิดจิตนิยมและศาสนานิยมไม่สามารถนำคนจนไปสู่การปลดแอกที่แท้จริงได้และบ่อยครั้งที่ข้ออ้างทางศาสนาได้ถูกนำมาใช้เป็นยาสมานความขัดแย้งทางชนชั้นได้อย่างไร้ที่ติ

ทั้งหมดที่ผมพยายามได้นำเสนอไปคืออีกด้านหนึ่งของคานธีที่ตำรากระแสหลักมักมองข้าม(หรือจงใจมองข้าม)ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์และบทเรียนต่อสังคมไทยก็คือวัฒนธรรมความใจกว้างทางวิชาการของอินเดีย แม้ว่าในอินเดียคานธีจะเป็นบุคคลคนสำคัญถึงขนาดถูกพิมพ์ลงบนธนบัตรทุกราคา วันเกิดของเขาถูกกำหนดเป็นวันหยุดประจำชาติและรัฐกุจาราฐบ้านเกิดของเขาก็ถูกกำหนดให้เป็นDry state (ห้ามจำหน่ายสุรา) ทว่าสำหรับวงการวิชาการเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกวิจารณ์ได้ บางหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยถึงขั้นมีการนำเอางานเขียนของคานธีมาทำการวิพากษ์กับงานของ B.R.Ambedkar ซึ่งวิพากษ์คานธีว่าเป็นศัตรูต่อประชาธิปไตยและแนวคิดของเขาที่สืบเนื่องมาจากศาสนาฮินดูมีแนวโน้มจะเอื้อประโยชน์ต่อคนรวยมากกว่าคนจน ดังนั้นจุดนี้สังคมไทยน่าจะถือมาเป็นบทเรียนที่ดีว่าการวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผลน่าจะเป็นสิ่งที่สมควรทำ การเซ็นเซอร์และการปิดกั้นการรับรู้ของประชาชนคือบาปมหันต์ ทว่าหันมองที่สังคมไทยทุกวันนี้ดูเหมือนว่าข้อนี้จะเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินฝันที่สุด ผมได้แต่หวังว่าบทความจากแดนไกลชิ้นนี้น่าที่จะได้จุดประกายหรือนำไปสู่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์และเชื่อมโยงประเด็นเพื่อหาทางออกให้แก่สังคมการเมืองไทยที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายและถอยหลังเข้าครองอยู่ในปัจจุบันนี้

 

อ่านประกอบ

ดู แนวคิดของคานธีจาก M.K. Gandhi, Hind Swaraj or Indian Home Rule : translate from Hind Swaraj publish in the Gujarat Columns of Indian opinion 1909

ดู การวิพากษ์คานธีโดยAmbedkarจาก Valeian Rodrigues, The Essential Writings of B.R.Ambedkar

ดู เรื่องการเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมถ์จาก ทักษ์ เฉลิมเตรียณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ

 

ความเห็น

Submitted by venkam on

เห็นด้วยทุกอย่าง ยกเว้นเรื่อง การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเมืองไทยภาษีชนิดนี้น้อยกว่าแม้แต่อินเดียซึ่งเป็นประเทศยากจนมาก ภาษีมูลค่าเพิ่มของเขายัง 12.5 เปอร์เซ็น ในยุโรปบางแห่งแว็ทสูงกว่า 25 เปอร์เซ็น เพราะมาตรการภาษีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการลดช่องว่างระหว่างชนชั้น และช่วยเพิ่มสวัสดิการแก่คนยากจน ยิ่งขึ้นภาษีมากก็จะยิ่งเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจนมากขึ้นด้วย เช่น ภาษีรายได้ ภาษีมรดก อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได่ใช้ประโยชน์

Submitted by dk on

เห็นคห.ว่าง ก็เลยขอเข้ามาเสริมบทความ ซะหน่อย

การนำการต่อสู้ของคานธี ต่อ อังกฤษ ได้ลากทุกวรรณะในสังคมเข้าร่วมอย่างอลังการ

เขาคงจำเป็นต้องปล่อยให้เรื่องวรรณะ ลอยตัวไปก่อน
เพื่อ ผนึกรวมทั้งสังคม เข้าต่อต้าน การกดขี่ อยุติธรรม จาก ผู้ปกครองภายนอกประเทศ

และเนื่องจากเขาเป็นฮินดู หรือ พราหมณ์-ฮินดู อันมีความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ อีกทั้งอิทธิพลทางศาสนาดังกล่าว
มีมากในวัฒนธรรมอินเดีย และมีความเชื่อฝังลึกถึงความแน่นอนในวรรณะที่ไปกำหนดชนชั้นในสังคมอย่างเด็ดขาดยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม วิธีอหิงสาของคานธี น่าจะไม่ได้มาจากความเชื่อฮินดู แต่น่าจะเพราะ เขาเคยอ่านไบเบิลและศึกษาถามไถ่
เพื่อนนักบวชคริสต์ในห้วงอยู่อัฟริกา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ การทดลองความจริง ที่เขาเรียกนั่นเอง

ตย.การต่อสู้กับการกดขี่ยิวของโรมในยุคสมัยพระเยซู อาจช่วยวางรากฐานระบบคิดแบบอหิงสาให้คานธี
คำสอนของพระเยซู ก็สะท้อนปรัชญาอหิงสามากมาย เช่น หันแก้มซ้าย เมื่อเขาตบแก้มขวา หรือ จงรักศัตรู เป็นต้น
และแม้ตัวอย่างการกระทำ ยอมให้ตรึงกางเขน โดยไม่ปริปากขอชีวิต เป็นอาทิ นี่คงเป็นประจักษ์พยานถึงความเป็นไป
ได้ของอหิงสาธรรม ที่ผู้เลือกวิธีการนี้ จำต้องแลกด้วย การถูกกระทำ อย่างถึงที่สุด

สรุปแล้ว คานธี อย่างไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ก็ไม่น่าผิด หรือผิดปกติ
เพราะ ความเชื่อในศาสนามีค่ามากกว่า การทำให้ทุกคนอยู่ดีมีสุข ในขณะที่ การหาทางปลดแอกจากอังกฤษได้กลาย
เป็นพันธกิจเฉพาะ ที่ทำไปจนเขาวายชีพ ความโดดเด่นของเขา จึงอยู่ที่วิธีการต่อสู้ โดยไม่ใช้ความรุนแรง ในระดับพื้นฐานสุดๆ ในยุคสมัยใหม่

Submitted by Tax on

เรื่องภาษี ไม่จริงครับ การขึ้นภาษี คนรวยก็ยังสบายอยู่ดี เพราะมีวิธีหลบเลี่ยงภาษีในนามบริษัทอยู่มากมาย ภาระจะตกไปอยู่ที่ชนชั้นกลาง

Cheap vibram five fingers shoes is selling in our vibram five fingers store with high quality but lowest price. In today's society, with economic and social development, people's personality liberation become the sole direction of the fashion development. Throughout the world, more and more we see people wearing the vibram five fingers shoes. With vibram five fingers' appeared, it has already cause a revolution in the footwear market, and also caused a wave of five fingers shoes in the group of people! Vibram five fingers sale hot not only for it's peculiar personality and fashion, but only for it's versatility. Wether you needs fitness training shoes, yoga shoes, water sports shoes, or some other variety, the vibram five fingers will meet at least one kind of your needs perfectly. Vibram FiveFingers come in many popular types like: vibram five fingers jaya and vibram five fingers treksport for women, including vibram five fingers bikila, vibram five fingers komodosport, vibram five fingers kso and vibram five fingers sprint available for both men and women, and other styles such as vibram five fingers classic and so on available to men. Now, you can find and purchase these amazing vibram five fingers here, such as vibram five fingers bikila ls and vibram five fingers komodosport ls more available for fitness training and competition running, it has already become the athletes' favorite. In the hot summer, people all like cool running shoes which apply for water sports, vibram five fingers flow, vibram five fingers kso trek, vibram five fingers speed, vibram five fingers kso and vibram five fingers sprint were designed for good for doing water sports! Vibram five fingers men and vibram five fingers womens in http://www.stylishvibramshoes.com will be good to meet you!

ระบบเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Participatory Economy)

28 May, 2013 - 17:49 -- iskra

...ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการสังคมหลังทุนนิยมข้างต้นนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นผลผลิตโดยตรงของการเติบโตของขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐาน ที่พยายามเสนอทางเลือกใหม่ในการพัฒนาท่ามกลางซากปรักหักพังของโลกสังคมนิยม ในทศวรรษ 1990 ที่นักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างประกาศว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือแล้วนอกจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดและระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะยังไม่บรรลุ แต่คุณูปการที่สำคัญที่สุดที่ขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐานได้สร้างไว้ก็คือ ความหวังที่ว่า “โลกใบใหม่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำขวัญของขบวนการสมัชชาสังคมโลกนับตั้งแต่ ค.ศ.2001 เป็นต้นมา