Skip to main content

แถลงการณ์ กลุ่มประกายไฟ

 

จากกรณีที่ประเด็นการแบ่งแยกดินแดนในภาคเหนือได้ถูกจุดขึ้นจนเป็นกระแสต่อต้าน และนำไปสู่การที่กองทัพลุกขึ้นมาแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนนั้น ทางกลุ่มประกายไฟมีความเห็นและข้อเสนอดังต่อไปนี้

1.  การกล่าวหาบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่นด้วยประเด็นที่ร้ายแรงเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะผู้ถูกกล่าวหาย่อมได้รับผลกระทบไปแล้วตั้งแต่ต้น ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ถูกกล่าวหาเหล่านั้นอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวเลยก็ได้

2.  ประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้นประชาชนย่อมมีสิทธิ์ที่จะร่วมกันตัดสินใจว่าแต่ละพื้นที่จะปฏิสัมพันธ์กับรัฐส่วนกลางอย่างไร ไปจนกระทั่งถึงมีสิทธิ์ที่จะร่วมกันกำหนดว่าพื้นที่ที่ตนเองสังกัดอยู่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐใดในรูปแบบใด หรือจะแยกเป็นรัฐเอกเทศ

กฎหมายที่ขัดขวางสิทธิดังกล่าวคือกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพต่ออำนาจของประชาชน และตั้งบนอุดมการณ์ที่ล้าหลังที่ว่า “รัฐเป็นเจ้าของประชาชน” ไม่ใช่ “ประชาชนเป็นเจ้าของรัฐ/อำนาจอธิปไตย”

3.  ในทุกประเทศที่ประชาชนในพื้นที่หนึ่งๆมีความต้องการที่จะแยกตัวออกจากรัฐส่วนกลาง นั่นเป็นเพราะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นและเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากพอที่จะทำให้ประชาชนเหล่านั้นลุกขึ้นมาทำอย่างนั้น ไม่เคยปรากฏว่ามีคนต้องแยกตัวออกจากรัฐเดิมเพียงแค่เพราะเป็นการฆ่าเวลา ดังนั้นหากมีผู้ที่ต้องการแยกตัวออกจากรัฐส่วนกลางจริงๆ สิ่งที่รัฐบาลส่วนกลางที่สติดีต้องทำก็คือหันมาทบทวนโครงสร้างกลไกหรือนโยบายต่างๆของรัฐ มากกว่าที่จะเที่ยวปราบปรามผู้ที่ต้องการแยกตัวออกจากรัฐ เพราะการทำแบบนั้นนอกจากจะไม่แก้ปัญหาอะไรแล้ว ซ้ำร้ายยังไปเพิ่มความรุนแรงของปัญหาหรือสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก

 

7 มีนาคม 2557

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
แถลงการณ์ กลุ่มประกายไฟ 
ประกายไฟ
...ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการสังคมหลังทุนนิยมข้างต้นนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นผลผลิตโดยตรงของการเติบโตของขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐาน ที่พยายามเสนอทางเลือกใหม่ในการพัฒนาท่ามกลางซากปรักหักพังของโลกสังคมนิยม ในทศวรรษ 1990 ที่นักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างประกาศว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือแล้วนอกจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดและระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะยังไม่บรรลุ แต่คุณูปการที่สำคัญที่สุดที่ขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐานได้สร้างไว้ก็คือ ความหวังที่ว่า “โลกใบใหม่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำขวัญของขบวนการสมัชชาสังคมโลกนับตั้งแต่ ค.ศ.2001 เป็นต้นมา
ประกายไฟ
“..รู้สึกว่าธรายอาร์มไม่ใช่แค่กางเกงใน แต่มันแสดงถึงสัญญะบางอย่างของการต่อสู้ ซึ่งเห็นไหมคะ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นกางเกงในของธรายอาร์ม คนที่สงสัยเขาก็ต้องหาเรื่องราวของมันบ้างล่ะค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้สื่อเรื่องความไม่เป็นธรรมนอกจากแคมเปญหลักของงานนี้..” - ลูกปัด 1 สวาผู้ร่วมรณรงค์ 
ประกายไฟ
 “...พวกนายทุนจึงต้องหาทางให้ปัญหาเหล่านี้ทุเลาเบาบางลง ไม่อย่างนั้นการผลิตในระบบทุนนิยมอาจต้องล่มสลาย จึงต้องสร้างกติกากลางขึ้นมาเพื่อให้การขูดรีดยังดำรงตนต่อไปได้...”
ประกายไฟ
...ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่) แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว..
ประกายไฟ
...แต่เชื่อไหม (เหมือนถาพในหนัง) ใบหน้าคนเหล่านั้นลอยออกมาปะทะสายตาเรา เรามองไม่เห็นความกลัวในใบหน้าของคนเหล่านั้น บางคนด่าไปอมยิ่มไป บางคนด่าไปก็แสดงอาการท้าทายไป มันต่างกันมาก ต่างกันจริงๆ เราเคยเห็นคนในม็อบเสื้อแดงช่วงที่มีการสลาย ทั้งวันที่ 10 เมษา และ 19 พฤษภา เราเห็นแววตาคนที่กลัวตาย เห็นแววตาคนที่มีห่วงเห็นแววตาคนที่พร้อมจะยอมตาย แต่คนเหล่านั้นไม่กร่างเท่านี้นะ
ประกายไฟ
...ที่มาที่ไปของ "เสื้อแดง" มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง "รักเจ้า" หรือ "รักทักษิณ" ..