Skip to main content
 

มาริยา มหาประลัย

1

เมื่อเดือนก่อน คุณพี่เอก บก. (อันย่อมาจากบรรณาธิการ ไม่ใช่บ้ากาม) นิตยสารผู้ชายฉบับหนึ่งที่ฉันเคยอาศัยเงินเดือนเขายาไส้ แถมยังเป็นเจ้านายที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยร่วมงานด้วย โทรศัพท์ตรงดิ่งวิ่งปรี่มาหาฉัน บอกว่ามีงานเขียนให้ฉันทำ คุณพี่เอกยังหยอดคำหวานปานพระเอกลิเก(ย์)อ้อนแม่ยกอีกว่า พอได้รับโจทย์ปุ๊บ หน้าฉันก็โผล่พรวดเด้งดึ๋งขึ้นมาปั๊บ เห็นทีจะเป็นลิขิตจากนรก เอ้ย! สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ส่งให้ฉันมาเขียนเรื่องนี้ อู้ย! อยากรู้จริงเชียวว่าเรื่องอะไรหนอ...

"คุณพี่อยากให้คุณน้องเขียนเรื่อง Safe Sex ของเกย์ให้เกย์อ่าน"
อ๊ายส์!
อ๊ายยยส์!!
อ๊ายยยยยยส์!!!

ฉันร้องลั่นราวดิว่าแผดเสียงแปดหลอดพลางเอากีบตีนก่ายหน้าผาก คุณพี่เอกหนอ...เห็นฉันเป็นคนลามกเข้าหน่อย เลยหมายมั่นฟันธงว่า ฉันมีวรยุทธ์แก่กล้า สามารถถ่ายทอดกระบวนท่าลีลาหงส์ร่อนมังกรรำ ขนาดเขียนหนังสือ How to สอนคนมีเซ็กส์ได้เชียวหรือนี่ ไม่อยากจะบอกให้อายตัวเอง ข้าพเจ้านี่หนอก็มีความรู้ด้านนี้น้อยนิด เปรียบไปก็เหมือนสอบตกชั้นอนุบาน (แปลว่าบานเล็กๆ) ด้วยซ้ำ มิอาจหาญจะไปสอนใครได้หรอก เผลอๆ คนอ่านจะสมเพชด้วยซ้ำว่า "เขียนได้แค่นี้เองเหรอยะ"

ยิ่งถ้าหนังสือออกมาแล้วโดนโจมตี ฉันไม่ต้องไปขึ้นเขียงเป็นจำเลยสังคมกลางรายการอีตาสรยุทธ์เหรอเนี่ย ไม่ได้กลัวพิธีกรหรอก แต่บรรดาข้อความที่ส่งจากทางบ้านนี่สิคิดแล้วเซ็งเป็ด...

"ต๊าย! หน้าแบบนี้เคยมีอะไรกับเขาด้วยเหรอยะ",
"หน้าเหมือนซูนิโอะ เห็นแล้วหมดอารมณ์เพศ",
"เขียนหนังสือแบบนี้ทำร้ายเยาวชน",
"แว่นสวยนะเธอ หุหุ" ฯลฯ

อ๊ายส์! ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ขออ้อมอกอุ่นๆ ให้ซุกไซ้ใบหน้าหน่อยได้ไหม!

"เอ่อ...คุณน้องครับ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า พี่ไม่ได้ให้น้องไปเขียนสอนท่าลีลาสยิวนะครับ พี่จะให้น้องเขียนเกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ในเกย์ เขียนในเชิงมิติทางสังคมและวัฒนธรรมน่ะครับ พี่ว่าน้องน่าจะถนัด" คุณพี่เอกหว่านล้อม

"เราน่าจะทำอะไรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกย์ด้วยกันบ้างนะคุณน้อง ว่าไหม" พี่ท่านทิ้งท้ายไว้อย่างคมกริบ

เฮ้อ...ฉันถอนหายใจโล่งอก แม้ว่าจะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่อดใช้ข้ออ้างการเขียนในการ "เก็บข้อมูล" คิดดูแล้วนี่เป็นงานที่ท้าทายและมีประโยชน์น่าดูชม ไม่แน่นะ ตัวหนังสือของฉันอาจจะช่วยให้เกย์สักคนที่ได้อ่านเกิดฉุกคิดอะไรได้ ทำให้ชีวิตของเขาปลอดภัยจากโรคเอดส์ขึ้นมาได้ ฉันว่ามันก็คุ้มที่ทำอะไรเป็นประโยชน์ให้ "มวลมะตุ๊ดสะยะชาติ" ล่ะว้า อู้ย! บุญหลายแต้ๆ เน้อ!

เผื่อผลบุญกุศลอันแรงกล้านี้จะทำให้ฉันได้มีเพศสัมพันธ์กับเขาบ้างสักทีเถิ้ดดด!! อ๊ายส์!

  

2

สมัยเด็กๆ ฉันเคยยกมือถามคุณครูว่า "คุณครูขา ทำไมถึงเรียกตุ๊ดว่า ‘รักร่วมเพศ' ล่ะครับ ในเมื่อทุกๆ
เพศก็น่าจะรักการร่วมเพศไม่ใช่เหรอคะ"

จำได้ว่าทั้งห้องฮาก๊าก แถมอาจารย์ยังหาว่าด.. มาริยา มหาประลัย เป็นเด็กลามก จะฟ้องพ่อแม่อีกแน่ะ!

เอ้า! ฉันพูดอะไรผิดล่ะ คนหน้าไหน เพศไหนก็รักการร่วมเพศกันทั้งนั้นชิมิเคอะ! รึคุณไม่ชอบ ชิ! เชอะ! เฮอะ! ฮิ!

ถ้าตีความจากคำนี้จะเห็นได้ว่า มันสอดรับกับมายาคติที่ว่า "เกย์แม่งมั่ว" ได้อย่างโป๊ะเชะเละตุ้มเป๊ะ กลายเป็นว่า มิติด้านอื่นๆ ของเกย์ก็ถูกละเลยไปหมดเหลือแต่กิจกรรมทางเพศ ไม่ต่างอะไรกับการลดความเป็นคนลงให้เหลือแค่ "นักผสมพันธุ์" ได้ยินคำนี้ทีไรอดคิดคันๆ ตามไม่ได้ว่า วันๆ เกย์ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วหรือไง นอกจากจะป๊าบๆ กัน

ที่พูดนี่ไม่ได้อิจฉานะคะคุณ! อ๊ายส์! 

จะว่าไปแล้ว เกย์กับเอดส์ถูกผูกโยงให้กลายเป็น "คู่กรรม" กันมาตั้งแต่การถือกำเนิดของการกระโดดข้ามสายพันธ์ของเชื้อ HIV จากลิงมาสู่คน ด้วยเรื่องเล่าทำนองว่า เกย์ไปทำมิดีมิร้ายกับลิงเลยได้รับเชื้อนี้มา เห็นไหมเกย์มันมั่ว เอาไปทั่ว ลิงเจี๊ยกๆ ยังไม่เว้นเล้ยยย!

อ๊ายส์! คิดได้เนอะ!

อะแฮ่ม! ข้าพเจ้าขอชี้แจงแถลงไขดังนี้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บอกได้ว่าเชื้อ HIV จากสัตว์กระโดดมาสู่คนได้อย่างไร เหมือนที่โรคไข้หวัดนกกระพือปีกมาติดคนได้ยังไงนั่นแหละ (นี่คงไม่คิดว่าคนไปทำปั่มปั๊มกับไก่ชิมิเคอะ!) แต่บังเอิ๊ญ...บังเอิญ ผู้ติดเชื้อ HIV คนแรกที่เท่าที่มีการตรวจพบเจอในสมัยนั้นดันเป็นเกย์ บวกกับการที่ความหลากหลายทางเพศยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นผู้เป็นคนเหมือนปัจจุบัน สมมติฐานป่วงๆ แบบนี้เลยเกิดขึ้นได้ เกย์เลยงานเข้า ถูกใส่ร้ายว่าเป็น ผู้ต้องหาคดีนำเข้าโรคเอดส์มาสู่มวลมนุษยชาติไปเสียฉิบ

โธ่!...เก้งกวางน้อยๆ ของป้า!


ซึ่งมาคิดๆ ดูแล้ว การที่มนุษย์คนแรกที่ตรวจพบเชื้อ HIV เป็นเกย์ ก็ไม่สามารถนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เกย์เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์อย่างที่กล่าวโทษกันมิใช่หรือ เพราะอาจจะมีคนที่มีเชื้อ HIV อยู่นอกจากคนนี้ แต่บังเอิ๊ญ...บังเอิญ มาตรวจเจอเอาที่เกย์คนนี้พอดี...ก็แค่เนี๊ยะ!


แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเมื่อเจ้า
HIV ไม่เคยเว้นหน้าเพศไหน ก็ป่วยการที่จะมานั่งขุดซากหาต้นตอว่าเป็นเพราะเพศไหน เป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดที่จะโยนบาปให้เพศใดเพศหนึ่ง เหมือนที่ลีน่าจังประกาศนั่นแหละว่า ชาวกรุงเทพฯ เจ้าขา คุณควรจะเลือกผู้หญิงเป็นผู้ว่าฯ นะคะ เพราะผู้หญิงมีต่อมความชั่วน้อยกว่าผู้ชาย อ๊ายส์! จะชั่วหรือไม่ชั่วนี่มันอยู่ที่โครโมโซม XX หรือ XY เหรอแม่คุณ! 

งานโฆษณารณรงค์การป้องกัน HIV ของฝรั่งชิ้นหนึ่งที่ฉันค้นเจอ สะท้อนถึงมายาคติที่มีต่อเกย์อย่างดี โฆษณาชิ้นนี้เขียน Copy ซะน่ากลัวว่า "HIV เป็นโรคของเกย์ เป็นเจ้าของมันก็ต้องหยุดมัน!"  (HIV is a gay disease. Own it. End it.)

ว้าย! เอางี้เลยเหรอคะ!
เท่าที่ฉันเข้าใจ ต้นตอความคิดของ Copy นี้อาจจะมาจากมายาคติที่ว่า เกย์เป็นต้นตอของ HIV แถมจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ที่เป็นเกย์ก็พุ่งปรู๊ด ราวกับพวกมนุษย์สายรุ้งนี่หนอไม่ได้รู้สึกรู้สากันบ้างหรือไง(ยะ) เลยประกาศมันโต้งๆ ซะเลยว่า พวกเกย์ทั้งหลายโปรดทราบโปรดแซ่บ! HIV นี่มันเป็นโรคของหล่อน แถมหล่อนยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนอีก หล่อนก็ต้องรับผิดชอบนะยะ! เดี๋ยวแม่จับมาดอนน่าเป็นตัวประกันเลยนี่! อ๊ายส์!

การกล่าวโทษว่า HIV เป็นโรคของเกย์ เหมือนเป็นการติ๊ต่างเท่งทึงทึกทักแถเอาเองว่า ใครเป็นเกย์ก็เป็นเอดส์ชัวร์ป๊าบ! ยิ่งถ้าไปดูแผนการรณรงค์ป้องกันเอดส์ของรัฐไทยเราเมื่อตอนต้นๆ นะคุณเอ๊ย ยิ่งฮาก๊ากใหญ่ เขาใช้ตรรกะว่า ในเมื่อกลุ่มเสี่ยงคือ เกย์ โสเภณี คนที่ใช้ยาเสพติด เพราะฉะนั้นวิธีป้องกันเอดส์คือ เลิกเป็นเกย์ เลิกเป็นโสเภณี เลิกใช้ยาซะสิ

เอางั้นเลยเหรอเพ่!

พอบอกว่า กลุ่มเสี่ยงคือ เกย์ โสเภณี คนที่ใช้ยาเสพติด สามกลุ่มนี้ก็ยิ่งซวยใหญ่ โดนตีตราว่าขึ้นชื่อว่าเป็นเกย์ เป็นโสเภณี หรือใช้ยาเสพติดปั๊บ กิ๊วๆ! ต้องเป็นเอดส์แน่นอน เลยยิ่งโดนสังคมตั้งท่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากข้องแวะหรือยื่นมือช่วยเหลือ และยังพยายามถีบให้คนพวกนี้ไปจากสังคม ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นคนกลุ่มนี้ก็สบายใจเฉิบคิดว่าเอดส์เป็นโรคไกลตัว ฉันไม่ติดหร้อกกก เชิดๆ! สวยๆ!

เป็นไงล่ะ งานเข้ากันถ้วนทั่วทุกนางนายเลยทีเดียว!
ยิ่งระยะหลังมานี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อในผู้ให้บริการทางเพศยิ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน เป็นไปได้ว่า ยิ่งเขารู้ตัวว่าเขาเสี่ยง เขายิ่งต้องป้องกันตัวเองให้ดีใหญ่ อย่าทำเป็นเล่นไป ฉันเคยไปสัมภาษณ์คนทำงานกลุ่มนี้ คุณเอ้ย! เขาเข้าใจการป้องกันโรคดีกว่าคนทั่วไปอีกนะ เพราะเขาต้องอยู่กับมันทุกวัน เราๆ เสียอีกที่ความรู้ด้านการป้องกันยังคลุมเครือ เสี่ยงไม่เสี่ยงไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเสียว...คีมูจี๋...อิคคึๆ

หันมาดูเก้งกวางกันบ้าง ตัวเลขก็พุ่งเอ้า...พุ่งเอา เฮ้อ! พอมีข่าวที่เกี่ยวกับเกย์และเอดส์ทีไร ก็มักโฟกัสที่จำนวนเกย์ที่ติดเชื้อ พร้อมทั้งน้ำเสียงเชิงตำหนิว่า นังพวกนี้สำส่อนจริงหนอ แต่จากรายงานของมูลนิธิวิจัยโรคเอดส์ของสหรัฐฯ (American Foundation For Aids Research) ที่เปิดเผยว่า ปัญหาเรื่องโรคเอดส์ในปัจจุบันอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง 71% ของ 128 ประเทศไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ในกลุ่มชายรักชาย โดยนโยบายหรือโครงการป้องกันเอดส์จะเน้นไปที่กลุ่มสตรี ยาเสพติด ผู้อพยพ หลายประเทศยิ่งออกทะเลแล้วใหญ่ การเป็นเกย์ถือเป็นเรื่องร้ายแรงราวอาชญากรรม แล้วเรื่องอะไรรัฐจะต้องใส่ใจไปดูแลคนพวกนี้ชิมิเคอะ!

เรื่องนี้น่าจะอธิบายได้ว่า การที่รัฐบาลไม่เคยโฟกัสเรื่องเอดส์กับเกย์เลย ไม่เคยมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อในเกย์มาให้เกย์ทราบ ฯลฯ น่าจะเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ตัวเลขเกย์ที่ติดเชื้อพุ่งปรู๊ดขึ้น มากกว่าจะอธิบายด้วยพล็อตสูตรสำเร็จเดิมๆ ว่า เกย์มั่วกันเอง แต่ละเลยมิติทางสังคมด้านอื่นๆ

3

สมการง่ายๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ที่เรามักนึกถึงก็คือ
1. มั่ว = เอดส์ คนเป็นเอดส์นี่เพราะมันมั่ว สำส่อน มันเอาไม่เลือก ไม่เคยรักใครจริง สม!
2. ประมาท = เอดส์ กะอีแค่ใส่ถุงยางนี่มันยากเย็นตรงไหนฟะ ทำตัวเองแท้ๆ สม!

ผลก็คือ เวลาถามใครว่าคิดว่าตัวเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อไหม คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี้...ไม่มีทาง ฉันไม่มั่วนะเฟ้ย ฉันรักเดียวใจเดียว"

ก็เพราะ "ไม่มี้...ไม่มีทาง" นี่แหละครับ เลยไม่เคยคิดว่ารัชเชี่ยนรูเล็ตมันจะมาตกที่เรา แถมยังเป็นการสาดเสียเทเสียเหมารวมว่าคนติดเชื้อเป็นคนไม่ดีอีกแน่ะ

แต่ทราบไหมครับว่า ผู้ติดเชื้อส่วนมากเป็นคนรักเดียวใจเดียว มีเพศสัมพันธ์กันคู่คนเดียว เผลอๆ มีกับคนแรก โออิชิก็แจกล้านซะแล้ว ใครจะไปรู้ล่ะว่าคู่ของเราก่อนหน้าเคยยกทัพไปตีเมืองไหนมาแล้วบ้าง ตัวเราเองก็เถอะ ก่อนหน้านั้นก็ไสช้างเข้าเบรกพลมาบ้างแล้วไม่ใช่เหรอ

ถ้าสมการ มั่ว = เอดส์ ถูกต้องจริง การจะติดเชื้อทั้งทีก็คงเหมือนการสะสมแต้ม เก็บครบสองร้อยคนเชิญมาแลก HIV เป็นของสมนาคุณได้ (พร้อมแพ็คเกจทำรีแพร์ที่ยันฮี) แต่นี่แค่ครั้งเดียวก็แจ็คพอตได้ เพราะฉะนั้น สมการข้อนี้จึงตกไป เชิญออก!

ส่วนสมการข้อที่ 2 นั้น อู้ย! เรื่องใช้ถุงยางน่ะใครๆ ก็รู้ เผลอๆ ปิดไฟยังใส่ได้เลย (แหม...เขามีแบบ Glow in the dark ด้วยนะคู้ณ!) แต่เราจะอธิบายการติดเชื้อ HIV โดยละเลยมิติทางสังคมไปได้อย่างไร เช่น คุณจะทำอย่างไรล่ะถ้าบอกแฟนว่าให้ใช้ถุงยางอนามัยแล้วเขาไม่ยอม แถมยังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาหาว่าคุณรังเกียจเขา เผลอๆ จะพาลหาว่าคุณไปมีชู้อีกหนึ่งข้อหา หรือบางคนไว้ใจเห็นว่าเป็นแฟนกันแล้วนี่นา คงไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องใส่ก็ได้ ฉันเป็นของเธอคนเดียว...ได้เกรดบวกในสมุดพกกันเลยคราวนี้

เมื่อถุงยางอนามัยถูกผูกโยงกับความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ มิติทางสังคม ไม่ใช่แค่เรื่องความหื่นขึ้นหน้าจนประมาท จะเห็นได้ว่า กว่าจะไปถึงขั้นตอนการใส่ถุงยางได้นั้น มีประเด็นที่เราต้องเผชิญมากมายระหว่างทาง อธิบายแค่ว่า ไม่ประมาทก็จบคงตื้นไปหน่อย สมการข้อนี้จึงสมควรตกไปเช่นกัน เชิญออก!

ประเด็นการรณรงค์ในตอนนี้จึงไม่ควรหยุดแค่ "อย่าประมาท อย่าสำส่อน" แต่ควรไปไกลถึงมิติอื่นด้วย มีโฆษณาการรณรงค์ชิ้นหนึ่งจาก BBDO ฝรั่งเศสที่ตอบโจทย์โดนใจฉันมาก มันเป็นรูปเปลือยของผู้ชายและผู้หญิงที่รีทัช "ตรงนั้น" ออกไป ข้างล่างเขียน Copy ว่า เซ็กส์ที่ปราศจากถุงยาง ก็เหมือนไม่มี "ไอ้นั่น" ติดตัว เซ็กส์ที่ไม่เสี่ยงไม่มีในโลก (Sex without risk does not exist.) เขาต้องการสื่อว่า เราควรจะให้ถุงยางกับ "ไอ้นั่น" หลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่มีถุงยาง ก็คือไม่มีจุ๊จู๋นั่นแหละ  อ๊ายส์! เริ่ด! ข้าน้อยขอคารวะในความคิดสร้างสรรค์

ไม่เกี่ยวกับที่เอารูปผู้ชายแก้ผ้ามาให้ดูหรอกนะ!

4

มาดอนน่า แม่ย่านางแห่งวงการเพลงป๊อบและตัวแม่ของชาวเกย์ เคยแต่งเพลง ‘In This Life' อุทิศให้เพื่อนรักของเธอที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ ก่อนที่จะร้องเพลงนี้ในคอนเสิร์ต The Girlie Show เมื่อปี 1993 เธอกล่าวว่า

"เพลงต่อไปนี้ที่ฉันจะร้องนั้น ฉันแต่งให้เพื่อนรักของฉันซึ่งเสียชีวิตจากโรคเอดส์ และแม้ว่าคุณจะไม่รู้จักชื่อของเขา แต่ฉันเชื่อว่า พวกคุณแต่ละคนที่มาในคืนนี้คงรู้จัก หรือกำลังจะได้รู้จักคนใกล้ตัวที่เจ็บปวดจากโรคเอดส์...โศกนาฏกรรมที่ใหญ่หลวงที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20"

แม้ว่าตอนนี้จะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 มาหลายปีแล้ว แต่เอดส์ก็ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่อยู่ดี ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่เคยคิดว่าไกลตัวกลับใกล้ตัวเรากว่าที่คิด จนอดตั้งคำถามว่า เราจะอยู่นิ่งๆ เฉยๆ กันอย่างนี้ท่ามกลางความสูญเสียทุกวินาทีจริงๆ หรือ

ในท่อนหนึ่งของเพลง ‘In This Life' บอกว่า...

"คุณเคยเห็นเพื่อนรักของคุณตายไหม...
คุณเคยเห็นคนที่โตแล้วร้องไห้ไหม...
บางคนบอกว่าชีวิตช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...
ฉันบอกว่า ใครเล่าจะสนใจ...
พวกเขาคงอยากเบือนหน้าไปทางอื่นมากกว่า...
และก้มหน้ารอให้มันผ่านพ้นไปเอง...
ทำไมเราต้องเสแสร้งว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ฉันได้แต่ภาวนาว่าสักวันมันจะสิ้นสุดเสียทีในชั่วชีวิตนี้..."

ฉันหวังว่า ตัวหนังสือของฉันจะช่วยชีวิตใครได้บ้าง ตัวหนังสือของฉันจะช่วยให้โรคร้ายนี้หมดไป...อย่างน้อยก็หวังว่าจะสิ้นสุดในชั่วชีวิตที่ฉันมี

 

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา
กิตติพันธ์ กันจินะ
ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
กิตติพันธ์ กันจินะ
สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ
กิตติพันธ์ กันจินะ
เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น…
กิตติพันธ์ กันจินะ
หายไปเสียนานกับบ้าน “หนุ่มสาวสมัยนี้” เพราะต้องทำงานโครงการป้องกันเอดส์ และเพศศึกษากับเพื่อนๆ เยาวชนในหลายๆ ภาค ทำให้เวลาในการเขียนขีดมีน้อยกว่าเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็สามารถจัดการเวลากับตัวเองได้ลงตัวมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทีเดียว
กิตติพันธ์ กันจินะ
อุ่นใจ บัว เขาเสยผมที่ยาวประ่บ่าแล้วรวบไว้ด้านหลังเบาๆ พลางเอื้อมมือดันเพื่อปิดประตูห้องหมายเลข 415 วันนี้เป็นวันที่เขาต้องขนย้ายข้าวของและสัมภาระต่างๆ กลับบ้านที่ต่างจังหวัด หลังจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว เขาเดินทางออกจากบ้านเพื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างเต็มตัว สี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เขากำลังนึกถึงภาพของความหลังครั้งอดีต โดยเฉพาะความหลังที่เกิดขึ้นภายในห้องพักที่อยู่เบื้องหน้า หนึ่งในเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในม่านความคิดของเขาก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวห้าคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
  กิตติพันธ์ กันจินะ -1-วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ผมน้อมนำกายไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะกลับเชียงรายเลย และอยากให้วันอาทิตย์นี้เป็นของขวัญแก่ตัวเองในการพักผ่อน หยุดขยับเรื่องงาน และเอาใจมาคิดถึงเรื่องด้านในของตัวเองด้วย เช้าตรู่ของวันอาทิตย์นี้ ผมตื่นนอนตามปกติ ไม่สายและไม่เช้าจนเกินไป และอยู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้โทร.กลับหนึ่งสาย นั้นคือ พี่จ๋อน แห่งมะขามป้อมนี้เอง สำหรับพี่จ๋อนและพี่ๆ มะขามป้อมแล้ว ผมถือว่ารู้จักมักคุ้นกับพี่ๆ มานานหลายปี โดยผมเริ่มรู้จักกับมะขามป้อม เมื่อตอนยังเด็กเลยแหละ จนถึงทุกวันนี้ก็นานพอควร พี่บางคนพอจำกันได้…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  มาริยา มหาประลัย1เมื่อเดือนก่อน คุณพี่เอก บก. (อันย่อมาจากบรรณาธิการ ไม่ใช่บ้ากาม) นิตยสารผู้ชายฉบับหนึ่งที่ฉันเคยอาศัยเงินเดือนเขายาไส้ แถมยังเป็นเจ้านายที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยร่วมงานด้วย โทรศัพท์ตรงดิ่งวิ่งปรี่มาหาฉัน บอกว่ามีงานเขียนให้ฉันทำ คุณพี่เอกยังหยอดคำหวานปานพระเอกลิเก(ย์)อ้อนแม่ยกอีกว่า พอได้รับโจทย์ปุ๊บ หน้าฉันก็โผล่พรวดเด้งดึ๋งขึ้นมาปั๊บ เห็นทีจะเป็นลิขิตจากนรก เอ้ย! สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ส่งให้ฉันมาเขียนเรื่องนี้ อู้ย! อยากรู้จริงเชียวว่าเรื่องอะไรหนอ..."คุณพี่อยากให้คุณน้องเขียนเรื่อง Safe Sex ของเกย์ให้เกย์อ่าน"อ๊ายส์! อ๊ายยยส์!!อ๊ายยยยยยส์!!!…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย (หมายเหตุ – อะแฮ่ม! ขอออกตัวว่าฉันเป็นคนรู้เรื่องศาสนาเพียงน้อยนิด ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตตามภูมิความรู้ที่มี ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ เพียงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ใครจะกรุณาแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อช่วยให้แตกกิ่งก้านสาขาเซลส์สมองของฉัน ก็ขอกราบแทบแนบตักขอบพระคุณงามๆ มา ณ ที่นี้ด้วย...ชะเอิงเอย) วันที่ 9 เดือน 9 ปีนี้ ฉันและผองเพื่อนมีวาระแห่งชาติในการปฏิบัติภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือสะพานมัฆวานฯ ใครจะกู้ชาติ กู้โลก หรือกู้เจ้าโลกก็ขอเว้นวรรคความใส่ใจสักวันเถอะ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย สาบานได้ว่า พิธีเปิดโอลิมปิกที่ปักกิ่งซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปสร้างความตะลึงพรึงเพริศ และสามารถตรึงขนทุกเส้นของฉันให้ลุกชันได้ยิ่งกว่าตอนนั่งดูกระโดดน้ำชายเสียอีก (เพราะกระโดดน้ำชายทำให้อย่างอื่นลุกและคันมากกว่า นั่นแน่! คิดอะไร! นั่งดูทีวีนานๆ ยุงมันกัดเลยต้องลุกขึ้นมาเกาเฟ้ย! อ๊ายส์!)  “แม่เจ้าโว้ย! อะไรมันจะ %$#@*&+ ขนาดนั้นฟะเนี่ย!!!” ฉันไม่รู้จะหาคำวิเศษณ์คำไหนมาบรรยายความวิเศษของภาพตรงหน้าได้ ตลอด 3 ชั่วโมงนั้นฉันเผลออ้าปากค้าง ทำตาโต ตบอกผางไปไม่รู้กี่ครั้ง และหลายครั้งเล่นเอาความตื้นตันมาชื้นอยู่ตรงขอบตาเชียวล่ะคุณ อะไรจะขนาดนั้น!
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย    เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง