Skip to main content

มาริยา มหาประลัย

20080507 สวรรค์เบี่ยง

ปล. คาวีเป็นชื่อพระเอกในละครตบจูบเรื่อง “สวรรค์เบี่ยง” ทางช่อง 3 ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้

สวัสดีค่ะ คุณคาวี

พักนี้มีข่าวข่มขืนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กันพรึ่บพรั่บ ราวกับคนในบ้านเมืองของเราร่วมแรงแข็งขัน (และแข่งขัน) กันข่มขืนเป็นเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งแต่รุ่นเด็กประถมยันอาจารย์มหาวิทยาลัย ดูแล้วชวนห่อเหี่ยวละเหี่ยใจเสียฉิบ

ไม่ยักเหมือนเวลาดูคุณคาวีข่มขืนเลยนะคะ ดูแล้วได้ความบันเทิงเริงเมืองปนโรแมนติค

ก็แหม…เวลาพูดถึงคนร้ายข่มขืนผู้หญิงทีไร ใครๆ ก็นึกถึงแต่ผู้ชายตัวดำๆ ไว้หนวดเครารุงรัง หน้าเถื่อนๆ ยืนดักอยู่ตามซอกตึก เหม็นกลิ่นเหล้าคุ้งเคล้ากลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวปลาตามตัว...อี๋!!! เหม็นสาปความจน! ไม่เหมือนคุณคาวีนี่คะ ขาวตี๋รวยหล่อหอเจี๊ยะน่าหม่ำซะขนาดนั้น อุ๊ย! เขิน...

ชีวิตคุณคาวีนั้นเล่าก็น่าสงสารยิ่งนัก พ่อก็ไม่รัก เลยมีปมเป็นคนขาดความอบอุ่น ขวางโลก แสดงความรักไม่เป็น ต้องหาทางออกด้วยการข่มขืนผู้หญิง อะไรไม่ได้ดั่งใจเป็นได้อาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่ ต๊าย! หล่อแต่เลวนะคะเนี่ย!   

แต่ถึงคุณจะโง่สมกับเป็นพระเอกละครไทยขนาดนี้ แต่ยังไงเสียทั้งนางเอกและคนดูก็รักและพร้อมจะเข้าใจคุณเสมอว่าที่คุณทำไปก็เพราะความแค้น อีหรอบเดียวกับที่ประคบประหงมความเข้าใจให้เพื่อนของคุณ อย่างคุณหฤษฎิ์จาก “จำเลยรัก” คุณพินิจนัยจาก “ลิขิตกามเทพ” และจากอีกสารพัดละครไทย  

ตัดภาพฉับมาที่ข่าวแรงงานต่างด้าวข่มขืนหญิงไทย ข่าวมอเตอร์ไซค์รับจ้างกระชากสวาทนักศึกษา ฯลฯ ไม่ยักกะเห็นคนจะพยายามค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากโดยด่วนสรุปว่าเป็นคนหื่นห่าเป็นสันดาน แทนที่จะพยายามใช้โอกาสนี้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง และนำสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาใช้ป้องกันและแก้ไขการข่มขืนได้ต่อไป

“เป็นผู้หญิงอย่าแต่งตัวโป๊ อย่าเดินในที่เปลี่ยวๆคนเดียว” คือคาถาสามัญประจำบ้านที่เราใช้กันตลอด คุณคาวีและพระเอกละครจอมข่มขืนอีกหลายคนฟังแล้วคงหัวเราะก๊าก เพราะนางเอกที่คุณข่มขืนกันไม่เห็นต้องลงทุนแต่งตัวโป๊กันสักนาง คุณก็ข่มขืนได้ แถมต่อให้คุณเลวต่อเธอแค่ไหน สุดท้ายเธอก็รัก แหม...ไม่ต้องเรียน MBA ก็รู้ว่าการลงทุนของคุณคุ้มค่ายิ่งกว่ากักตุนเงินดอลลาร์เพื่อเก็งกำไรเมื่อปี ‘40!

ต๊าย! แล้วนี่สมมติผู้หญิงสวยและชอบแต่งตัวเซ็กซี่ถูกข่มขืน แปลว่าหล่อนสมควรแล้วที่จะโดนกระทำระยำตำบอนใช่ไหมคะ! แปลว่าหล่อนหาที่เองใช่ไหมคะ! แปลว่าการข่มขืนผู้หญิงแต่งตัวโป๊เป็นความชอบธรรมใช่ไหมคะ! ชิมิเคอะ!!!

คนเขาชอบโทษกันว่าผู้หญิงเราแต่งตัวโป๊เพราะรับสื่อตะวันตกมาก แล้วที่ผู้ชายไทยชอบข่มขืนผู้หญิงนี่เพราะรับสื่อบ้านตัวเองมากไปไหมคะเนี่ย!

แต่แหม...จะว่าแต่ผู้ชายก็คงไม่ถูก เพราะละครที่ผลิตขึ้นมาให้พระเอกข่มขืนนางเอกเนี่ย คนแต่งก็นักเขียนผู้หญิง แถมคนดูคนอ่านคนชอบก็ผู้หญิง เอ๊ะ! คิดแล้วงงว่าตกลงผู้หญิงอยากโดนข่มขืนกันรึไง คุณคาวีงงเหมือนดิฉันไหมคะ  

ฟากหนึ่งเราบอกว่าการข่มขืนเป็นสิ่งเลวทรามต่ำช้า แต่อีกฟากหนึ่งเราก็ติดละครที่พระเอกข่มขืนนางเอกกันอย่างงอมแงม เมื่อไรหนอคุณภาคย์จะปล้ำดาวพระศุกร์ อุ้ย! วันนี้โกโบริจะปล้ำอังศุมาลินแล้วต้องรีบกลับบ้านไปดูคนโดนเอา เปิดไปหน้าข่าวบันเทิงในหนังสือพิมพ์เราก็อ่านเบื้องหลังการถ่ายทำฉากพระเอกปล้ำนางเอก ฯลฯ

ก็ไม่แปลกหรอกที่คนดูจะชอบคุณ คนคัดนักแสดงเขาอ่านเกมขาดจะตายไป ก็ทั้งบรรดานักแสดงชายที่มาเล่นบทพระเอกจอมข่มขืนน่ะ ล้วนแต่เป็นผู้ชายที่มีภาพลักษณ์อบอุ่น น่าซบกันทั้งนั้น คนที่ดูอบอุ่นลงตัวเป็นผู้ชายในฝันอย่างเคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ หรือมาร์ท กฤษฎา พรเวโรจน์แบบนี้มาข่มขืนผู้หญิงมันคง “น่าดู” และทำให้การข่มขืนดู “เบา” กว่าให้คนดูเห็นกรรมกรตัวดำเมื่อมมาข่มขืนเยอะ อู๊ย! แค่คิดว่าเป็นพี่เคนดิฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วค่า!  

แถมพระเอกที่ชอบข่มขืนนางเอกแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ลากมากดีมีอันจะกินทั้งนั้น ใครกันหนอไปจินตนาการว่าผู้ร้ายข่มขืนคนน่ะต้องจน ต้องขี้ยา ขี้เมา และขี้เอาเสมอไป ไม่จริ๊ง! ดิฉันขอขึ้นเสียงสูงเถียงสุดขาดใจดิ้น ไอ้ครั้นเรื่องไหนพระเอกติดเกาะกับนางเอกสองต่อสอง อู๊ย! โรแมนติคค่ะ! เนื้อแนบเนื้อ มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลมและสองเราเอากันเคล้าเสียงคลื่นครืนๆ ต๊าย! อะไรก็ดูจะเป็นใจเสียจริง ขนาดจะข่มขืนกันทั้งทียังโรแมนติคเลยค่ะ! คิดดูสิคะ หลังแนบทรายยังไง้...ยังไงก็โรแมนติคกว่าโดนหลังแนบพงหญ้าหรือดงอ้อยอย่างในข่าวเห็นๆ

ต๊าย!...เขายังเรียกฉากพระเอกข่มขืนนางเอกว่า “เลิฟซีน” เชียวนะคะ คุณคาวีช่วยตอบให้ดิฉันหายข้องใจหน่อยสิคะว่า คนโดนข่มขืนนี่มันเลิฟกันยังไง(ฟะ)!

คุณคาวีว่าสังคมไทยเรานี่เสพติดการข่มขืนหรือเปล่าคะ แต่แหม...ครั้นจะรังเกียจการข่มขืนก็ชิงชังเฉพาะการที่คนที่ “วรรณะ” ต่ำกว่าเรามาข่มขืน เช่น คนที่ฐานะต่ำกว่ามาข่มขืนเรา เดี๋ยวเนื้อตัวเราจะแปดเปื้อนความจน ผู้หญิงแต่งตัวโป๊น่ะเหรอคะ โดนไปเถอะค่ะ กิ๊วๆ! สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ! แต่ถ้าคนรวยๆ หล่อๆ อย่างคุณคาวีมาข่มขืนเราน่ะเหรอคะ ไม่ค่ะ...ไม่มีปัญหาค่ะ อย่าค่ะ...อย่าช้า! กำลังโรแมนติค!!!   

ก็ไม่แปลกหรอกนะคะถ้ามีเด็กมีคุณคาวีเป็นไอดอล โตขึ้นอยากเป็นพระเอก จะได้ข่มขืนนางเอกได้ง่ายๆ ดิฉันว่ามันก็สมเหตุสมผลอยู่มิใช่น้อย

แต่หนูจ๋า เป็นพระเอกอย่างเดียวไม่พอหรอกลูก คุณพี่มาริยาคนสวยขอเสริมว่าต้องเป็นพระเอกที่รวยด้วยนะจ๊ะ จะได้ข่มขืนนางเอกได้ทั้งอย่าง “ชอบทำ” และ “ชอบธรรม” ดังนั้น ส่วนถ้าเห็นผู้หญิงแต่งตัวโป๊ล่ะก็ปล้ำแม่งเลย ส่วนน้องผู้หญิง จำไว้นะคะว่า โดนทั้งทีต้องเอาให้รวยหน่อย เปลี่ยนพรหมจรรย์ให้เป็นทุนเลยค่ะหนูขา!   

ขอเกทับกันล่วงหน้าเลยค่ะว่า คุณคาวีได้ตกกระป๋องแน่ เพราะต่อไปสวรรค์เบี่ยงของคุณคงเอียงกะเท่เร่สู้สังคมของฉันไม่ได้ ความเน่ามันคนละชั้นกันย่ะ! 

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา
กิตติพันธ์ กันจินะ
ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
กิตติพันธ์ กันจินะ
สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ
กิตติพันธ์ กันจินะ
เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น…
กิตติพันธ์ กันจินะ
หายไปเสียนานกับบ้าน “หนุ่มสาวสมัยนี้” เพราะต้องทำงานโครงการป้องกันเอดส์ และเพศศึกษากับเพื่อนๆ เยาวชนในหลายๆ ภาค ทำให้เวลาในการเขียนขีดมีน้อยกว่าเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็สามารถจัดการเวลากับตัวเองได้ลงตัวมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทีเดียว
กิตติพันธ์ กันจินะ
อุ่นใจ บัว เขาเสยผมที่ยาวประ่บ่าแล้วรวบไว้ด้านหลังเบาๆ พลางเอื้อมมือดันเพื่อปิดประตูห้องหมายเลข 415 วันนี้เป็นวันที่เขาต้องขนย้ายข้าวของและสัมภาระต่างๆ กลับบ้านที่ต่างจังหวัด หลังจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว เขาเดินทางออกจากบ้านเพื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างเต็มตัว สี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เขากำลังนึกถึงภาพของความหลังครั้งอดีต โดยเฉพาะความหลังที่เกิดขึ้นภายในห้องพักที่อยู่เบื้องหน้า หนึ่งในเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในม่านความคิดของเขาก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวห้าคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
  กิตติพันธ์ กันจินะ -1-วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ผมน้อมนำกายไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะกลับเชียงรายเลย และอยากให้วันอาทิตย์นี้เป็นของขวัญแก่ตัวเองในการพักผ่อน หยุดขยับเรื่องงาน และเอาใจมาคิดถึงเรื่องด้านในของตัวเองด้วย เช้าตรู่ของวันอาทิตย์นี้ ผมตื่นนอนตามปกติ ไม่สายและไม่เช้าจนเกินไป และอยู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้โทร.กลับหนึ่งสาย นั้นคือ พี่จ๋อน แห่งมะขามป้อมนี้เอง สำหรับพี่จ๋อนและพี่ๆ มะขามป้อมแล้ว ผมถือว่ารู้จักมักคุ้นกับพี่ๆ มานานหลายปี โดยผมเริ่มรู้จักกับมะขามป้อม เมื่อตอนยังเด็กเลยแหละ จนถึงทุกวันนี้ก็นานพอควร พี่บางคนพอจำกันได้…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  มาริยา มหาประลัย1เมื่อเดือนก่อน คุณพี่เอก บก. (อันย่อมาจากบรรณาธิการ ไม่ใช่บ้ากาม) นิตยสารผู้ชายฉบับหนึ่งที่ฉันเคยอาศัยเงินเดือนเขายาไส้ แถมยังเป็นเจ้านายที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยร่วมงานด้วย โทรศัพท์ตรงดิ่งวิ่งปรี่มาหาฉัน บอกว่ามีงานเขียนให้ฉันทำ คุณพี่เอกยังหยอดคำหวานปานพระเอกลิเก(ย์)อ้อนแม่ยกอีกว่า พอได้รับโจทย์ปุ๊บ หน้าฉันก็โผล่พรวดเด้งดึ๋งขึ้นมาปั๊บ เห็นทีจะเป็นลิขิตจากนรก เอ้ย! สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ส่งให้ฉันมาเขียนเรื่องนี้ อู้ย! อยากรู้จริงเชียวว่าเรื่องอะไรหนอ..."คุณพี่อยากให้คุณน้องเขียนเรื่อง Safe Sex ของเกย์ให้เกย์อ่าน"อ๊ายส์! อ๊ายยยส์!!อ๊ายยยยยยส์!!!…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย (หมายเหตุ – อะแฮ่ม! ขอออกตัวว่าฉันเป็นคนรู้เรื่องศาสนาเพียงน้อยนิด ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตตามภูมิความรู้ที่มี ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ เพียงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ใครจะกรุณาแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อช่วยให้แตกกิ่งก้านสาขาเซลส์สมองของฉัน ก็ขอกราบแทบแนบตักขอบพระคุณงามๆ มา ณ ที่นี้ด้วย...ชะเอิงเอย) วันที่ 9 เดือน 9 ปีนี้ ฉันและผองเพื่อนมีวาระแห่งชาติในการปฏิบัติภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือสะพานมัฆวานฯ ใครจะกู้ชาติ กู้โลก หรือกู้เจ้าโลกก็ขอเว้นวรรคความใส่ใจสักวันเถอะ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย สาบานได้ว่า พิธีเปิดโอลิมปิกที่ปักกิ่งซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปสร้างความตะลึงพรึงเพริศ และสามารถตรึงขนทุกเส้นของฉันให้ลุกชันได้ยิ่งกว่าตอนนั่งดูกระโดดน้ำชายเสียอีก (เพราะกระโดดน้ำชายทำให้อย่างอื่นลุกและคันมากกว่า นั่นแน่! คิดอะไร! นั่งดูทีวีนานๆ ยุงมันกัดเลยต้องลุกขึ้นมาเกาเฟ้ย! อ๊ายส์!)  “แม่เจ้าโว้ย! อะไรมันจะ %$#@*&+ ขนาดนั้นฟะเนี่ย!!!” ฉันไม่รู้จะหาคำวิเศษณ์คำไหนมาบรรยายความวิเศษของภาพตรงหน้าได้ ตลอด 3 ชั่วโมงนั้นฉันเผลออ้าปากค้าง ทำตาโต ตบอกผางไปไม่รู้กี่ครั้ง และหลายครั้งเล่นเอาความตื้นตันมาชื้นอยู่ตรงขอบตาเชียวล่ะคุณ อะไรจะขนาดนั้น!
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย    เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง