Skip to main content

เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน

ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า

\\/--break--\>

ฉันได้แต่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจ หวังว่ามันจะรู้ว่าฉันไม่ได้เต็มใจจะทำอย่างนี้แม้แต่น้อย

 

นึกถึงตอนที่ไปถามซื้อกรงให้เจ้าสี่ขา คนขายยังอุตส่าห์แสดงความเห็นว่า ไม่น่าจะต้องซื้อกรง เพิ่มภาระให้ตัวเองเปล่าๆ

มีกี่ตัวแล้วละครับตอนนี้” เขาถาม

เอาแน่ไม่ได้ บางช่วงก็เยอะ บางช่วงก็น้อย” ฉันตอบ เขาส่ายหน้า บอกว่ามีอีกตั้งหลายวิธีที่ดีกว่าใช้กรง

ฉันไม่เถียง เพราะไม่มีอะไรชี้วัดถูกผิด วิธีคิดของคนเราแตกต่างกัน

…………………..

หมาเยอะจัง เลี้ยงไว้ขายหรือครับ”

คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างถาม เมื่อรับฉันจากตลาดหน้าอำเภอมาส่งที่บ้าน เสียงเห่าขรมทำให้เขาชะเง้อข้ามรั้วไปมองหมู่หมาที่มุงกันสลอนอยู่หลังประตู

คิดว่าอย่างนี้พอจะขายได้มั้ยคะ” ฉันชี้เจ้าสี่ขาตัวหนึ่งที่เป็นขี้เรื้อนขั้นรุนแรง และอยู่ระหว่างการรักษา

 

บ้านสี่ขามีแต่แมวๆ หมาๆ ที่ใครก็ไม่อยากเลี้ยง อย่าว่าแต่เรื่องซื้อขาย ให้ฟรีๆ ยังมีแต่คนส่ายหน้า

(ยกเว้นรถที่ตระเวนแลกถังน้ำกับหมา ที่ยังหมั่นแวะเวียนมาเมียงมองแถวบ้านสี่ขาบ่อยๆ)

สำหรับบางคน หมาต้องสวย น่ารัก สายพันธุ์ดี มีเพ็ดดีกรีประกอบ จึงจะมีสิทธิได้อยู่ร่วมบ้าน

แต่ถึงจะพันธุ์ดีแค่ไหน วันหนึ่งที่ไม่สวย สกปรก พิการ ซน ดื้อ หรือป่วยไข้ ก็อาจกลายเป็นหมานอกบ้านได้ง่ายๆ

ความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข คงมีได้เฉพาะในใจคนเท่านั้น

 

หมาผมออกลูกมาตั้งห้าตัว พี่เอามั้ย ผมให้หมดเลย” หนุ่มมอเตอร์ไซค์นำเสนอ

จะบ้าเรอะ!” ฉันเอ็ดตะโร (ในใจ) แต่จริงๆ แค่พูดว่า “ไม่ละค่ะ ขอบคุณ”

แล้วฉันก็หอบกรงสามกรงที่ซื้อมาเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล หมาหมู่กรูเข้ามาดมกรงอย่างสนอกสนใจ

ว่าไง ใครอยากเข้ากรงบ้างฮึ” ฉันถาม

.........................

ครั้งหนึ่ง ฉันมีโอกาสเข้าไปทำสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับชีวิตหลังกำแพงสูง ที่เรือนจำกลางบางขวาง สถานที่สำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์

 

หญิงสาวในคดียาเสพติดบอกฉันว่า ก่อนหน้านี้ เธอคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เมื่อกลายเป็นผู้ต้องขัง เธอกลับคิดถึงแต่พ่อแม่และครอบครัว คิดถึงความรักและห่วงใยที่เธอไม่เคยเห็นค่า

เธอได้แต่ตั้งใจทำความดี ด้วยความหวังว่าวันหนึ่ง (ที่แม้จะยังอีกนานเหลือเกิน) จะมีโอกาสกลับบ้านไปขอโทษทุกคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่

 

ชายหนุ่มคนหนึ่งหลั่งน้ำตา เมื่อภรรยาอุ้มลูกวัยขวบเศษมาหาพร้อมกับแม่วัยแปดสิบ เขาพลั้งพลาดขาดสติจนทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ชีวิต โทษทัณฑ์ที่ได้รับ ไม่เท่าความเจ็บปวดที่ได้เห็นความทุกข์โศกหม่นหมองของแม่ ความเหนื่อยยากของภรรยากับภาระที่เขาไม่มีโอกาสช่วยแบ่งเบา และลูกน้อยที่เห็นเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า

กว่าลูกจะได้ออกมา แม่คงไม่อยู่แล้ว” ประโยคสั่นเครือของแม่ ทำให้เขาก้มหน้าสะอื้นจนไหล่สะท้าน

 

สาวใหญ่อดีตเจ้ามือแชร์ลูกโซ่ เล่าถึงชีวิตประจำวันในทัณฑสถานว่า เธอมีอาหารครบทุกมื้อ มีงานอดิเรกให้เลือกทำ มีโอกาสสัมผัสความบันเทิงทางโทรทัศน์ มีแม้แต่การเข้าร้านเสริมสวยทำเล็บแต่งผม

แต่ทุกอย่างไร้ความหมายเมื่ออยู่หลังซี่กรง เธอเพิ่งรู้ว่าความมั่งคั่งที่เคยทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อได้ให้มา ไม่ได้เศษเสี้ยวของอิสรภาพที่เธอฝันถึงอยู่ทุกวันคืน

 

มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด คิดพลาด ในก้าวย่างที่ผ่านมาของชีวิต

แม้ไม่ได้ติดอยู่หลังกำแพงสูง แต่บางครั้งฉันก็คิดว่า

เราทุกคนล้วนเคยติดอยู่ในกรงขังที่หาทางออกไม่ได้

บางคนถูกขังอยู่ด้วยค่านิยมหรือสิ่งสมมุติที่ไม่อาจสลัดทิ้ง

บางคนติดอยู่ในความคาดหวังของตนเอง

บางคนจมปลักอยู่กับความล้มเหลวในอดีต

อาจมีบางคนกล้าดิ้นรนเพื่อค้นหาทางออก

แต่บางคนก็ยินยอมขังตัวเองอยู่ในกรงตลอดชีวิต

........................

เจ้าตัวเล็กในกรงยังคงจ้องมองฉัน ดวงตาใสบริสุทธิ์ของมันบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใหญ่ๆ หรือชีวิตน้อยๆ ต่างมีคุณค่าตามวิถีทางของตน

นึกถึงคนขายกรงขึ้นมาอีกครั้ง

ใช้กรงทำไมเสียเวลาเปล่าๆ ผมว่าใช้ยาเบื่อดีกว่า ใช้ก็ง่าย ได้ผลแน่นอน”

เขายังอุตส่าห์เสนอแนะ ทำเหมือนอยากขายยามากกว่าขายกรง

ไม่เอาค่ะ ทำไม่ลง และไม่ชอบ” ฉันตอบชัดเจน

 

ฉันก้มลงไปจนเกือบชิดกรง สังเกตพุงกลมๆ เล็กๆ ที่วันหนึ่งจะต้องมีลูกน้อยหลายตัวอยู่ในนั้น และออกมาวิ่งกันพล่านทั่วบ้านสี่ขาในเวลาต่อไป

วิธีที่ฉันเลือกน่าจะดีที่สุด ทั้งสำหรับมัน และสำหรับความรู้สึกของฉันเองด้วย

 

คิดแล้ว ฉันจึงหิ้วกรงเดินออกจากบ้านไปริมทุ่งนา จ้องไปในดวงตาใสแจ๋วของเจ้าสี่ขา บอกมันว่า ไปหากินเองเถอะนะ ขอโทษที่ให้อยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ บ้านสี่ขาขออุปการะแค่หมากับแมวนะจ๊ะ

 

ฉันเลื่อนประตูกรง เจ้าตาแป๋วเอียงคอมองฉัน แล้วหันไปมองประตูที่เปิดกว้าง

สักพักมันก็ร้องจี๊ดๆ แล้วก็วิ่งปรูดออกมาอย่างร่าเริง พาร่างเล็กสีเทาและหางยาวๆ หายลับไปหลังกองฟางอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…