Skip to main content

      เมื่อวาน ผมได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากชายชาวม้งคนหนึ่ง ซึ่งเขามีคนป่วยเรื้อรังเป็นแม่ของเขาเองที่อายุเยอะแล้ว และเป็นโรคกระดุกพรุน ลุกนั่งไม่ได้ ซ้ำมีแผลกดทับอันใหญ่ๆอีกด้วยสองแผล เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่าที่องค์กรที่ผมทำงานอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องผ้าอ้อมผู้ป่วย ยาทาแผล สำลี กระดาษชำระและอุปกรณ์รักษาแผลอื่นๆ เขาจึงมายื่นเรื่องขอรับการสงเคราะห์ ผมก็ได้รับเรื่องไว้แล้วก็ได้จัดการตามระเบียบ คือ ออกไปเยี่ยมดูบ้านและคนป่วยที่บ้าน เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด ผมจึงเลื่อนมาออกเยี่ยมบ้านคนป่วยวันนี้ ที่เป็นวันจันทร์

ช่วงนี้บนดอยสายฝนโปรยปรายไม่เว้นวัน

 

      บ้านของคนป่วยอยู่บนเทือกดอยยาว-ผาหม่น ซึ่งเป็นตะเข็บชายแดนกั้นระหว่างประเทศลาวกับไทย อยู่ใกล้ๆภูชี้ฟ้าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงราย และแน่นอน ความที่เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีการเดินข้ามไป-มาหาสู่กันอยู่ระหว่างชาวไทยชาวลาวทุกเชื้อชาติ-สัญชาติ พื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการลักลอบขน-ค้ายาเสพติดอีกด้วย ตำรวจสภ.แถวๆนี้จะมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดมีการตั้งด่านตรวจและขอตรวจค้นอยู่บ่อยๆ ทั้งในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ป่าห่างไกลชุมชน

หมู่บ้านชาวม้งบนไหล่เทือกดอยยาว-ผาหม่น

 

      ขาไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ฝนจะโปรยบ้าง แต่ก็บางเบา ผมขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าไปได้สบายๆ จนถึงบ้านผู้ป่วย พบปะ พุดคุย แนะนำ พร้อมทั้งกรอกประวัติลงข้อมูลและขอถ่ายรูปผู้ป่วยและญาติเพื่อเอามาจัดเก็บในแฟ้มข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็ลากลับ ขี่รถมาทางเดิม

      ขาลง เป็นทางลงดอย ลาดชันและค่อนข้างลื่นเพราะเพิ่งหมาดฝน ผมขี่ลงค่อนข้างเร็วเพื่อฝึกทักษะและต้องการให้คุ้นเคยกับรถคันใหม่เร็วๆ ซึ่่งกว่าจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาผ่านโค้งต่างๆลงมาได้จนใกล้ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ก็มีกลิ่นเบรกกลิ่นครัชไหม้โชยขึ้นมาให้ใจเสียเล่นๆ ลงเนินสุดท้ายเพื่อจะเข้าโค้งหักเลี้ยวไปหน้าหน่วยฯ ผมก็ต้องต๊กกะใจ!!! เมื่อเห็นชายฉกรรจ์เกือบสิบคนยืนจังก้าถือปืนอยู่...!!?

ทางก่อนขึ้นสู่แนวเทือกดอยผาหม่น ดอยที่เห็นเพียงครึ่งลุกตรงกลางคือ ดอยผาหม่นที่ถูกเมฆบัง ส่วนทางในป่าถูกคลุมไว้ด้วยต้นไม้ จุดที่เจ้าหน้าที่ดักตรวจค้นผมคือป่าเขียวๆขวามือของภาพ

 

      ชายฉกรรจ์เหล่านั้นมีตำรวจสองนาย ที่เหลืออีกหกนายเป็นทหารในชุดพรางสองนาย สี่นายใส่ชุดดำของทหารพราน ตำรวจโบกมือให้ผมจอดรถ ผมเลยหักเลี้ยวเข้าข้างทางตรงเนินชันๆนั่นแหละ ด้วยความที่คุ้นเคยกับการตรวจค้น(โดนบ่อย) ผมก็ดับเครื่องยนต์เลย แล้วก็ลงมายืนข้างๆรถ เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็กรูเข้ามา ยังไม่ทันที่ผมจะถอดหมวกกันน็อก ตำรวจก็ขอดูใบขับขี่ ส่วนทหารอีกสองคนก็เอาปืนสะพายไหล่แล้วเข้ามาค้นรถ  อีกสองนายเข้ามาขอตรวจค้นกล้องและกระเป๋าใส่เอกสารของผม ผมก็ยื่นให้ไป ก็พูดคุยกัน ตำรวจท่าท่างจะเป็นหัวหน้าชุด ก็เข้ามาถาม นั่น นี่ โน่น ว่าเป็นใคร? ทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไหร่? อย่างไร? ผมก็ตอบให้ข้อมูลไปทุกอย่าง การตรวจค้นละเอียดมากถึงเนื้อถึงตัว ผมใส่แจ็คเก็ตหนังสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ พี่แกก็เอามือจับกระเป๋า คลำเห็นลูกอมFF แกก็เอาไปบีบๆดู พลางเขย่า อย่างหวังจะให้มันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้(จริงๆเปิดซองแล้วแบ่งกันอม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย) คนนึงเจอซองกันความชื้นในกระเป๋ากล้องก็เอามาบีบๆ เขย่าใหญ่(เพื่อ...??) ระหว่างนั้นผมก็อธิบายไปว่า อะไรมันเป็นอะไร และผมต้องมาเส้นทางสายนี้เพราะอะไร ด้วยไม่แน่ใจว่าตำรวจสองนายนี้จะเป็นพวกที่เคยดักตรวจฉี่ผมบนเส้นทางสายนี้หรือเปล่า ผมเลยเล่าประสบการณ์การถูกตรวจค้นบนเส้นทางสายนี้ให้ฟัง  บอกด้วยว่าเจอที่โค้งไหนบ้าง ลามเลยเถิดไปถึงการบอกนิสัยส่วนตัวว่า ผมเป็นคนที่ดื่มแต่เหล้าเบียร์ ส่วนสิ่งเสพติดอื่นๆ ผมไม่ข้องแวะหรอก

      ระหว่างที่พูดคุยพร้อมลุ้นอยู่ในใจว่า จะต้องฉี่ให้ตรวจด้วยหรือเปล่าหว่า...? เห็นทหารที่ค้นรถก้มๆเงยๆ อยู่หน้ารถ ไม่เปิดดูใต้เบาะซะที ผมเลยหยิบกุญแจมาเปิดให้ดูซะเลย พร้อมทั้งลุ้นว่าเจ้าหน้าที่จะรู้จักเปิดดูอีกเบาะไหม? (รถฮอนด้า เอ็น เอสอาร์ เบาะมีสองชิ้นแยกกัน) ปรากฏว่า ก็ไม่มีใครเปิดดูอีก ผมก็เลยใส่เบาะกลับเข้าที่ ทหารก็เริ่มคลี่คลาย เอ่ออ้างขอโทษขอโพยที่ต้องรบกวนตรวจค้น แต่นายตำรวจที่ทำท่าทางราวหัวหน้าชุดยังไม่แน่ใจ เข้ามาจับเสื้อผมอีกที พลางพูดว่า ทำไมมันดูเต้งๆ บวมๆ ผมเลยรูดซิปลงให้ดูข้างในเลย ก็เพราะเสื้อหนังตัวนี้มันบุหนาเพื่อกันหนาวกันลม มันก็เลยต้องหนาไง ตำรวจก้มรูดซิปกระเป๋าที่ขาขากางเกง (เพื่อ...??) ทั้งซ้ายขวา ก็ไม่เห็นมีอะไร สุดท้าย คงเห็นกางเกงที่ผมใส่ที่มันเป็นทรงพองๆ ขาใหญ่ๆ อาจมีอะไรซ่อนอีกหรือเปล่า ตำรวจก็ยื่นมือมาที่เป้ากางเกงผม แล้วจับไข่ซะงั้น (ทำไปเพื่อ...?) พลางพูดว่า ทำไมถึงสั่นๆ (เหมือนมีพิรุธ)

      หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตรวจค้นจนหนำใจแล้ว ไม่เจออะไร ในที่สุด ก็เลยอนุญาตให้ผมเดินทางต่อไปได้ ผมก็จัดการเก็บข้าวของ ใส่กระเป๋า เอากล้องมาสะพาย พร้อมสวมหมวกกันน็อก (ที่ถูกจับไปตรวจแล้วตรวจอีก) ก่อนจะขี่รถขึ้นเนินจากเจ้าหน้าที่ทั้งหลายมา

ช่วงหนึ่งของทางวกวนบนดอย ผ่านป่าและไร่ข้าวของพี่น้องชาวม้ง

      ระหว่างขี่รถอยู่นั้น ผมเลยเกิดความสงสัยว่า การตั้งด่านตรวจค้น และการตรวจค้นอย่างนี้มันไม่โอเค คือมีกฎหมายอนุญาติให้อำนาจในการตรวจค้นแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสัญญาบัตรอยู่ ว่าให้สามารถดักตรวจค้นผู้ต้องสงสัยฯได้ แต่การตรวจค้นอย่างถึงลูกถึงคน ถึงเนื้อถึงหนังอย่างนี้ผมคิดว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิประชาชน คนที่ต้องถูกตรวจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับประชาชนธรรมดาอย่างผม ที่ไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย และไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ

      ยิ่งนึกเลยเถิดไปว่า ถ้าตำรวจมันดันสั่งให้ผม ปลดกางเกงลง โก้งโคง แล้วเอามือล้วงก้นเพื่อหายาเสพติดด้วย อะไรจะเกิดขึ้น ผมคงไม่อนุญาตให้ทำแน่ๆ เพราะมั่นใจว่าตนบริสุทธิ์ไม่ได้มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่ในห้วงขณะที่อยู่กลางป่า และมีเจ้าหน้าที่ทหารถือปืนเอเค ปืนเอ็ม16 จ่ออยู่หกกระบอก ผมจะกล้าหือ ไหมละนั่น!!?

      ยิ่งที่ตำรวจพูดว่า ทำไมผมถึงสั่นๆนี่ยิ่งขำเลย ก็ใครมันจะอดไม่สั่นได้ไหว มีปืนกระบอกใหญ่ๆหลายกระบอกขนาดนั้น ผมเคยถูกด่านตรวจยาเสพติดอย่างนี้ดักตรวจมาแล้วสี่ครั้ง เป็นด่านของตำรวจทั้งสิ้น ทุกนายใส่ชุดนอกเครื่องแบบ แต่ก็โชว์ตราเจ้าหน้าที่ ครั้งหนึ่งเป็นการดักในชุมชน พอดีผมไปกับผู้จัดการมูลนิธิฯซึ่งรู้จักกับตำรวจที่ดักพอดี เลยไม่มีการตรวจค้นตัวผม อีกสามครั้งเป็นการดักตรวจค้นในป่า ครั้งหนึ่ง เป็นเส้นทางผ่านป่าในเขต อ.ปง จ.พะเยา มีตำรวจห้านายพร้อมสตบ.อีกสองคน มาขอตรวจค้นรถและตรวจฉี่ ซึ่งผลก็ไม่ได้อะไรไป มีแต่ผมที่ต้องกลับมาค้นหาสารกันความชื้นและผ้าเช็ดกล้องหลายวัน เพราะตอนที่ค้นตำรวจดันเทมันใส่ในช่องเก็บของใต้เบาะรถ แล้วเอาเสื้อกันฝนที่ผมพกไปวางทับอีกที

      อีกสองครั้งก็บนเส้นทางสายนี้ แต่คนละโค้ง เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบจาก สภ.ภูซาง จ.พะเยา ที่ตรวจค้นและขอฉี่ไปตรวจด้วย ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่มีอะไร เพราะผมไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับยาเสพติดพวกนั้นอยู่แล้ว

      ทุกครั้งที่เป็นด่านตำรวจ อาวุธของเจ้าหน้าที่จะเป็นปืนสั้นซึ่งมันก็ไม่ดูน่ากลัว และดูคุกคามเท่ากับอาวุธปืนสงครามของทหารที่ผมเจอวันนี้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมรู้สึกกลัวเลย(แม้จะบริสุทธิ์ก็เถอะ)ได้ไง(ว๊ะ)

      และ4ครั้งก่อนหน้า ก็ไม่มีการเข้ามาจับค้นตัวอย่างถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ไม่มีการจับหว่างขาอะไรขนาดนี้ ผมคิดว่าครั้งนี้มันเกินไป เป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันเกินไป โอเค ถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจค้นผู้ต้องสงสัยแล้วเจอยาเสพติดในกระเป๋าหรือในรถ แล้วจะอาศัยเหตุนั้นเพื่อตรวจค้นอวัยวะซ่อนเร้น ตรงนั้นก็คงเป็นสิทธิที่พอทำได้ แต่สำหรับผมหรือคนอื่นๆที่ตรวจค้นภายนอกโดยละเอียดแล้วไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆ การวิสาสะละลาบละล้วงอย่างที่ตำรวจปฏิบัติแก่ผม ผมคิดว่าไม่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ผิดแน่นอน  ผมเลยสงสัยว่า ในการตรวจค้นนี่ ทั้งผู้ทำการตรวจค้นและผู้ถูกตรวจค้น ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิปกป้องสิทธิของตนและละเมิดสิทธิผู้อื่นมาก-น้อยเท่าใด

      ความสงสัยรุมเร้า กลับมาถึงสำนักงานผมจึงเข้าเน็ตค้น และได้ความว่า การค้นต้องมี เหตุมาจากกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทำการไว้ ตามเงื่อนไขที่กล่าวมา เช่น " ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด

หรือซึ่งได้มาโดยกระทำความผิด หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด " *ดังนี้

และเหตุอันควรสงสัยนี้ มีจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่ต้องรู้ไว้ก็คือ ต้องมีสภาพที่เรียกว่าเป็น ภาวะวิสัย( Objective )
ไม่ใช่อัตตะวิสัย( Subjective)นั่นคือ เหตุดังกล่าวใครๆหรือวิญญูชนได้พบได้เห็นแล้ว ก็ย่อมต้องสงสัยเป็น
ธรรมดา    ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สงสัยอยู่คนเดียว   ถ้าเป็นไปตามนี้จึงเข้าข่ายตามกฎหมายมีสิทธิขอค้น   ถ้าไม่
เป็นไปตามนี้   มั่ว   หรือกระทำการน่าสงสัยเสียเองว่าจะเข้ามาขอค้นเพื่ออะไร  อาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบ* 
ดังนี้

      จากข้อความที่ยกมา จากความคิดเห็นในกระทู้คำถามเรื่องการตรวจค้นจากเว็บพันทิพ ผมก็เลยจะเอารูปภาพตัวเองลงให้ดูด้วยเลยว่า หนังหน้าอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนี้ ท่านๆทั้งหลายที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ เห็นสมควรหรือไม่ว่าเจ้าหมอนี้มันควรเป็นผู้ร้าย เป็นผู้ค้ายาเสพติด??

กระผม นายธรรมรงค์ ภูมิสีคิ้ว ประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ชนครับ

 

      จะได้คำตอบหรือไม่ได้คำตอบจากท่านๆทั้งหลายก็ตาม แต่ผม ก็ได้คำตอบในใจแล้วว่า ต่อไป หากเจอด่านตรวจค้นอย่างนี้อีก เพื่อรักษาสิทธิของตน ผมก็สามารถเป็นผู้ตรวจสอบ สอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้ทำการตรวจค้นได้เช่นกัน อันดับแรกคือ ถามหาผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบการตั้งด่านตรวจ ว่าเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือไม่..? หลังจากนั้นก็ถามว่า “มีเหตุอันควรสงสัยใดๆเกี่ยวกับตัวผม จึงได้มาขอตรวจค้นผม” คราวนี้ ตำรวจก็จะต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามผมก่อนเช่นกัน

      เรื่องข้อกฎหมายเหล่านี้ ประชาชนเราๆมักไม่รู้ แล้วจึงยอมตกเป็นฝ่ายรองรับการกระทำของเจ้าหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว พลางคิดกันไปว่า การยอมให้ตรวจเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ของเรา ทั้งๆที่เราก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ตรวจได้เช่นกัน หากเจ้าหน้าที่ผู้เข้าตรวจค้นไม่สามารถแสดง ”เหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับตัวเราได้อย่างชัดเจน” 

สภาพวันนี้...  อืม... ดูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่เหมือนกันแหะ แต่เชื่อเหอะ หน้าตาอย่างนี้ดื่มแต่เหล้าแต่เบียร์ ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดชนิดอื่น และไม่เกะกะระรานใครครับ

 

      หลังจากผ่านการตรวจค้นอย่างถึงลูกถึงคนในครั้งนี้ วันนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ห้า ผมรู้สึกว่า เราจะยอมปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยอำนาจรัฐมาล่วงละเมิดคุกคามสิทธิเสรีภาพความเป็นประชาชน ความเป็นมนุษย์ของเราอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เราจะยอมให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อเราเยี่ยงไม่ใช่มนุษย์หรือราวกับนักโทษ อาชญากร ผู้ต้องหา ไม่ได้อีกแล้ว  ในเมื่อเราไม่ใช่ผู้กระทำผิดกฎหมาย เราเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติต่อเราอย่างผู้บริสุทธิ์ อย่างมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เช่นกัน บอกตรงนี้เลยว่า ต่อไป หากเจ้าหน้าที่คิดจะปฏิบัติต่อผมอย่างล่วงละเมิด อย่างหมิ่นแคลนความเป็นมนุษย์ของผมเช่นวันนี้อีก ต่อให้เสียเวลา เสียเงินมากเท่าใด ผมก็จะดำเนินการฟ้องร้องกันอย่างให้ถึงที่สุด ครั้งนี้ถือว่าผมปล่อยผ่านไปก่อนเพราะผมยังไม่ได้เตรียมตัว หากมีครั้งหน้า ผมจะถ่ายภาพบันทึกวีดีโอไว้ด้วย จะถ่ายหน้าเจ้าหน้าที่ทุกคน ชื่อ ชั้นยศ พร้อมทั้งพฤติกรรมที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ต่างๆไว้ด้วย เพื่อใช้ในเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลกัน ผมจะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐฯปฏิบัติห่วยๆ ละเมิด และดูหมิ่นความเป็นมนุษย์ของผมอีกต่อไป    

      อ้อ... สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐฯ หากได้มีโอกาสผ่านมาอ่านบันทึกอันนี้ ก็ไม่ต้องมาถามอย่างเขลาๆนะครับว่า ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างเช่นที่ปฏิบัติกันมาจะให้ทำอย่างไร... เพราะเรื่องพวกนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะคิดให้ท่านไงครับ มันเป็นเรื่องที่พวกท่าน เจ้านายของท่าน หน่วนงานของท่านจะต้องรีดเค้นมันสมองคิดกันออกมา ว่า ในการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างให้เกิดความรู้สึกดีต่อกัน อย่างเท่าเทียบกัน อย่างมนุษย์ต่อมนุษย์ควรปฏิบัติต่อกันนั้น ควรจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไร ประมาณไหน ท่านต้องเป็นฝ่ายคิด ต้องปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้อำนาจของท่านที่ค่อนข้างเอียงไปทางเผด็จการ ให้มีความสุภาพและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ท่านต้องคิดเองครับ

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

      จากเรื่องของผมวันนี้ที่เกิดขึ้นตอนบนสุดของประเทศนี้ ทำให้ผมคิดต่อถึงพี่น้องประชาชนสามจังหวัดภาคใต้ ที่มีปัญหาเรื่องความรุนแรงกันอยู่ ขนาดผมที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน ที่เพียงมีความสุ่มเสี่ยงต่อการลักลอบนำเข้าและค้ายาเสพติด ยังถูกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่ออย่างละเมิดสิทธิเช่นนี้ แล้วพี่น้องประชาชนสามจังหวัดใต้ละ...? จะไม่ยิ่งกว่านี้หรือ...??

      ต่างกันทั้ง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐฯจะปฏิบัติต่อประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดใต้ อย่างอ่อนน้อม ถ่อมตน อบอุ่นเหมือนที่ปรากฏในทีวีสร้างภาพของหน่วยงานรัฐฯละหรือ...??

      ทหารคนหนึ่งที่เข้าร่วมในการตรวจค้นผมวันนี้เป็นคนมาจาก อ.ปากช่อง โคราช ซึ่งก็เป็นคนบ้านเดียวกับผมที่เป็นคนโคราชเช่นกัน ผมก็ยังถูกปฏิบัติอย่างนี้ แล้วพี่น้องในสามจังหวัดใต้ กับเหล่าทหารจากภาคกลาง ภาคเหนือ –อีสาน จะปฏิบัติต่อกันขนาดไหน? อย่างไหน? เช่นไร...?

      สรุปจากเหตุการณ์วันนี้ ผมคิดว่าเราให้อำนาจหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐมากเกินไป มากจนมันย้อนกลับมาละเมิดสิทธิของเราเอง ซึ่งก็จะเป็นชนวนเหตุก่อปัญหาต่างๆให้เกิดขึ้นในสังคมต่อไป จึงควรที่เราจะหันกลับมาทบทวนเรื่องอำนาจ-หน้าที่ ของเจ้าหน้าที่รัฐฯและหน่วยงานของรัฐฯกันซักทีครับ 

                                                                 ###############################################

                                                                ###############################################

ป.ล. 1.ข้างบน ผมยังไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจยัดยาเสพติดนะครับ

        2.ผมยังไม่ได้พูดถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นผู้หญิงอย่างล่วงละเมิด 

        3.ข้อความตรงดอกจัน*ยกมาจาก ความคิดเห็นที่9,11,12,13,14,15,16,17,18 ในกระทู้จากเว็บพันทิพ อันนี้ http://pantip.com/topic/30736981

        4.ซึ่งมีลิ้งค์กฎหมายอันนี้เพิ่มเติมครับ http://mabangpan.wordpress.com/2012/06/03/searchwarrant/

        5.กฎหมายสิทธิที่ประชาชนควรรู้ http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=5308.0;wap2

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??