ถนน-งาม-เมือง

13 October, 2007 - 02:08 -- nakolee

ค่ำ.....มหานคร
ถนนสายหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยรถราและผู้คน  ว่ากันว่าถนนสายนี้  มักเนืองแน่นไปด้วยรถและคนอยู่เสมอไม่เว้นวาย  หลายคนหวาดผวาที่จะผ่านเข้าไปในถนนสายนี้ โดยเฉพาะรถรับจ้างสาธารณะไม่ประจำทางทั้งหลาย  ตึกแถวร้านค้าขายของคึกคักจนหน้าร้านล้ำเข้ามาบนทางเท้า  ริมทางรถยนต์ผู้ค้าเร่ปูผ้า หรือตั้งโต๊ะเรียงรายเป็นแนวบนทางเท้า  นั่นทำให้ทางที่แคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบลงไปอีกมาก  คนจำนวนหนึ่งต้องออกมาเดินอยู่บนทางรถยนต์  นั่นก็ยิ่งทำให้รถยนต์ที่มากอยู่แล้วต้องเสียทางวิ่งไปอีกหนึ่งเส้นทาง  นี่ยังไม่ได้ว่าถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เรื่องราวของมันก็คือว่า
สนามพลังที่ครอบฟ้ามหานครอยู่นี้  ล้วนเป็นพลังที่เร่งรีบบีบคั้น  เป็นพลังที่กดทับความเบิกบานผ่องใสของผู้คน  ในสถานการณ์อันบีบคั้นนั้น ผู้คนต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเอง  มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยที่ภาระของคนๆ หนึ่ง จะกลายเป็นผลกระทบ เป็นเครื่องกีดขวางภาระของคนอื่นๆ  อีกมากมาย  ว่าก็คือมีคนมากมายขายของอยู่บนทางเท้า  ขณะที่มีคนมากมายเดินดู เลือกซื้อสินค้านั้นอย่างไม่เร่งร้อน  คนมากมายที่กำลังเร่งรีบเดิน ไปสู่ภาระ หรือกลับสู่บ้านตน  คนอีกมากมายบนรถยนต์ที่ต่างก็กำลังมุ่งสู่ภาระตนเช่นเดียวกัน  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนถนนสายเดียวกัน และในเวลาเดียวกัน

ค่ำ.....ในชนบท
ฟ้าสีส้มจางๆ  หลังตะวันลับฟ้าไปแล้ว  ทางหลวงที่ทอดตัวยาวผ่านทุ่งกว้างนั้น เงียบสงบ แม้จะมีรถยนต์วิ่งผ่านตลอด  แต่ก็ยังรักษาสภาพสงบเอาไว้ได้  ทั้งหมดนั้นไปได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยว่ายามสนธยาเช่นนี้อาจมีฝูงวัว-ควายที่ยังกลับไม่ถึงคอกที่ร่วมใช้ถนนสายเดียวกัน  คนเฒ่า เด็กน้อย บ้างปั่นจักรยาน บ้างเดิน ด้วยต่างภาระก็ว่ากันไป  ลมทุ่งยังผ่านพัดมาได้ ด้วยไม่มีอะไรมาบัง  มองออกไป ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขา ป่า ข้าว ยังดำรงอยู่ตรงนั้นร่วมกัน มองเห็นได้ สัมผัสได้จริงแท้  หมู่บ้าน ก็ยังมีเสียงของหมู่บ้าน  เสียงคนคุย เสียงหมาเห่า เสียงไก่ เสียงมอเตอร์ไซค์ รถรา 

เรื่องราวของมันก็คือว่า
ผู้เฒ่าและเด็กครองบ้านแถบถิ่นนี้  สนามพลังที่ครอบฟ้าที่นี่ จึงเป็นสนามพลังอันเงียบเหงา  บนทุ่งกว้างใหญ่มีการสืบสายยาวนานมาต่อเนื่อง  แต่กาลเวลาก็นำพาคนหนุ่มสาวพรากจากไปมากมายนัก  ภาระของคนที่นี้จึงเป็นภาระที่เป็นไปไม่เร่งร้อน ในบรรยากาศที่เงียบ บางครั้งก็เป็นอย่างเหงาหงอยไปก็ยังมี

ค่า.....มุมหนึ่งบนตึกสูงกลางมหานคร
นอกหน้าต่างนั้น ภาพภายนอกปรากฏ  เวิ้งฟ้ากว้างถูกเบียดแทรกด้วยตึก  สูงขึ้นไป ฟ้าหม่นด้วยฝุ่นพิษควันเมือง  แสงสุดท้ายค่อยๆ หายไป และพร้อมกันนั้นแสงไฟฟ้าก็ครอบฟ้าแทนตะวัน ในสนามพลังแห่งความเงียบเหงาท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหลาย ณ มหานคร

ความเห็น

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

สนามพลังแห่งความวุ่นวาย ณ " ค่ำ...มหานคร" เป็นไปเช่นนั้นเอง ในสังคมบริโภคนิยมสุดโต่ง แต่ผู้คนก็จำต้องดำรงชีวิตอยู่ ... อ้ายเองก็ไม่ได้รังเกียจ กรุงเทพ แต่ถ้าให้อยู่ยาวก็คงอยู่ บ่ ได้ เราไม่คุ้นชิน เพราะเราอยู่บ้านนอก

... บางซอกมุมของกรุงเทพ ก็ยังงดงามอยู่ เช่น วัดวาอาราม สลัม ตรอกซอกซอย ชุมชนเก่าแก่ เช่น ชุมชนป้อมพระสุเมรุ ชุมชนป้อมพระกาฬ ชุมชนพี่น้องมุสลิมบ้านครัว ฯลฯ แต่ชุมชนเหล่านี้ก็เคยถูกรุกรานจากพวกทันสมัย อยากให้เขาย้ายออกไป แต่พี่น้องก็สู้ตาย!!!

... สนามพลังแห่ง " ค่ำ ... ชนบท" นั้น งดงามอยู่แล้ว , ครับ

รำลึก "ครูโต๋" บุญฮักษา , คับ

...

Submitted by i love this land on

ประเทศไทย ไม่เฉพาะกรุงเทพฯ เมืองใหญ่อื่นๆ แต่ทุกตารางนิ้วของประเศนี้ อยู่ในกำมือของคนรุ่นนี้ที่จะนำพาบรรยากาศ กระแสทั้งโลกและธรรม จากคนเจ็บป่วยผุพังมุ่งหน้าเร่งรีบสู่ความเน่าเฟะมรณะ หรือว่าจะร่วมกายใจ พลังสมองพลิกฟื่นลมหายใจบริสุทธิ์เพื่อชีวิตใหม่ที่เจริญงอกงามสู่นิรันดร์

ล้วนอยู่ในมือคนรุ่นนี้ คนรุ่นเพ็ชรฆาตปีศาจ หรือรุ่นอมตะเทพ ที่จะเลือกพิพากษาแผ่นดินแม่อย่างไร

เสียชาติเกิด หรือไม่ คนรุ่นนี้กำลังพิสูจน์

โลกในอุดมคติ

ทนายจำเลย ชูรถเมล์จำลอง แล้วถามพยานโจทย์ ซึ่งก็คือ Jacky ตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้นได้นั่นเอง  ทนายจำเลยถามว่า รู้ได้ไงว่า จำเลยคือคนกระทำผิด Jacky บอกว่า ก็เขาเป็นคนไล่จับจำเลยมา แล้วจำเลยก็หนีขึ้นรถเมล์  ทนายชูรถจำลองนั้นแล้วถามว่า เมื่อคุณมองดูรถเมล์ คุณเห็นมันทั้งคันหรือเปล่า เขาก็บอกว่า เปล่า อีกข้างหนึ่งก็มองไม่เห็น  ทลายจำเลยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของรถเมล์เกิดอะไรขึ้น  การโต้เถียงประเด็นนี้ ทำให้ศาลพิพากษา ยกฟ้อง  แต่นี่เป็นเพียงเรื่องราวในหนังครับ วิ่งสู้ฟัดภาคแรก ของเฉินหลง  แต่เรื่องนี้ มันมีเรื่องน่าสนใจ....

พื้นที่อันอาจได้นำเสนอตัวตน

หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม  แล้วผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญเล่า จะสร้างคนมาแบบใด...ความจริงนี่ก็อาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากนัก  แต่ ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่...นี่ก็อาจต้องมองเข้าไปในรายละเอียดมากขึ้น...กระมัง  การเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิต  ในซากปรักหักพัง ของภัยธรรมชาติอันได้คร่าชีวิตคนไปมากมาย  ในกลิ่นของความตายและความเศร้าโศก เราได้เห็นหน่ออ่อนของต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมา ในความชื้น ภายใต้ซากปรักหักพังนั้น

กลับ

การสูญเสีย ดูจะเป็นเงื่อนไขใหญ่ที่ทำให้คนเราตกไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เสียศูนย์”  มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามีตาย ภรรยาตกอยู่ในสภาวะเสียศูนย์ถึงยี่สิบปี ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม  นี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโม้ก็ไม่อาจรู้ได้  แต่ความจริงที่เห็นโดยส่วนใหญ่ ความสูญเสียก็มักเป็นเรื่องที่กระทบกับหัวใจคนอย่างรุนแรง  เช่น อกหัก  หรือ คนที่เรารักตายไป  หรือความพ่ายแพ้  ซึ่งความพ่ายแพ้นี่ก็คือการเสียฟอร์ม มันก็คือการเสียศูนย์ความเป็นตัวตนนั่นเอง

กลับ



ชีวิตหลุดลอยไปในบางวาระ           ซึ่งในสถานะแห่งมนุษย์
กับการเดินทางอันไม่สิ้นสุด            บางคราวนั้นจึงสะดุด จึงทรุดโทรม
พลาดหวังพังพ่ายสลายสิ้น
             ทั่วผืนแผ่นดินทุกข์ท่วมถั่งโถม
เสพย์สิ่งใดได้บ้างพอปลอบประโลม
เมามายโง่โงมระทมร้าว
ภาวะเช่นไรเหนี่ยวนำพา
                เมื่อความปรารถนาที่บอกกล่าว
ล้มเหลวไปในทางที่ทอดยาว
          จึงคล้ายสูญเรื่องราวไร้การพานพบ
อาจบางทีการสูญเสียสิ่งที่รัก
          เจ็บปวดนักดั่งถึงวันจบ
ละทิ้งวิ่งหนีจากสนามรบ
                ยอมสยบต่อดินฟ้าชะตามกรรม
นั่นคงเป็นปัจจัยที่ลากดึง
               หัวใจถูกตรอกตรึงกับความบอบช้ำ
คนใครหรือสิ่งใดจะน้อมนำ
            ยิ่งนานวันยิ่งถลำลึกลงไป
สูญสิ้นสูญเสีย เสียสิ้นแล้ว
            พลังชีวิตโหยแผ่วโหวงว่างไหว
มิอาจคิดการณ์กระทำอันใด
           เป็นวิญญาณที่ร้างไร้และล่องลอย
จนถึงวันหนึ่งการปรากฏ
                ของบางสิ่งใหม่สดพาปลดปล่อย
กระตุ้นเตือนเคลื่อนการรอคอย
       อาจเริ่มจากเพียงเล็กน้อยแต่ชัดเจน
นั่นคือสิ่งที่จะพาเรากลับ
                สัมผัสรับเรียนรู้และมองเห็น
ตัวตนที่หล่นหายที่กลายเป็น
           ซากชีวิตเคี่ยวเค้นลำเค็ญแค้น
กลับมา กลับมา เราได้กลับมา
         สู่หนทางปรารถนาอันหนักแน่น
มองออกไปทั่วถิ่นแผ่นดินแดน
        นั่นคือวิมานเมืองแมนโลกแสนรัก
หลุดแล้วหลุดไปอย่างไรได้
            แต่การกลับสิยิ่งใหญ่พอได้ประจักษ์
เราจะเติบโตตื่นมั่นคงขึ้นยิ่งนัก
         เรียนรู้ต่อทอถักทางชีวิต.....