Skip to main content

"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด้วยจังหวะหัวใจเต้นระรัว และความหวาดกลัว กับสิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้น..

 

"เฮ้ยหนุ่ม เก็บของ คุณอยู่ไม่ได้แล้ว"

"ครับๆๆๆๆ" ผมตอบด้วยความโล่งใจ เฮ้อ.. แค่ไม่ใช่ทหาร ตำรวจ แบบตอนนั้น (ตอนที่ถูกจับครั้งแรก) ผมก็อุ่นใจแล้ว

 

1 ปีกับการหนีภัยเผด็จการในต่างแดน ตอน 1 หนุ่มเรดนนท์

 

ผมไม่รีรออะไรอีกแล้ว รีบเก็บข้าวของที่จำเป็น ยัดลงกระเป๋า แล้วรีบออกจากห้องในทันที โดยไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกัน แค่ขอให้ออกจากตรงนั้นเป็นพอ เพราะมีความเชื่อว่า ที่ที่อยู่ตรงนั้น มันไม่มีความปลอดภัยอะไรกับผมอีกแล้ว..

 

วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ภายหลังประกาศ คสช. ฉบับที่ 5 จึงนับเป็นจุดเริ่มแรกของพวกเรา เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงสถานะจาก "ประชาชน" ไปสู่อีกสถานะหนึ่งนั่นก็คือ "ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" 

 

ผมได้พยามยามติดต่อเพื่อนๆ หลายคน ที่อยู่ในรายชื่อที่ถูกเรียกชุดเดียวกันด้วยความห่วงใย บางคน ขอรอดูท่าทีก่อน บางคนก็สมัครใจจะเข้าไปรายงานตัวตามหมาย บางคนก็รนรานเสียจนแทบจะทำอะไรไม่เป็น ซึ่งก็ไม่ต่างจากผม ที่ก็ยังอยากจะรอดูท่าทีอยู่เหมือนกัน

 

แต่ข่าวการถูกจับ ถูกไล่ล่า ของเพื่อนๆ โดยเฉพาะฝ่ายเรา ก็ยังผ่านเข้ามาให้ได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ขาดสาย ด้วยความเครียด และกดดันในสถานการณ์บีบคั้นอย่างนั้น ภาพเก่าๆ ครั้งที่ผมเคยถูกทหาร ตำรวจหลายสิบคน ล้อมจับเมื่อตอนปี 2553 ก็ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ

 

"ผมคงยอมรับสภาพนั้นไม่ได้อีกแล้ว" ยังไงผมก็จะไม่ยอมตกอยู่ในสภาพนั้นอีกครั้ง อย่างเด็ดขาด ใครจะรับประกันเราได้ละ ว่าเราจะไม่โดนซ้อม โดนข่มขู่ คุกคาม โดนเล่ห์เหลี่ยมสารพัดจากลิ่วล้อเผด็จการ ยิ่งผมมีชื่ออยู่ใน "ผังล้มเจ้า" ด้วยแล้ว ออกจากคุกมา ก็ยังคงเคลื่อนไหว ร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่ อีกทั้งผมเอง ก็เพิ่งจะได้รับอภัยโทษฯ ออกมายังไม่ถึงปี มีหรือ พวกเขาจะขอให้ผมแค่เข้าไปรายงานตัวเฉยๆ คิดในแง่ดีไปหรือเปล่า?..

 

"การหนีตาย หนีภัยการเมือง" ไปยังประเทศอื่น จึงเป็นทางออกเดียวที่ผมไม่คิดจะลังเลใจอะไรอีกแล้วเวลานั้น..

 

ปัญหา และอุปสรรคของการหลบหนีภัยเผด็จการอย่างเรา ในช่วงที่กำลังคิดหาทางหลบออกนอกประเทศนั้น เป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้กับพวกเรามากที่สุด เพราะต้องหลบซ่อนตัวตามที่ต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา บางคืน ต้องตกใจตื่นหลายครั้ง เพียงเพราะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ แว่วเข้าหู ช่วงเวลานี้จึงทำให้เราเครียดจนแทบจะเป็นบ้าได้ไม่เว้นวันเลยทีเดียว

 

ประสบการณ์ครั้งนี้ นับเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเราแทบทุกคน ซึ่งมันอาจต่างจากนักเคลื่อนไหวมืออาชีพ หรือแกนนำบางคน ที่จมูกไวกว่า ประสบการณ์มากกว่า ที่พวกเขา จะไม่ต้องให้มีหมายเรียบกแบบพวกเรา เพราะแค่เพียง "อักษะ" ถูกสลาย เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาเหล่านั้น ก็หลบไปอยู่ในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ช่างน่านับถือในความสามารถเลยจริงๆ..

 

เครื่องมือสื่อสารต่างๆ เช่นการใช้โทรศัพท์ เฟซบุ๊ก สื่อโซเชียลต่างๆ ถูกปิดลงอย่างเด็ดขาด เพราะเราต้องการความมั่นใจ และแน่ใจ ว่าจะไม่มีใครสามารถติดตามพวกเราได้ โดยผ่านช่องทางเหล่านั้น โทรศัพท์มือถือ พวกบางคนเลือกที่จะโยนทิ้ง หักซิมซิมทิ้งก็มี

 

แต่ผมไม่ทิ้งนะ (จริงๆ แล้วเสียดายมากกว่า) ผมยังคงเก็บมือถือเครื่องเดิมเอาไว้กับตัว แต่ได้แยกตัวเครื่อง, แบตเตอรี่ และซิมโทรศัพท์ ออกจากกันเท่านั้น แล้วหาซื้อมือถือใหม่แกะกล่อง ที่หาได้ง่ายๆ ตามร้านสะดวกซื้อมาใช้แทน และใช้เฉพาะการติดต่อสื่อสารที่จำเป็นจริงๆ ต่อการหนีภัยเท่านั้น..

 

ความรู้สึกเวลานั้น สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา มันเป็นการรทดสอบจิตใจกันอย่างแรงๆ เลยว่าใครจะเข้มแข็ง อดทน ได้มากกว่ากัน ระหว่างเรา กับอำนาจเผด็จการ ที่เราแน่ใจว่าพวกเขาต้องตามไล่ล่าพวกเราอยู่อย่างแน่นอน เป็นแรงกดดันมหาศาล ในทุกวินาทีที่เราอยู่ในสถานการณ์ตรงนั้น..

 

สำหรับผมสบายหน่อย เพราะคนที่เคยผ่านคุกมาแล้ว มันรองรับอารมณ์ช่วงนั้นได้อย่างไม่ยากอะไร และนี่เอง อาจเป็นข้อดีที่ผมได้รับ เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น จากการถูกจองจำในเรือนจำ 3 ปีเศษ ก็ได้ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

 

พวกเราใช้เวลาเกือบเดือน กว่าจะคิดหาเส้นทางที่จะนำเราข้ามไปยังประเทศที่สองได้ แน่นอน ทุกอย่าง พวกทำด้วยตัวของเราเอง ไม่มีแม้แต่ใครสักคน ที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง หรือเกี่่ยวกับ นปช. ที่จะให้คำแนะนำช่วยเหลือเรา

 

ดังนั้น อย่ามโนกันไปเลยว่าพวกเรา ได้รับการช่วยเหลือ หรือสนับสนุนให้หนีออกนอกประเทศ ด้วย connection เหล่านั้น เพราะมีแต่ประชาชน คนธรรมดาอย่างเราๆ แค่นั้นจริงๆ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วย แล้วไม่ทอดทิ้งกัน..

 

และนี่.. คือพลังบริสุทธิ์ ที่ได้จากประชาชน เพื่อประชาชนด้วยกันเอง อย่างแท้จริง

 

แล้วไม่กี่สัปดาห์ หลังจากแอบกบดานแบบเครียดๆ เงียบๆ อยู่ในประเทศไทย พวกเราก็ขยับออกมาได้สำเร็จ สู่ดินแดนแห่งใหม่ ที่บางคนในชีวิตก็เพิ่งได้มาเหยียบเป็นครั้งแรก ซึ่งก็รวมตัวผมด้วย..

 

จบสิ้นกันที.. กับความเครียดที่เราต้องเผชิญ ในประเทศที่ไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพ และมีคนบางกลุ่มต้องการไล่ล่า กำจัดพวกเรา.. 

 

พอกันที !! แต่พวกเราจะต้องเจออะไรกันอีกนะ..

 

(ติดตามตอนต่อไป - ตอนที่ 2 เร็วๆ นี้)

บล็อกของ หนุ่มเรดนนท์

หนุ่มเรดนนท์
วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เป็นวันที่ คสช.
หนุ่มเรดนนท์
ช่วงนี้ ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน ได้โพสต์เรื่องราว เกี่ยวกับ "ตูน - ธเนตร อนันตวงษ์" ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่โดน คสช.
หนุ่มเรดนนท์
หลังจากข้ามพ้นดินแดนบ้านเกิดมาแล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เราเช่าห้องพักเล็กๆ ราคาถูก อยู่กันชั่วคราว เพื่อตั้งหลักที่จะคิดทำอะไรกันต่อ ตอนนั้น ทุกคนต่างมี
หนุ่มเรดนนท์
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" ผมหันหน้ามองไปที่ประตูห้องที่ผมพักอยู่ พลางคิดในใจว่า "อะไรมันจะมาเร็วกันขนาดนั้นนะ" ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปตามเสียงนั้น ค่อยๆ เปิดประตูออก ด
หนุ่มเรดนนท์
 
หนุ่มเรดนนท์
“ถ้าผมรู้ว่าอากงจะจากไปเร็วอย่างนี้ ผมคงจะดูแลอากงให้ดีกว่านี้” ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม เพราะคำพูดนี้ ผมได้พูดกับทนายอานนท์ นำภ
หนุ่มเรดนนท์
นับจากที่ผมได้เข้ามอบตัวต่อศาลอาญารัชดา เพื่อต้องการที่จะต่อสู้คดีตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 จนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 11 และผมก็ได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีตามสิทธิขั้นพื้นฐานรวมแล้วก็ 6 ครั้ง และได้รับการ
หนุ่มเรดนนท์
เป็น เดือนที่ 5 แล้วสำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ของผม หลังจากที่ครบ 4 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้นับเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดสัปดาห์หนึ่งของการเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ต้องขังเสื้อแดง เพราะรัฐบาลที่มีพรรคเพ
หนุ่มเรดนนท์
ผมเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำคนหนึ่ง ซึ่งถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งจับในคดีร้ายแรงคดีหนึ่ง บทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับบทคว