เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”
ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ทางการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน ฯลฯ นอกจากนี้ ผมได้ติดตามแถลงการณ์ของ “กลุ่มเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายอีก 37 องค์กร” พบว่าไม่มีประเด็นที่บทความนี้จะกล่าวถึงแต่อย่างใด
การจะ “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ได้ เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกลไกการใช้อำนาจรัฐ และที่มาของความเหลื่อมล้ำกันก่อน
เพราะ
(2) นอกจากงบลงทุนเฉลี่ยปีละกว่า 2.1 แสนล้านบาทแล้ว ในแต่ละปี โดยเฉพาะ ในปี 2552 คนในประเทศไทย (ไม่กล้าใช้คำว่า “คนไทย” เพราะมีชาวต่างชาติที่มาลงทุนได้ใช้ไฟฟ้าในสัดส่วนที่มาก) ใช้พลังงานไฟฟ้าคิดเป็นมูลค่า 4 แสน 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.75 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (หรือเรียกย่อ ๆ ว่าจีดีพีในปี 2552 มีค่าเท่ากับ 9.05 ล้านล้านบาท และเพื่อความเข้าใจง่าย จะขอปัดเป็นตัวเลขกลมๆ คือ ร้อยละ 4.75 เป็น 5 และ 9.05 เป็น 9)
(3) การตัดสินใจว่า โรงไฟฟ้าใดจะใช้เชื้อเพลิงชนิดใด ย่อมส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งรอบ ๆ โรงไฟฟ้าและต่อภูมิอากาศของโลกต่างกัน เช่น ถ้าใช้ ก๊าซธรรมชาติ ชีวมวล พลังน้ำขนาดเล็ก และน้ำมันเตา จะเกิดผลกระทบ(หรือต้นทุนภายนอก) คิดเป็น 2.07 , 1.66 , 1.03 และ 7.02 บาทต่อหน่วยไฟฟ้า (ข้อมูลประมาณปี 2548) แต่ถ้าใช้ถ่านหิน ต้นทุนการผลิตจะอยู่ที่ 1.48 บาท แต่ต้นทุนภายนอกจะสูงถึง 7.25 บาท
ด้วยเหตุนี้ ทาง กฟผ. จึงนิยมใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างว่าต้นทุนถูก แต่กลับผลักภาระต้นทุนภายนอกไปให้กับชุมชนและชาวโลก
นอกจากนี้ กลุ่มพ่อค้าพลังงานถ่านหินกับกลุ่มธุรกิจกิจการไฟฟ้ามักจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การตัดสินใจดังกล่าวจึงมักจะมีผลประโยชน์ซ้อนทับอยู่เสมอ
(4) จากรายงานประจำปี 2552 ของ กฟผ. พบว่า รายจ่ายค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเท่ากับ 104,808 ล้านบาท ค่าเชื้อเพลิงจำนวนนี้ส่วนใหญ่จ่ายไปเป็นค่าก๊าซธรรมชาติ (ทั้งในอ่าวไทยและพม่า-ซึ่งผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทต่างชาติที่ได้สัมปทานขุดเจาะ คนไทยได้ค่าภาคหลวง และภาษีเงินได้ของบริษัทขุดเจาะ)
นอกจากนี้เป็นค่าถ่านหิน (นำเข้าจากต่างประเทศ) เชื้อเพลิงดังกล่าวอยู่ในอำนาจของบริษัทต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ
รายงานฉบับเดียวกันพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมีเพียง 1.45% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดรวมทั้งที่ซื้อจากต่างประเทศด้วย
คำถามที่อยากชวนให้คิดก็คือ เป็นไปได้ไหมที่เราจะ “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ในภาคกิจการไฟฟ้า โดยให้ใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานหมุนเวียน (ซึ่งได้แก่ ไม้ฟืน ของเหลือจากการเกษตร ก๊าซชีวมวล ลม แสงอาทิตย์ พลังน้ำขนาดเล็ก) สัก 10% หรือ หนึ่งหมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้
รายได้ที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวจะกระจายตัวไปสู่ผู้มีรายได้ ผู้ไม่มีงานทำในชนบทนับแสนคน
(1) ถ้าเรานำจีดีพีทั้งหมดมาเฉลี่ยด้วยจำนวนประชากร 65 ล้านคน พบว่าในปี 2552 คนไทย มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนเท่ากับ 11,600 บาท
(2) แต่จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (อ้างจากปาฐกถา 14 ตุลาคม 2553 ของ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับประชาธิปไตย) พบว่า รายได้เฉลี่ยของคนไทยได้ครอบครัวละ 17,600 บาท ถ้าคิดว่า ครอบครัวละ 3.7 คน ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อคนเดือนละ 4,800 บาท เท่านั้นเอง
คำถามที่ชวนให้คิดก็คือว่า ควมแตกต่างระหว่างรายได้ที่คิดตามข้อ (1) กับข้อ (2) ซึ่งเท่ากับ 6,800 บาท นั้นมาจากไหน
ดร. สมเกียรติ ได้ให้ความเห็นว่า ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง การพัฒนาประชาธิปไตยจะเป็นไปได้ยาก ผู้มีรายได้น้อยย่อมมีโอกาสในการไต่เต้าทางสังคมน้อยด้วย อีกทั้งสถานการณ์ในขณะนี้ คนกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าต่างเชื่อว่า กลุ่มคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าพยายามปิดกั้นเสรีภาพทางการเมืองของตน ดังนั้นการจะเข้าใจปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ตลอดจนเข้าใจรากเหง้าปัญหาประชาธิปไตยไทยที่ไม่มั่นคงมาโดยตลอด จำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนที่มาของความเหลื่อมล้ำ
(1) จากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวงพบว่า ในปี 2552 ในเขตนครหลวงมีผู้ใช้ไฟฟ้าในส่วนที่เป็นผู้อยู่อาศัยจำนวน 2.05 ล้านราย มีการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยรายละ 351 หน่วยต่อเดือน (รวม 8, 637.37 ล้านหน่วย) แต่มีผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวนเพียง 1,456 ราย แต่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยรายละ 835,908 หน่วยต่อเดือน (รวม 14,605 ล้านหน่วย)
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จ่ายค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในราคาที่ถูกกว่าผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยถึง 15%
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาจึงจะสร้างใหญ่ถึงขนาด 700 เมกกะวัตต์ หรือว่าเขาสร้างให้ชาวจังหวัดพัทลุงและตรังใช้ด้วย จากข้อมูลเดียวกันพบว่า คน 2 จังหวัดนี้ใช้ไฟฟ้ารวมกันเพียง 133 เมกกะวัตต์เท่านั้น
ความต้องการของคนใน 3 จังหวัด (นคร, พัทลุง ตรัง) รวมกันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เขาจะสร้างใหม่ คือ 700 เมกกะวัตต์ แล้วทำไมเขาจึงสร้างมหึมาขนาดนี้
ยิ่งคิด ก็ยิ่งสงสัยจังหู ฟันธงไปได้เลยว่า เขาจะสร้างไว้รองรับโรงถลุงเหล็ก หรือนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฯลฯ
ในขณะที่จำนวนประชากรไทยเพิ่มขึ้นปีละ 0.5% แต่กระทรวงพลังงานกำลังวางแผนจะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าปี 6% เขาทำเพื่อใคร
จากข้อมูลที่รวบรวมโดยกระทรวงพลังงานพบว่า มูลค่าการส่งออกในปี 2552 คิดเป็นมูลค่า 5.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57.4 ของจีดีพี ถ้าคิดในช่วงหลายปีก็จะอยู่ระหว่าง 65-70% ของจีดีพี
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ในเศรษฐศาสตร์จานร้อน (กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552) กล่าวว่า “การส่งออกของไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ 65-70% ของจีดีพีนั้นไม่ได้หมายความว่า การส่งออกสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศถึง 2/3 ทั้งนี้ เพราะสินค้าส่งออกหลายรายการต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจำนวนมาก อาทิเช่น การส่งออกสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรไฟฟ้า ที่นำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศไทยเพื่อส่งออก ซึ่งนำเข้านั้นประมาณครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออก (อีกครึ่งหนึ่งประมาณ 25% ของจีดีพี เป็นการนำเข้าสินค้าเพื่อการผลิตในประเทศ (10% ของจีดีพี) การนำเข้าพลังงาน (10% ของจีดีพี) และการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคประมาณ 5-6% ของจีดีพี) ดังนั้น จะพบว่าสัดส่วนของการส่งออกที่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย น่าจะเท่ากับ 20-30% ของจีดีพีครับ”
จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด พอสรุปสั้น ๆ ได้ว่า
(2) ไฟฟ้าที่ได้ใช้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ
(4) กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ไม่สนใจรากเหง่าของปัญหาความไม่สงบในประเทศไทย ไม่สนใจการปฏิรูปการเมืองที่จั่วหัวว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”
(5) รัฐบาลไทย ไม่สนใจปัญหาโลกร้อนที่มีสามเหตุมาจากภาคการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด
(6) ปัจจุบันประเทศไทยเรากำลังปล่อยให้คนที่มือสกปรก กำลังทำความสะอาด เช็ดถูบ้านของเรา ยิ่งทำก็ยิ่งสกปรก เลอะมากขึ้นทุกวัน
พอแล้วยังครับ ที่จะให้คนที่มือสกปรกและมีจิตใจขาดศีลธรรมเหล่านี้เป็นผู้นำ
ความเห็น
ความเหลื่อมล้ำส่วนหนึ่ง
ความเหลื่อมล้ำส่วนหนึ่ง ถูกเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม
แผนพัฒนาแห่งชาติกับนโยบายของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญ
ในการกำหนดทิศทางของสถาปัตยกรรมโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
ผู้กำหนดนโยบายระดับชาติในเมืองไทย แต่ไหนแต่ไรมานั้นอยู่ในมือของกลุ่มทุนเก่า
ทิศทางโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มทุนเก่า นั้นเป็นแนวทางคล้ายเกาหลี
คือจะเอื้อให้เกิดกิจการเอกชนขนาดใหญ่ จนสามารถครอบงำเศรษฐกิจและสังคมได้ในทุกๆมิติ โดยมีกิจการน้อยรายแต่ครอบงำทุกสิ่ง แบบเดียวกับที่เมืองไทยกำลังเป็นอยู่
มันมีการพัฒนาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่น่าจะเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจกระจายตัวได้ดีกว่า
นั่นคือการส่งเสริมและผลักดันกิจการขนาดเล็กอย่างเต็มที่ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลทักษิณ ก็คือเรื่องประเภทนี้แหละครับ ไม่ว่าจะ OTOP ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริม SME อย่างเต็มที่ จะเป็นการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างไร้ขอบเขต และจะเป็นการกระจายรายได้ที่ดี นโยบายแบบนี้ไต้หวันเคยทำเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วและทำให้เศรษฐกิจไต้หวันมีเสถียรภาพสูง มีความหลากหลาย และได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษกิจน้อย เมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้งนั้นเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี โครงสร้างเศรษฐกิจแนวไทย เกาหลี อินโดนีเซีย นั้นตุปัดตุเป๋ต้องกู้เงินกันเป็นแถว แต่ไต้หวันกลับแทบจะไม่มีผลกระทบใดๆ
ความหลากหลายทางเศรษฐกิจนั้นเป็นการกระจายความเสี่ยง
แนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงที่ได้รับการยกย่องและเป็นแนวทางปฏิบัติให้พสกนิกรทุกหมู่ทุกเหล่านั้น
ถ้าเราพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้วมันก็คือการกระจายความเสี่ยงในภาคครัวเรือนไงครับ แต่ละครัวเรือนสร้างกิจกรรมหลายชนิดเผื่อชนิดนี้มีปัญหา ชนิดอื่นอาจจะไม่มีปัญหา สุดท้ายแล้วนำมาชดเชยกันได้
ทีนี้เราหันมามองระดับชาติ เราจะเอาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับระดับชาติได้อย่างไร
ก็บอกแล้วไงครับว่าหัวใจของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงก็คือการกระจายความเสี่ยง
ดังนั้นแทนที่เราจะมุ่งสร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (และสรร้างมลพิษระดับมหึมาตามไปด้วย)
เราก็ควรมุ่งส่งเสริมและค้นหากิจการขนาดเล็กแทน และส่งเสริมให้ทุกหน่วยขยายตัวเติบใหญ่ได้
ในภาพรวมของชาติมันก็จะเติบใหญ่ไปด้วยได้เอง นี่เป็นหลักการพื้นฐานที่สุดทางเศรษฐศาสตร์
ที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แล้วไอ้หลักการพื้นฐานนี้ต้องได้เรียนกันตั้งแต่ปีหนึ่ง ในวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาคเบื้องต้น แต่ทางมันไกลความรู้มันคงหล่นทะเลไปหมด
อย่างอุตสาหกรรมเหล็กที่เห็นพยายามส่งเสริมกันนัก
แล้วยังจะให้มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ ก็คือการถลุงเหล็ก ซึ่งจะต้องใช้พลังงานมากมาย
แล้วยังอาจก่อมลพิษมหาศาลขึ้นมาอีก แล้วรัฐยังจะต้องลงทุนช่วยในแง่การขนส่ง
และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ด้วยภาษีประชาชน ทั้งๆที่เมืองไทยไม่มีแร่เหล็กอยู่เลย
ถามจริงเมื่อมีแล้ว ใครได้ประโยชน์?
ประชาชนจะได้ซื้อเหล็กถูกลงจริงหรือ?
เผลอๆอาจต้องซื้อแพงมากขึ้นกว่าเดิมอีก ด้วยนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
ปกป้องอุตสาหกรรมที่มีการบริหารงานห่วยๆ เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น แล้วต้นทุนสูง
สุดท้ายประชาชนกลับต้องมารับภาระทางอ้อมอีกเช่นเคย
มันเป็นกรรมเวรอะไรก็ไม่รู้ของประชาชนคนไทย
บทความของอาจารย์ประสาทนั้นสอดคล้องกับความเห็นของผมยิ่ง
การลงทุนทางพลังงานโดยใช้เงินจากภาษีประชาชน แทนที่จะช่วยประชาชน
แทนที่จะช่วยกิจการขนาดเล็ก กิจการรายย่อยที่เกิดให้ลืมตาอ้าปากได้
เขากลับนำไปช่วยกิจการขนาดใหญ่แทน เขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไรกัน?
เขามุ่งที่จะให้ต่างประเทศมาลงทุนขนาดใหญ่ ให้ประชาชนคนไทยเป็นเพียงภาคแรงงานถูกๆเท่านั้นหรือ? เขาไม่คิดที่จะพัฒนาศักยภาพประชาชนของตนเอง ให้มีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการกันเองเลยหรือ? ผมเชื่อว่ามันเป็นคำถามค้างคาอยู่ในใจของคนไทยจำนวนไม่ใช่น้อย
[b]ทีดีอาร์ไอตื่นจี้รัฐลดเหลื
[b]ทีดีอาร์ไอตื่นจี้รัฐลดเหลื่อมล้ำ[/b]
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (30 พ.ย. 2553)
ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมแนะลดพึ่งพาส่งออก หันมาสนใจตลาดในประเทศแทน ด้านเลขาธิการอังค์ถัด คาดเศรษฐกิจโลกปีหน้าโตแค่ 2-3% ชะลอลงจากปีนี้ หนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาค แต่เตือนคนนอกกลุ่มยุให้แตกคอ เชียร์นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์เดินถูกทาง...
นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยในงานสัมมนาประจำปีของทีดีอาร์ไอในหัวข้อ "การลดความเหลื่อมล้ำ และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ไทยพึ่งพาการส่งออกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะหวังสร้างรายได้และดูแล
แรง งาน จึงรักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่า แต่ยังกดค่าจ้างแรงงาน ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมเศรษฐกิจให้มีพื้นฐานที่ยั่งยืนได้ และยังเกิดความเลื่อมล้ำในสังคม สิ่งที่ควรทำเพื่อให้เกิดความยั่งยืนคือ ส่งเสริม พัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) เพื่อพัฒนาตลาดในประเทศด้านการส่งเสริมความรู้
แหล่งทุนให้กับผู้ ประกอบการ โดยเห็นสอดคล้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยเน้นลดพึ่งพาการส่งออก เพื่อดูแลเอสเอ็มอีในประเทศ นอกจากนี้ ควรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพราะแม้จะมีงบประมาณด้านการศึกษาสูงมาก แต่ยังไม่สามารถเพิ่มค่าจ้างให้สอดคล้องกับคุณภาพของค่าแรงได้ และยอมรับว่าอุตสาหกรรมของไทยยังหวังพึ่งแรงงานราคาถูก เพราะกระบวนการผลิตยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร