Skip to main content


ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้
...


เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน


หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(ที่ห่วงว่าฉันจะอดอยาก) ไหลบ่าท่วมท้นเหมือนทะเล แข... ก่อนกลับยังแอบซื้อกะปิน้ำปลาตุนไว้ในครัวอีกหรือ ที่เพื่อนคั่วมะพร้าวห้าว หั่นอย่างสวยงามมาจากกรุงเทพ พร้อมกุ้งแห้ง เครื่องแนมเมี่ยงคำ นำมาปรุงอย่างประณีต วิจิตร ตั้งใจ เช่นเดียวกับ โจ๊ก ต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ฯลฯ นั้น ฉันรู้สึกว่า กับข้าวที่เธอทำเลอล้ำยิ่งกว่าอาหารทิพย์ของเทวดา รจ...ขอบคุณนะ สำหรับความสุขที่ครอบครัวน้องมอบให้ รวมทั้งความห่วงใยไม่เคยขาดสาย ความช่วยเหลือ สิ่งของ เงินทองที่เสนอให้อย่างไม่คิดจะรับคืน ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเพื่อนเอ๋ย เพียงได้พบ ได้รับน้ำใจล้นหลั่งจากเพื่อนก็มั่งคั่งเพียงพอ เพียงสงสัย ขบคิดกับตัวเองอยู่ไปมาว่า ชาตินี้หรือชาติก่อนหน้า ฉันเคยทำสิ่งดีใด


ปุ้ยน้องรัก เจ้าจะปวารณาตัวเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปินหรืออย่างไร พี่ไม่เคยคิดสักครั้งว่า การเลือกวิถีชีวิตและประกอบการงานที่รักจะถือเป็นอภิสิทธิ์ที่ใครจะต้องชื่นชมหรือหยิบยื่นมือช่วยเหลือ ... ฉันรู้ พวกเขาทำด้วยใจ ด้วยความรักที่มีให้ฉัน ด้วยรักและมิตรภาพที่เรามีให้กัน เมื่อฉันกล่าวว่า การเป็นฝ่ายได้รับทำให้ฉันออกจะละอายใจ และนึกสงสัยว่าตนได้เคยเป็นฝ่ายให้บ้างหรือไม่ กัลยาณมิตรของฉันก็มอบของขวัญยิ่งใหญ่ เป็นถ้อยคำแห่งกำลังใจ ‘แม้ไม่ได้ให้ด้วยสิ่งของ แต่เธอก็ได้ให้ด้วยน้ำจิตน้ำใจ ให้เวลา ความห่วงใย คำปรึกษา ความเป็นมิตร’ ฉันยังไม่สบายใจ จึงเพียรพยายามทบทวนว่าได้กระทำการให้อย่างไรแก่ใครบ้าง โชคดี ที่พอจะพบ


จะไม่รู้สึกขอบคุณได้อย่างไร เพื่อนฉันเดินทางกลับนาครด้วยเงินแทบหมดเกลี้ยงกระเป๋า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เพื่อให้ฉันมีกางเกงยีนตัวใหม่ (เธอแย่งฉันจ่าย) แล้วเมื่อเธอจากไป เพื่อนอีกคนก็นั่งสอยขากางเกงให้ ค่อย ๆ เย็บไปถึงสองวันสองคืน


ขอบคุณ ขอบคุณเหลือเกิน สำหรับน้ำใจไมตรีที่หล่นโปรยอาบชื่นทั้งผู้ใหญ่ เด็กและหมา (เด็ก ๆ ได้นิทาน ขนม ของฝาก ส่วนพวกหมาได้กระดูกกับแชมพูอาบน้ำขวดใหม่) ขอบคุณแม่กับน้องที่มาพัก ปิ้งย่างรอบกองไฟเมื่อฉันไม่อาจเดินทางไปหา ขอบคุณช่างไม้ที่พักงานฉลองมาติดหน้าต่างให้ครบทุกบาน สองปีมาแล้ว กว่าบ้านหลังนี้จะปิดประตูหน้าต่างลงกลอนได้ครบ ทุกอย่างเหมือนตกกระไดพลอยโจนสำหรับฉัน บ้านขยายใหญ่ ทั้งที่เราฝันเพียงกระท่อมทับ

 


สำหรับความมั่นคงทางอาหาร ขอบคุณนะจ๊ะเพื่อน ๆ แม้ว่าเราจะเริ่มคุ้นเคยแล้วกับผักหญ้า และซาบซึ้งกับอาหารง่าย ๆ
(แน่นอนล่ะ อาหารดี ๆ กับเพื่อนพ้อง นั่นคือการเฉลิมฉลอง ยกใจมนุษย์ให้เริงร่า รวมถึงไวน์มะเกี๋ยงจากมะขามป้อมด้วยล่ะ หม้อหุงข้าวสารพัดนึก แจ่วบอง หม่ำ แหนมเนืองจากอีสาน)


ฉันจึงเริ่มศักราชใหม่ด้วยความรู้สึกขอบคุณ...

 



ขอบคุณเธอที่บอกว่า ไม่น่าเชื่อ ทำป่าให้เป็นบ้านได้ ขณะฉันเฝ้าแต่คิดว่า เกือบสองปีแล้วสินะ ปลูกพืชผักต้นไม้ได้แค่นี้เองหรือ ขอบคุณสำหรับจดหมายจากเพื่อนผู้ชื่นชมว่าฉันเก่งเสมอและสู้ชีวิต ขณะฉันแอบกังขา ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยครั้งในสิ่งที่เลือก ที่ทำ ว่าฉันทำดีพอแล้วหรือ ทุ่มเทมากพอ หรือหลงลืมบางอย่างไปหรือไม่


ขอบคุณต้นฟักทอง และพริกขี้นกที่เราไม่ได้ปลูกด้วย ลูกมันเขียวสดอวบใหญ่ เหมือนร้องฮึมฮัมบอกฉันทุกครั้งที่เดินผ่านว่า... จงเชื่อ และอย่าหมดศรัทธา ผืนดินนี้มีโอชะ พิภพคือผู้มอบชีวิต... ขอบคุณบานบุรีอินโดนีเซียด้วยนะ เธอไม่เคยหยุดเบ่งบานดอกนุ่มสีชมพูม่วงเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่


ขอบคุณภูเขาที่รายล้อมทุกทิศ ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก รวมทั้งแสงแดดอุ่น ๆ ที่สาดส่องทะลุฝ้าหมอกทุกเช้า ขอบคุณสายลมที่พัดฉ่ำชื่นตลอดวัน ขุนเขา ดอยเชียงดาวที่สูงตระหง่าน แสงและสีของดวงตะวัน กับหมู่เมฆร้อยพันรูปทรง ที่หลอมรวมบรรเลงเป็นบทเพลงความงามวิจิตรตระการไม่เคยซ้ำ ห้อมล้อมรอบตัวฉันทุกทิศทุกยาม


ขอขอบคุณเจ้านกน้อยผู้ร้องเพลงไพเราะ และมีหลากหลายวง ตรงโน้นตรงนี้ บนกิ่งไม้ ในกอหญ้า ขอบคุณสายลมผู้หยอกกระเซ้าระฆังทองเหลืองและกังสดาลใต้ชายคาเวลาบ่าย ทำให้ฉันรู้สึกสุขสงบ กลมกลืน ไม่เหลือความเรียกร้องต้องการใด


สุดท้าย ขอขอบคุณที่ฉันได้พบช่องทางแสดงความคิดความรู้สึกผ่านตัวอักษรที่นี่ ขอบคุณทุกหัวใจที่ได้อ่าน สัมผัสแตะต้อง และรู้สึกดีงามร่วมกัน

 


ขอเราร่วมศักราชใหม่ที่งดงาม
...


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...
รวิวาร
ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียก’เรา’ นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี …
รวิวาร
* แต หรือเขียง สิ่งก่อสร้างสำหรับแบ่งน้ำในลำเหมือง มี ต๊าง บากเป็นช่องสำหรับให้น้ำผ่านตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะปันให้นาแต่ละเจ้าเท่าใด * อ่าน จุดจบแห่งจินตนาการ  อรุณธตี รอย
รวิวาร
คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว…
รวิวาร
ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน
รวิวาร
  ตัวเป็นๆ   ‘อาว์’ อยู่บนรถเข็น มองมาด้วยดวงตาลึกงัน รอบข้างคือความเคลื่อนไหว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การพูดคุยโบกไม้โบกมือ สตริงควอเท็ตมือสมัครเล่นจบไปแล้วค่ำนั้น งานหนังสือในสวน  ข้าพเจ้าเดินผ่านสายตากราดปะทะ แต่มิได้เข้าไปหา  เหมือนโลกหยุดนิ่งชั่วขณะ ช่วงเวลาอันควรมาถึง แต่ข้าพเจ้ากลับปล่อยผ่าน ลูกและสามีเร่งยิกๆ ให้กลับ เฉกเช่นด้านบัดซบของความจนปล่อยลอยผ่าน รวมเรื่องสั้นรอซื้อสำหรับส่งไปบูชาครู รดน้ำดำหัวที่โป่งแยงคราวสงกรานต์ ข้าพเจ้าให้เผอิญอยู่ไกล ไม่ได้ข่าว ขาดงบประมาณบ้าง มิได้กราบอาว์จริงๆ สักครั้ง
รวิวาร
ชื่อชั้น (2) รึจะเป็น ใต้ถุนป่าคอนกรีต สนิมกรุงเทพฯ หรือ? สำมะหาอะไรกับความทรงจำของเด็ก ข้าพเจ้าพยายามเดาจากรายชื่อหนังสือที่พิมพ์ก่อนปีเกิด แต่ก็หมดปัญญา
รวิวาร
อ่านแรก (1)   ข้าพเจ้าจำได้ ตู้ไม้กรุกระจกใบย่อมใต้หิ้งพระบ้านยาย นอกจากข้าพเจ้ากับน้องจะยึดประตูของมันคนละบาน ใช้ปลายเท้าจิกลงบนกรอบไม้ชิ้นบางที่ยึดแผ่นกระจกด้านล่าง ขณะสองมือเหนี่ยวกรอบบนเท้าข้างหนึ่งถีบพื้นกระดาน แนบร่างกับแผ่นกระจก เหวี่ยงประตูเข้า ๆออกๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตู้หลังนั้น ใบเดียวกับที่ตั้งอยู่ข้างตัวยามนี้ อัดแน่นด้วยหนังสือ ยัดทะนานความคิดความรู้สึก
รวิวาร
หมุนวนแต่ไม่ได้หมุนรอบ ซ้ำซากอยู่กับที่ หรือทุกข์ทรมานเหนื่อยล้าราวถูกตีตรวน มันคือรอบของเกลียวที่หมุนขึ้นสู่เบื้องบน ส่งสัญญาณชัดแจ้งตั้งแต่ตอนแรกแล้วในดีเอ็นเอ วงโคจรแห่งดาว กำเนิดจักรวาล ชีวิต วงหมุน สังสารวัฏ รอบซึ่งมีทิศทะยานขึ้น พัดพาเราหนุนเนื่องไหลตามไป ขออย่างเดียว แค่อย่าเขลาไถลลื่นลง ถึงอย่างนั้น การย้อนศรชีวิตก็ไม่น่าง่าย เพราะมันขัดกับตัวชีวิตเอง แม้จะมีความโง่เขลายิ่งใหญ่ในการทำลายตัวเองหนุนโลกอยู่โต้งๆ ...คุณก็รู้ สัตว์ป่าออกครอบครองพื้นที่แถบเชอร์โนบิล พวกมันจับจองเตาไฟ พื้นกระท่อมที่ถูกทิ้งร้าง หลังผู้อาศัยอพยพหนีรังสีนิวเคลียร์ คุณก็เห็น เวทีเล็กเวทีน้อยที่ชาวบ้านไหวตัว…
รวิวาร
  ฉันตื่นมาตอนหกโมง หมอกลงฝอยขาวโพลนจนมองเห็นเพียงใกล้ๆ อากาศหนาวจนตัวสั่นไปหมด  วันนี้เช้าและหนาวเกินกว่าจะไปสวรรค์...
รวิวาร
      มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเราก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไป พวกเขาทำกับเราเช่นนั้น เหล่านักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ถูกดูดดึงด้วยเวทมนต์บางอย่าง ถูกสะกดและแปลงเปลี่ยนผัสสะด้านใน ฝนไม่เป็นฝนดังที่คุณรู้สึก เจมส์ จอยซ์ทำให้มันเต็มไปด้วยความสับสนกระวนกระวายและโศกเศร้า คุณค่อยๆหลุดหาย หายไปในเมืองที่ดรออิ้งภูมิภาพไม่เข้มชัด ภาพเขียน ซึ่งไม่เหมือนจริง ภาพถ่ายที่คมชัดในรายละเอียด เหมือนก้อนทึบ บลุบเบลอ ทว่าแน่นหนักด้วยโทนอารมณ์รู้สึก ต่างกับเรื่องเล่าที่ดำเนินด้วยเหตุการณ์ พล็อตฉับไวของสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรียงลำดับตามแบบแผน ผู้คนที่กำลังถูกไล่ล่า…
รวิวาร
เหมือนความเศร้านั้นมีมวล  แผ่จับและหนักอึ้งอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ในดวงตาก้มต่ำ ริมฝีปากเงียบงันล่องลอยยังที่ใด ตัวมันเองไม่ต้องการคำถาม ไม่สรรหาคำอธิบายมาบอก ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องใต้นั้น ภาษาก็อับจนหนทาง