Skip to main content


ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน
1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท

หนังสือ ดูดดื่มกับหนังสือ บทเพลงหรือภาพเขียน หากที่ใกล้ชิด ดื่มด่ำถึงขนาดคือหนังสือ อ่านด้วยหัวใจเปิดกว้างอย่างเดียวกับครั้งยังเด็ก ดูดดื่ม ...ดูด-ซับ ดื่ม-กินอย่างหิวกระหาย ไม่คัดเลือก กลั่นกรองใด ๆ โอบรับหมดทั้งใจ เช่นที่ร้องไห้รอบแล้วรอบเล่ากับเซเซ่2 เชื่อมั่นสุดหัวใจเด็กหญิงวัยแปดขวบว่า นี่แหละ สิ่งที่มีความหมายมากที่สุด ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหนังสือ ข้าวปลาอาหาร งานบ้าน ตำราหรือ? หัวใจฝังติดลงไปเช่นเดียวกับใบหน้าจมลงบนแผ่นกระดาษ โลกข้างนอกยังจะมีความหมายอะไร หายไปในใบหน้าโลกที่เรียงรายเป็นตัวพิมพ์สลอน เศร้า อาดูร รวดร้าว ร่ำไห้ หัวเราะ ตื่นเต้น หวาดหวั่น เริงร่า กร้าวแกร่งและเข้มแข็ง หนังสือคือพ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของฉัน คือครูบาอาจารย์ที่ทำให้ฉันได้เห็น เข้าใจโลกและชีวิต รวมทั้งความรับรู้ที่ลึกซึ้ง ชอกช้ำเกินกว่าบทสนทนา เรื่องราวในชีวิตจริง จำได้ ความรู้สึกเจ็บปวดโง่เขลาที่ไม่อาจอธิบาย แต่ร่วมรับรู้ลึกเข้าไปราวกับเกิดกับตัวเอง ความอึดอัดขื่นขมน่าสมเพชที่ใต้ถุนสังคมของดอสโตเยฟสกี้3 ความอ่อนโยนดีงามประทับจิตใจของน้องชายคนเล็กแห่งสกุลคารามาซอฟ4 ความเหงาเศร้าของรักหัวใจรอน ๆ บทเพลงแจ๊ส และสาวขาเป๋ผู้สวยซึ้ง มนุษย์หมู่บ้านโลกที่ระเหเร่ร่อนไปกับจิตวิญญาณที่ถูกฉีกกระชากจากตัวเองของมุราคามิ จากนั้นอบอุ่น ผิงแดดอ่อน ๆ ในนิทานแห่งท้องทุ่งจากศตวรรษไกลโพ้น6 ก่อนยกจิตใจสู่ความงามประณีตในบทกวีบริสุทธิ์ ...จะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีหนังสือ! ฉันจะเป็นเช่นทุกวันนี้ได้ยังไงถ้าไม่มีหนังสือ!

 

หนังสือ ...ไม่ใช่กระดาษเปื้อนหมึกที่เย็บเป็นเล่ม ๆ มันเปล่งเสียงร้อง ขบวนแถวถ้อยคำยังตื้นเขินไป มันคือลมหายใจผ่าวร้อนของผู้คน คือความเชื่อ ศาสนา ศรัทธา ปรัชญา ความรัก กิเลสตัณหา การต่อสู้ดิ้นรน ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและล้มเหลว ความพ่ายแพ้และชัยชนะของพวกเขา เหล่าตัวละคร นั่นล่ะ! คำประกาศก้องถึงความเป็นมนุษย์ อันดราในอนาคตโลกเรียกคืนมนุษยภาพเมื่อได้อ่านได้ฟังบทกวี7 หลูและผมมีชีวิตอยู่ได้แม้ถูกสัมมนาด้วยความสิ้นหวังและงานหนักเพราะหนังสือ คอมมิวนิสต์ชั่วช้า ทุนนิยมหรือลัทธิทางสังคมใด ๆ ชั่วช้า หากมันทำลายความเป็นมนุษย์ อย่างนั้นแล้วมนุษย์คืออะไรเล่า? คือสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะพยายามข้ามพ้นอย่างนั้นหรือ? หรือคือหัวจิตหัวใจในร่างกายที่ทั้งรักทั้งชัง เหงา ขมขื่น ผิดหวัง ต้องการ ปรารถนา ทำมนุษย์ให้เป็นหุ่นยนต์ เป็นชีวะแห่งงาน เป็นสัตว์ที่ต้องการเพียงข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่กำบัง หรือการหลับนอนผ่อนพักเท่านั้นได้อย่างไร พระเจ้าไม่ได้สร้างดอกไม้ชนิดเดียวบนโลก ดอกไม้อันงามน่ารักบนผืนพิภพสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับซับซ้อนและหลากหลายภูมิอากาศมีนับร้อยนับล้านชนิด โอ้เจ้าชีวิตน้อย ๆ ที่แบบบางน่ารัก ดองดึง เทียน พุด แก้ว กุหลาบเถา กุหลาบช่อ แล้วมนุษย์เล่า จะให้คิดทำในแบบแผนเดียวซ้ำซาก สร้างมาตรฐานการหายใจในร่างที่แม้จะคงอยู่ไม่กี่หมื่นชั่วโมงให้เหมือนกันเปี๊ยบเลยล่ะหรือ? ช่างดูถูกความมั่งคั่งและการสร้างสรรค์อัศจรรย์ของจักรวาลเสียนี่กระไร

 

เด็กคนนั้นรับรู้ โลกนี้มั่งคั่งกว้างใหญ่ รุ่มรวยทั้งบาดแผลและความสุข ติดปีกบินท่องทั่วฟ้า เปิดดวงตาวิเศษ แลทะลุทั่วจักรวาลผ่านตัวหนังสือ หนังสือ! หนังสือ! หนังสือ! หนังสือเพาะเชื้อแห่งการปฏิวัติ หนังสือทำให้เด็กหนุ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน หนังสือปลุกจิตวิญญาณหยั่งรู้ข้ามกาลเวลาฟื้นตื่น ศิลปะและหนังสือนำทางสู่หัวใจ ทวารบาลของวิหารแห่งพระเป็นเจ้า หัวใจต่างหากคือตัวจริงของนักอ่าน วรรณกรรมอ่านด้วยใจ ทุกเรื่องราวไหวสะเทือน เลื่อนไหลแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือด อวัยวะ เนื้อหนัง ไขกระดูกจนชุ่มโชก ต่างจากน้ำ อาหาร หรือโภชะใด หนังสือจะแฝงฝังอยู่กับเราเนิ่นนานยิ่งกว่าเชื้อโรคร้าย เจ็ดปีผ่าน ร่างกายผลัดเซลล์ใหม่ หากไม่ตกตายหรือหลงลืมไป หนังสือที่หัวใจดักจับไว้จะแนบอิงพิงแอบอยู่เช่นนั้น ปักหลักเนิ่นนาน ส่งเสียงสะท้อนจากภายนอกสู่ภายใน กลับไปกลับมาไม่หยุดหย่อน และยังขับเน้นทรงพลังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวและประสบการณ์ของเราต่อชีวิตและทุกความสัมพันธ์บนโลก เรื่องราวของผู้คนในหนังสือกับประสบการณ์และชีวิตของพวกเขา มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เราเสพโลกไว้ทั้งสองทาง สะท้อนหากันเหมือนส้อมเสียง ก้องกังวานไปไกล เขย่า สร้างตัวตนและจักรวาลในห้วงจินตนา ความรู้สึกของเราเดินทางไปไกลถึงดวงจันทร์ สะท้อนกลับมาสู่ใจ ดวงจันทร์อันอ่อนใสสุกสกาว ไม่ใช่ดาวเคราะห์บริวารตะปุ่มตะป่ำเยือกเย็นไร้ชีวิต มีองค์ประกอบทางเคมีอะไรบ้างล่ะนั่น...

 

ฉันเสพติดหนังสือขนาดหนักมาหลายเดือนแล้ว ไขว่คว้า ค้นหา หยิบยืมมาอ่านอย่างตะกรุมตะกรามหิวกระหาย ถึงเป็นนักอ่านตลอดมา แต่มีบางช่วงบางคราวที่ว่างเว้นจากการเสพ หนำซ้ำเคยเครียดขำกับคำ ‘อำนาจวรรณกรรม’ อันหรูหรา ทว่า วันนี้ ไม่ขบคิดค้นหาเหตุผลอะไรแล้ว

 

ฉะนั้น...อ่านหนังสือเถิดที่รัก หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุด คือมิตรสนิทผู้ปลอบประโลม แม้พลังของหนังสือดี ๆ จะเชี่ยวกราก ฉุดกระชากลากถูยิ่งกว่าน้ำไพรไหลบ่า แต่เชื่อเถิด หนังสือมากมายหลายพันหมื่นเล่ม วรรณกรรมมีสำนึกดีงามเสมอ มันส่องสะท้อน สะท้าน สะเทือน แต่ไม่เคยชี้นำ แม้อาจชักจูงใจให้หลงเชื่อเคลิ้มคล้อยไปบ้าง หรือกักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ในหุบห้วงแห่งความรู้สึก แต่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงกังวล หัวใจของเธอจะค้นหาทิศทางได้เอง จากเรื่องราวนั้น ๆ จากบทกวีก่อนหน้า จากนิยายเรื่องถัดไป เธออาจต้องปวดร้าวบ้าง บางครั้งมากกว่าคนทั่วไป เธออาจคร่ำเครียด ขบคิดสับสนเหมือนคนบ้า เปลี่ยวเปล่าราวกับอยู่ตัวคนเดียวในโลก อาจหัวเราะแปร่งปร่า เย้ยหยันชีวิต ทั้งหมดเป็นเพียงการตั้งคำถามคลาสสิกซึ่งไม่วันจบสิ้นเรื่องของ ‘การมีชีวิต’ และ ‘การเป็นมนุษย์’ มันเป็นคำถามราคาแพงแต่ก็คุ้มค่า ดุ่มเดินดื่มด่ำไปตามหน้าหนังสือ เราอาจเจ็บปวด ถูกก่นด่าโบยตีไม่จบสิ้น ทว่า แส้ของหนังสือยังกรุณากว่าแส้ของชีวิตจริง

 

ฉันเชื่อ ที่สุดแล้ว ... หนังสือ ศิลปะ และวรรณกรรมไม่นำไปสู่สิ่งอื่นใด นอกจากความรักในมนุษยชาติและชีวิต

"นักอ่านทุกคนค้นพบตัวเอง ผลงานของนักเขียนเพียงเป็นเครื่องมือทางทรรศนะชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงสิ่งซึ่งหากปราศจากหนังสือแล้ว เขาอาจไม่มีวันพบได้ในตัวเอง" มาร์แซล พรูสต์8 

 


1
บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน ไต้ซื่อเจี๋ย เขียน โตมร ศุขปรีชา แปล

2 ต้นส้มแสนรัก โจเซ่ วาสคอลซีลอส เขียน มัทนี เกษกมล แปล

3 บันทึกจากใต้ถุนสังคม ดอสโตเยฟสกี้ เขียน ศ.ศุภศิลป์ แปล

4 พี่น้องคารามาซอฟ ดอสโตเยฟสกี้ เขียน สดใส แปล

5 การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก ฮารุกิ มุราคามิ เขียน โตมร ศุขปรีชา แปล

6 หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้ อนาโตล ฟรังซ์ เขียน ไกรวัลย์ สีดาฟอง แปล

7 เธอคืออันดรา หลุยส์ ลอเรนซ์ เขียน กิติมา อมรฑัต แปล

จากคอลัมน์ รอบโลกวรรณกรรม วรรณกรรมรอบโลก ,เฟย์, นิตยสารช่อการะเกด 46

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...
รวิวาร
ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียก’เรา’ นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี …
รวิวาร
* แต หรือเขียง สิ่งก่อสร้างสำหรับแบ่งน้ำในลำเหมือง มี ต๊าง บากเป็นช่องสำหรับให้น้ำผ่านตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะปันให้นาแต่ละเจ้าเท่าใด * อ่าน จุดจบแห่งจินตนาการ  อรุณธตี รอย
รวิวาร
คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว…
รวิวาร
ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน
รวิวาร
  ตัวเป็นๆ   ‘อาว์’ อยู่บนรถเข็น มองมาด้วยดวงตาลึกงัน รอบข้างคือความเคลื่อนไหว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การพูดคุยโบกไม้โบกมือ สตริงควอเท็ตมือสมัครเล่นจบไปแล้วค่ำนั้น งานหนังสือในสวน  ข้าพเจ้าเดินผ่านสายตากราดปะทะ แต่มิได้เข้าไปหา  เหมือนโลกหยุดนิ่งชั่วขณะ ช่วงเวลาอันควรมาถึง แต่ข้าพเจ้ากลับปล่อยผ่าน ลูกและสามีเร่งยิกๆ ให้กลับ เฉกเช่นด้านบัดซบของความจนปล่อยลอยผ่าน รวมเรื่องสั้นรอซื้อสำหรับส่งไปบูชาครู รดน้ำดำหัวที่โป่งแยงคราวสงกรานต์ ข้าพเจ้าให้เผอิญอยู่ไกล ไม่ได้ข่าว ขาดงบประมาณบ้าง มิได้กราบอาว์จริงๆ สักครั้ง
รวิวาร
ชื่อชั้น (2) รึจะเป็น ใต้ถุนป่าคอนกรีต สนิมกรุงเทพฯ หรือ? สำมะหาอะไรกับความทรงจำของเด็ก ข้าพเจ้าพยายามเดาจากรายชื่อหนังสือที่พิมพ์ก่อนปีเกิด แต่ก็หมดปัญญา
รวิวาร
อ่านแรก (1)   ข้าพเจ้าจำได้ ตู้ไม้กรุกระจกใบย่อมใต้หิ้งพระบ้านยาย นอกจากข้าพเจ้ากับน้องจะยึดประตูของมันคนละบาน ใช้ปลายเท้าจิกลงบนกรอบไม้ชิ้นบางที่ยึดแผ่นกระจกด้านล่าง ขณะสองมือเหนี่ยวกรอบบนเท้าข้างหนึ่งถีบพื้นกระดาน แนบร่างกับแผ่นกระจก เหวี่ยงประตูเข้า ๆออกๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตู้หลังนั้น ใบเดียวกับที่ตั้งอยู่ข้างตัวยามนี้ อัดแน่นด้วยหนังสือ ยัดทะนานความคิดความรู้สึก
รวิวาร
หมุนวนแต่ไม่ได้หมุนรอบ ซ้ำซากอยู่กับที่ หรือทุกข์ทรมานเหนื่อยล้าราวถูกตีตรวน มันคือรอบของเกลียวที่หมุนขึ้นสู่เบื้องบน ส่งสัญญาณชัดแจ้งตั้งแต่ตอนแรกแล้วในดีเอ็นเอ วงโคจรแห่งดาว กำเนิดจักรวาล ชีวิต วงหมุน สังสารวัฏ รอบซึ่งมีทิศทะยานขึ้น พัดพาเราหนุนเนื่องไหลตามไป ขออย่างเดียว แค่อย่าเขลาไถลลื่นลง ถึงอย่างนั้น การย้อนศรชีวิตก็ไม่น่าง่าย เพราะมันขัดกับตัวชีวิตเอง แม้จะมีความโง่เขลายิ่งใหญ่ในการทำลายตัวเองหนุนโลกอยู่โต้งๆ ...คุณก็รู้ สัตว์ป่าออกครอบครองพื้นที่แถบเชอร์โนบิล พวกมันจับจองเตาไฟ พื้นกระท่อมที่ถูกทิ้งร้าง หลังผู้อาศัยอพยพหนีรังสีนิวเคลียร์ คุณก็เห็น เวทีเล็กเวทีน้อยที่ชาวบ้านไหวตัว…
รวิวาร
  ฉันตื่นมาตอนหกโมง หมอกลงฝอยขาวโพลนจนมองเห็นเพียงใกล้ๆ อากาศหนาวจนตัวสั่นไปหมด  วันนี้เช้าและหนาวเกินกว่าจะไปสวรรค์...
รวิวาร
      มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเราก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไป พวกเขาทำกับเราเช่นนั้น เหล่านักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ถูกดูดดึงด้วยเวทมนต์บางอย่าง ถูกสะกดและแปลงเปลี่ยนผัสสะด้านใน ฝนไม่เป็นฝนดังที่คุณรู้สึก เจมส์ จอยซ์ทำให้มันเต็มไปด้วยความสับสนกระวนกระวายและโศกเศร้า คุณค่อยๆหลุดหาย หายไปในเมืองที่ดรออิ้งภูมิภาพไม่เข้มชัด ภาพเขียน ซึ่งไม่เหมือนจริง ภาพถ่ายที่คมชัดในรายละเอียด เหมือนก้อนทึบ บลุบเบลอ ทว่าแน่นหนักด้วยโทนอารมณ์รู้สึก ต่างกับเรื่องเล่าที่ดำเนินด้วยเหตุการณ์ พล็อตฉับไวของสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรียงลำดับตามแบบแผน ผู้คนที่กำลังถูกไล่ล่า…
รวิวาร
เหมือนความเศร้านั้นมีมวล  แผ่จับและหนักอึ้งอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ในดวงตาก้มต่ำ ริมฝีปากเงียบงันล่องลอยยังที่ใด ตัวมันเองไม่ต้องการคำถาม ไม่สรรหาคำอธิบายมาบอก ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องใต้นั้น ภาษาก็อับจนหนทาง