Skip to main content

เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน
ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ

ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     
คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร ฉันปล่อยให้ตัวอักษรนำพา ให้ความรู้สึกเคลื่อนไป
มันจะต้องนำไปสู่สิ่งใดสักสิ่งแน่ละ  ดูสิว่า การเขียนอย่างไม่ควบคุมจะเป็นไปได้แค่ไหน
เรามีความอึดอัด และใฝ่ฝันมาตลอดที่จะเขียนแบบไร้พล็อต  มันอาจมีพล็อต  แต่ต้องไม่ใช่พล็อตที่มาจากการวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือคิดสาระตะเสร็จแล้ว

ฉันเคยทดลองเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งแบบที่ว่า ปรากฏว่าเรื่องราวได้เรียบเรียงตัวมันเอง กับงานร้อยแก้วชิ้นหนึ่ง ซึ่งออกมามีเนื้อหาใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงสรุปกับตัวเองว่า ที่แท้ในหัวสมอง ทุก ๆ วันมันคิดต่อเนื่องกันมานาน เพียงแต่ลึกขึ้น ๆ และแตกรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ตามวันเวลา พอลงมือเขียน  เจ้าความคิดความรู้สึกเหล่านั้นก็หลั่งไหลออกมา 

....................................................................

20080201 ภาพประกอบ ต้นไม้, แสงอรุณ


ที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  มันเก่าแก่โบราณมาก ยังคงลักษณะไม้ป่า เป็นไม้ประดู่หุ้มด้วยไทร  ต้นไม้นี้โดดเดี่ยว สูงใหญ่ มองเห็นได้แต่ไกล

เราสามารถมองดูต้นไม้นี้ได้เต็มตา ตั้งแต่จากโคนจรดเรือนยอด  เนื่องจากไม่มีไม้อื่นนอกจากลำไยตัดแต่งพันธุ์ต้นเตี้ยเว้นที่อยู่ห่าง ๆ มันทาบลำต้นและกิ่งก้านสาขาเต็มฟ้า ยืนหยัด เด่นสง่า ทั้งกลางวันกลางคืน แน่วนิ่ง เปียกปอนอยู่ในสายฝน  เลือนรางกลางป่าหมอก และส่งเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกยามรุ่งสาง เมื่อหมอกยามอรุณกลั่นตัวลงเป็นหยดน้ำกระทบกับใบ  

มันอยู่ห่างจากรั้วบ้านของฉัน ในเขตสวนของใครบางคน ซึ่งความหวาดผวาจับติดใจไม่จางว่า สักวันหนึ่ง ไทรสูงสง่าต้นนี้จะล้มลงมาทับลำไยน้อย ๆ ซึ่งจะนำเงินหลักแสนมาให้
ครู ,สถาปนิก ,มนุษย์  แสงอรุณ รัตสิกร รักต้นไม้มาก ท่านซื้อที่ดินเมืองเหนือผืนหนึ่ง เพียงเพื่อรักษาต้นไม้ใหญ่ที่รู้สึกรักราวกับปู่ ไม้นั้นขึ้นอยู่กลางที่ดินผืนนั้น  

เพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่า หากเจ้าของคิดจะโค่น ให้ฉันขอร้องเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ให้ขอซื้อ เธอจะพยายามรวบรวมเงินอย่างสุดความสามารถเพื่อให้มันได้มีชีวิตสืบไป  

ใช่แต่เธอคนเดียวหรอกเพื่อนเอ๋ย...
ต้นไม้อายุยืนกว่าพวกเรามากมายนัก
ไม้ชราล้วนแต่อยู่ในป่าเหลือเพียงไม้ต้นนี้
ฉันมีเพียง ต้นไม้ต้นนี้แทนสายใยสุดท้าย...

ฉันเห็น วันหนึ่ง ขบวนต้นไม้พากันวิ่งออกจากเมืองตอนฟ้าสาง
มันเตลิดร่อนไปบนถนนอย่างอิสระ  และป่าเถื่อน
เขาเป็นพวกต้นไม้ที่ถูกล้อมไปขายตลาดต้นไม้ในเมืองที่ฉันนั่งรถผ่าน
และเห็นเขากำลังจะตาย ด้วยเหลือวิญญาณอยู่เพียงหนึ่งส่วน

บนต้นไม้ใหญ่ของฉันมีรังนกหลายร้อยรัง  กระจิบกระจาบ ต้อยตีวิด ปิ๊ดตะลิว นกปีกสีฟ้าที่ฉันจำชื่อไม่ได้   รวมทั้งดุเหว่า  ใต้โคนต้นมีนกกระปูดปีกส้มมันปลาบตัวเขื่อง บินเรี่ย ๆ กระโดดจิกหาอาหารไปมาเวลาเช้า เย็น ยังเป็นที่อยู่ของตุ๊กแก เป็นที่ที่อีกาไล่ล่าเหยื่อ และเหยี่ยวแดงสองผัวเมียบนเชิงผาที่ชอบบินโฉบมาหยอกพวกปักษี

ฟ้าเหนือดอยใสกระจ่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะฤดูหนาว  ฟ้าสีครามเหมือนเพิ่งลงสีใหม่นั้นจะดูสดสว่างงามจับตาเมื่อทาบด้วยเรือนยอดสีเขียวเลื่อมพราว   กลางคืนดื่นดึก ดวงดาวห้อยย้อยลงมาจวนเจียนจะถึงดิน  เด็ก ๆ พากันเรียกว่าต้นไม้คริสตมาส ด้วยมีดาวเล็กดาวน้อยชำแรกส่องแสงอยู่ตามกิ่งก้านเต็มไปหมด  รวมทั้งดวงดาราหนึ่งที่สุกใสส่องประกายเหนือยอด   ดาวเหนือ  เข็มทิศของคนเดินทาง  ดาวประกายพรึก ดาวประจำเมือง หรือดาวอะไรก็ตาม  ความสุกสว่างของมันทำให้จิตใจของเราเฟื่องฟูด้วยความหวัง
        
ขอบคุณจ้ะต้นไม้... ฉันดีใจที่เธออยู่ที่นี่ แม้เธออาจจะรู้สึกเศร้าเมื่อหวนนึกถึงความหลัง    ที่นี่เคยเป็นดงเสือดุ  ผู้คนไม่กล้าผ่าน  รอบตัวเธอคงแน่นขนัดด้วยเพื่อนไม้ใหญ่  กลิ่นอายไพรพฤกษ์คงเข้มข้น น่าหวั่นเกรงสำหรับมนุษย์  ถึงแม้ ต่อมาไม่นาน เธอจะได้รู้ในที่สุดว่าท่ามกลางบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อย  มนุษย์อันตรายที่สุด ...

มนุษย์ได้รับเกียรติจากพระเจ้า  ให้สามารถคิด สงสัย และตัดสิน  เราได้รับเสรีภาพให้คิดโดยอิสระ ปราศจากรูปแบบตายตัวกำหนด  แต่แล้ว เรากลับเข้าใจผิด แยกตัวเองจากแหล่งที่มา  สร้างความคิด  ผลิตสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อโลก ชีวิต และตัวเอง  เราคือธรรมชาติ เช่นเดียวกับต้นไม้  เป็นส่วนหนึ่งของชีวาลัย  เราเป็นอีฟและอดัมไม่เคยเปลี่ยน  แท้จริงเราหาได้อาศัยเพียงคาร์บอนมอนนอกไซด์จากต้นไม้เท่านั้น  ทว่า ในร่างกาย สายเลือด สมอง  เซลล์ทุกเซลล์  ทุกอารมณ์  ความคิด ความรู้สึกของเราอิงอาศัยพวกเขา ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า ผืนดิน จักรวาลและดวงดาวทั้งปวง  ความรู้บนความเข้าใจผิดไม่อาจแยกเราออกจากธรรมชาติได้  

ฉันพบว่า ความน่าเกลียดทั้งหลาย จากสิ่งก่อสร้าง เคหาสถ์ อาคารสถาน และจากดวงจิตมนุษย์  เช่นความทุกข์ ความโกรธเกลียด ริษยาขัดแย้ง เกินกว่าครึ่งสามารถสลายไป พลันที่ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้  เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแค่เข้าไปนั่งเล่นใกล้ ๆ ต้นไม้  หรือพยายามปลูกต้นไม้ ดอกไม้ให้มากที่สุด  ทุก ๆ ที่ ทุกหนแห่ง

ครูแสงอรุณ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเรียนฝึกงานในสำนักของสถาปนิกแฟรงค์ ลอย ไรท์ผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้สามารถสัมผัสวิญญาณป่าและเข้าใจภาษาต้นไม้  มีคนไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงเรียกของต้นไม้  เขามีอาการเหมือนเดินละเมอ  ตรงเข้าไปโอบกอดต้นไม้  ลืมความเก้อกระดาก เมื่อคิดว่า คนอื่นอาจเข้าใจไปอย่างหมั่นไส้ว่า เขาเป็นพวกโรแมนติก รักธรรมชาติ หรือแสดงอาการเกินเหตุ   ทว่า เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจ  ต้นไม้แสนดีเหลือเกิน  อบอุ่นภายใต้เปลือกสัมผัสขรุขระกระด้าง  เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างข้างใน  พลังบริสุทธิ์  สะอาด  และเยียวยาจากธรรมชาติ  ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอีกคนภายหลังกลับจากป่าไม้
    
................................................................................

หน้าหนังสือพิมพ์วันนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย  ข้อมูลเรื่องโลกร้อนที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกห่วงใย  และคำชักชวนให้ช่วยกันแก้ไข  กับอีกข่าวหนึ่ง ...ขอโทษด้วยนะจ๊ะต้นไม้ ในนามของมนุษยชาติ พวกเขาหยอดยาฆ่าหญ้าชนิดดูดซึมเข้มข้นเข้าไปในสักทองต้นตรงสูงใหญ่ กรีดเซาะโคนต้น ผ่าแยกแหวกเป็นโพรง แล้วโยนยาพิษเข้าไป คอยให้ต้นไม้ตายทั้งเป็น สะดวกแก่การลากพาออกจากป่า

เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่า เรากำลังทำลายชีวิตตัวเอง เราพากันควงสว่านยักษ์  บุกตะลุยเจาะพื้นโลกจนพรุนเพื่อขุดหาน้ำมันและสินทรัพย์มีค่า  เรากวัดแกว่งเลื่อยเหล็กตัดไม้ทุกต้นที่เอื้อมถึงได้ในป่า  หว่านยาพิษลงบนพื้น   ทิ้งสารเคมีและสิ่งโสโครกลงสู่ทะเลและแม่น้ำ  พ่นควันพิษปริมาณมหาศาลขึ้นไปในอากาศ ทุกวัน ทุกเวลา จากนั้นก็บอกว่า... “ช่วยไม่ได้!  วิถีของโลกเป็นไปอย่างนี้ นี่คือธุรกิจ นี่คือระบบเศรษฐกิจ  นี่คืออารยธรรม”    

อารยธรรมแบบไหนกันที่เผาบ้าน ทำลายฐานที่มั่นของตัวเอง จากนั้นชิงหนีโลกไป ปล่อยให้ลูกหลานไปตายเอาดาบหน้า !

ขอโทษจ้ะต้นไม้ ขอโทษอีกครั้ง ความกราดเกรี้ยวรุนแรงไม่อาจช่วยแก้ไขปัญหา  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับมนุษย์ เมื่อถูกพรากจากตัวเองไปเป็นเวลาสองพันปี  สองพันปีแห่งอารยธรรมที่เราคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมีอำนาจจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไร เรา –ฉัน จะทำเท่าที่ทำได้ จะคิดไปให้สุดความคิด รู้สึกให้เต็มความรู้สึก เพื่อที่จะประกาศ  กระทำ ชักชวน บอกเล่า ให้โลกธรรมชาติรอบ ๆ ตัวฉันและคนใกล้ชิดเยียวยาฟื้นคืน ให้ทุกคนที่ฉันรู้จัก จดจำและตระหนักได้ว่า เราทำอะไรลงไป

ขออย่าให้ความรักต้นไม้นี้เป็นเพียงอารมณ์โรแมนติก สายลมพัดกิ่งไม้ไหว ดอกไม้ ผีเสื้อ
แต่จงเป็นเชื้อเพลิงแห่งปาฏิหาริย์เรียกความเป็นมนุษย์กลับคืน
เป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งตระหนักขึ้นในที่สุดว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  
และ เรา- ผู้ซึ่งได้รับอภิสิทธิ์ในการถือคฑาแห่งสวรรค์ และอาวุธทำลายล้างของซาตาน  
ไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากป่าไม้ สายน้ำ ผืนดินอุดม และท้องฟ้าสวยบริสุทธิ์

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...
รวิวาร
ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียก’เรา’ นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี …
รวิวาร
* แต หรือเขียง สิ่งก่อสร้างสำหรับแบ่งน้ำในลำเหมือง มี ต๊าง บากเป็นช่องสำหรับให้น้ำผ่านตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะปันให้นาแต่ละเจ้าเท่าใด * อ่าน จุดจบแห่งจินตนาการ  อรุณธตี รอย
รวิวาร
คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว…
รวิวาร
ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน
รวิวาร
  ตัวเป็นๆ   ‘อาว์’ อยู่บนรถเข็น มองมาด้วยดวงตาลึกงัน รอบข้างคือความเคลื่อนไหว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การพูดคุยโบกไม้โบกมือ สตริงควอเท็ตมือสมัครเล่นจบไปแล้วค่ำนั้น งานหนังสือในสวน  ข้าพเจ้าเดินผ่านสายตากราดปะทะ แต่มิได้เข้าไปหา  เหมือนโลกหยุดนิ่งชั่วขณะ ช่วงเวลาอันควรมาถึง แต่ข้าพเจ้ากลับปล่อยผ่าน ลูกและสามีเร่งยิกๆ ให้กลับ เฉกเช่นด้านบัดซบของความจนปล่อยลอยผ่าน รวมเรื่องสั้นรอซื้อสำหรับส่งไปบูชาครู รดน้ำดำหัวที่โป่งแยงคราวสงกรานต์ ข้าพเจ้าให้เผอิญอยู่ไกล ไม่ได้ข่าว ขาดงบประมาณบ้าง มิได้กราบอาว์จริงๆ สักครั้ง
รวิวาร
ชื่อชั้น (2) รึจะเป็น ใต้ถุนป่าคอนกรีต สนิมกรุงเทพฯ หรือ? สำมะหาอะไรกับความทรงจำของเด็ก ข้าพเจ้าพยายามเดาจากรายชื่อหนังสือที่พิมพ์ก่อนปีเกิด แต่ก็หมดปัญญา
รวิวาร
อ่านแรก (1)   ข้าพเจ้าจำได้ ตู้ไม้กรุกระจกใบย่อมใต้หิ้งพระบ้านยาย นอกจากข้าพเจ้ากับน้องจะยึดประตูของมันคนละบาน ใช้ปลายเท้าจิกลงบนกรอบไม้ชิ้นบางที่ยึดแผ่นกระจกด้านล่าง ขณะสองมือเหนี่ยวกรอบบนเท้าข้างหนึ่งถีบพื้นกระดาน แนบร่างกับแผ่นกระจก เหวี่ยงประตูเข้า ๆออกๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตู้หลังนั้น ใบเดียวกับที่ตั้งอยู่ข้างตัวยามนี้ อัดแน่นด้วยหนังสือ ยัดทะนานความคิดความรู้สึก
รวิวาร
หมุนวนแต่ไม่ได้หมุนรอบ ซ้ำซากอยู่กับที่ หรือทุกข์ทรมานเหนื่อยล้าราวถูกตีตรวน มันคือรอบของเกลียวที่หมุนขึ้นสู่เบื้องบน ส่งสัญญาณชัดแจ้งตั้งแต่ตอนแรกแล้วในดีเอ็นเอ วงโคจรแห่งดาว กำเนิดจักรวาล ชีวิต วงหมุน สังสารวัฏ รอบซึ่งมีทิศทะยานขึ้น พัดพาเราหนุนเนื่องไหลตามไป ขออย่างเดียว แค่อย่าเขลาไถลลื่นลง ถึงอย่างนั้น การย้อนศรชีวิตก็ไม่น่าง่าย เพราะมันขัดกับตัวชีวิตเอง แม้จะมีความโง่เขลายิ่งใหญ่ในการทำลายตัวเองหนุนโลกอยู่โต้งๆ ...คุณก็รู้ สัตว์ป่าออกครอบครองพื้นที่แถบเชอร์โนบิล พวกมันจับจองเตาไฟ พื้นกระท่อมที่ถูกทิ้งร้าง หลังผู้อาศัยอพยพหนีรังสีนิวเคลียร์ คุณก็เห็น เวทีเล็กเวทีน้อยที่ชาวบ้านไหวตัว…
รวิวาร
  ฉันตื่นมาตอนหกโมง หมอกลงฝอยขาวโพลนจนมองเห็นเพียงใกล้ๆ อากาศหนาวจนตัวสั่นไปหมด  วันนี้เช้าและหนาวเกินกว่าจะไปสวรรค์...
รวิวาร
      มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเราก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไป พวกเขาทำกับเราเช่นนั้น เหล่านักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ถูกดูดดึงด้วยเวทมนต์บางอย่าง ถูกสะกดและแปลงเปลี่ยนผัสสะด้านใน ฝนไม่เป็นฝนดังที่คุณรู้สึก เจมส์ จอยซ์ทำให้มันเต็มไปด้วยความสับสนกระวนกระวายและโศกเศร้า คุณค่อยๆหลุดหาย หายไปในเมืองที่ดรออิ้งภูมิภาพไม่เข้มชัด ภาพเขียน ซึ่งไม่เหมือนจริง ภาพถ่ายที่คมชัดในรายละเอียด เหมือนก้อนทึบ บลุบเบลอ ทว่าแน่นหนักด้วยโทนอารมณ์รู้สึก ต่างกับเรื่องเล่าที่ดำเนินด้วยเหตุการณ์ พล็อตฉับไวของสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรียงลำดับตามแบบแผน ผู้คนที่กำลังถูกไล่ล่า…
รวิวาร
เหมือนความเศร้านั้นมีมวล  แผ่จับและหนักอึ้งอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ในดวงตาก้มต่ำ ริมฝีปากเงียบงันล่องลอยยังที่ใด ตัวมันเองไม่ต้องการคำถาม ไม่สรรหาคำอธิบายมาบอก ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องใต้นั้น ภาษาก็อับจนหนทาง