ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่)

โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน


 โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน

ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ

โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า

' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)

อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (..ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง

หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร...

ขอขอบพระคุณคุณบทความดีๆจากพระอาจารย์สมปอง

ที่ผู้เขียนบล๊อค อยากนำมาเสนอและแบ่งปันให้ทุกๆคนได้อ่านกัน....

ความเห็น

Submitted by พี่ซัง on

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเรื่องราวดีดี แม้จะยังทำตามไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้ได้คิด คิด คิด อีกไม่นานน่าจะทำตามได้ :-)

Submitted by ควายแดง on

หนูซังไหว้พระด้วยหรือ

Submitted by ฉันท์พิชา on

ชมอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วมีความสุขดีค่ะ

Submitted by ปติ ตันขุนทด on

***ที่อ่านมาทั้งหมด คำตอบบอกไว้ชัดในบทสวด ธรรมจักร ที่บอกว่า ภวตัณหา เป็นทุกข์
วิภวตัณหาเป็นทุกข์ กามตัณหาเป็นทุกข์ การทำงานในหน่วยงาน ผู้บังคับบัญชาก็มีความอยาก ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีความอยาก อยากในประโยชน์ตน อยากในประโยชน์ของราชการหรือบริษัทฯ เมื่อความอยากขัดกันจึงออกมาเป็นกลอนข้างบน สังคมไทยเป็นสังคมพูทธศาสนา คิดอย่างพุทธเป็นรากเหง้า ถือระบบอาวุโสแบบพระ ซึ่งพระพุทธเจ้าวางหลักการปกครองไว้ คนทำงานเพื่องาน ไม่คิดเรื่องลาภยศสรรเสริญสุขอื่น ก็มีสุขในการทำงาน แต่ถ้าทำงานเพื่อลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อตนเจือประโยชน์อื่นด้วยก็เดือดร้อนใจตัวเอง อ่านธรรมจักร ฉบับสวดมนต์แปลให้ซึ้งๆ ก็จะเข้าใจและผ่อนเบากิเลสตัณหาของตนเองได้ และจะทำงานอย่างอิสระ มีความสุขกับงาน เรื่องสองขั้น สองชั้น มันได้อยู่ที่ใจ แม้ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ แต่เราก็ให้กับตัวเอง และพบกับความสุขที่สมบูรณ์แล้ว

Submitted by โชเนน on

ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับผม

Submitted by บุหงา ปัตถาพันธ์ on

ตั้งแต่เคยเหงา เคยเศร้า ก็ไม่เหงาไม่ดศร้า
แรงดึงดูดใจก็คือธรรมะเดลิเวอรี่
ความเป็นทุกข์ทั้งหลายก็เลยคลายลง

มีคำถามเหมือนกันคะ

ถ้าให้ของแก่คนขอทานจะบาปมั้ย ?
แล้วถ้าไม่ให้ล่ะคะจะบาปมั้ย ?

ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่)

โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน


 โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน

ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ

โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า

' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)

อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (..ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง

หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร...

ขอขอบพระคุณคุณบทความดีๆจากพระอาจารย์สมปอง

ที่ผู้เขียนบล๊อค อยากนำมาเสนอและแบ่งปันให้ทุกๆคนได้อ่านกัน....

การดูแลหัวใจคนอื่น....

"ข้าวที่เต็มรวง จะโน้มลงพื้นดิน...
เป็นรวงข้าวที่สมบูรณ์ เป็นที่ต้องการ...
แต่ถ้าข้าวรวงไหนมีเมล็ดลีบมากๆ...
มันจะตั้งตรง... ไม่มีใครอยากเกี่ยวให้
เปลืองแรงหรอก คนเราก็เช่นกัน"

คนเราทุกคนมีค่าเท่ากัน....
การถ่อมตนอย่างถูกกาลเทศะ
จะสร้างความรู้สึกดีให้กับคนอื่น...
แปลว่าคนคนนั้นเติมเต็ม...
เหมือนข้าวที่เต็มรวง จะยิ่งโน้มลงดิน
เป็นรวงข้าวที่มีค่า...

คนที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ทับถมใคร...
จะดูน่ารักในสายตาคนอื่น...
คุยด้วยก็รู้สึกดี...

คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งต้องมองต่ำ...
ส่วนคนที่อยู่ต่ำกว่า ต้องมองสูง...
และทั้งคู่จะมองเห็นความสวยงามของกันและกัน...
อย่างไม่ยาก...

ถ้ามัวแต่ดูถูกคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี...
แล้วเมื่อไหร่จะเห็นความสวยงามของโลก...

จาก: หนังสือกล้าที่จะก้าว...

 

โอกาสของคนไปสาย....ที่ดิโอลด์ไรซ์มิลด์...

อยากเอ่ยคำขอบคุณให้กับพี่ๆเพือนๆและทีมงานทุกๆคนที่อยู่ด้วยกันใน 4 วัน... ที่ยอมให้ผมไปสายทั้ง 4 วันเลย ห่ะๆ

ผมได้รับแจ้งให้ไปร่วมประชุมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะหลบเข้ามุมคิดในใจ " เฮยจะไปดีป่าวว่ะ "  แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดในใจคนเดียว เพราะในทางปฏิบัติคือ " ต้องไป "    และตัดสินใจเดินทางไปด้วยความโล่งของสมองที่ไม่รู้เลยว่าต้องไปทำอะไรมั่ง รู้แต่ว่าไปแคมป์อบรมเขียนข่าว!!  ซึ่งวันแรกก็ไปสายซะแล้วววว!!

ไปถึงวันแรกวันศุกร์ก็สายซะแล้ว ยังงงๆว่ามาทำอะไร เจอคนมากหน้าหลายตาไปหมด มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ด้วยความไปช้าเลยได้นั่งหน้าสุด ก่อนจะแยกย้ายไปตามกลุ่มสีที่ตัวเองโชคดี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก่อนจะเริ่มเขียนข่าว 1 กัน.... และวันแรกก็จบลงด้วยสภาพที่มันก็ยังงงๆมึนๆ แถมยังไม่รู้จักใครใหม่ๆซักคน...

วันที่สองวันเสาร์..ไปสายเหมือนเดิม  แต่วันนี้พกความมั่นใจไปเต็มกระเป๋า พร้อมลุยแหลกเริ่มคุยกับคนโน้นคนนี้  (เหมือนจะเยอะแต่นับคนได้ ห่ะๆ) วิทยากรก็ดี กันเอง สนุกสนาน สอนเขียนข่าว 2 ทำบล๊อกกับทวิตเต้อแบบง่ายๆแต่เข้าใจ นั่งทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆก็หมดไปอีกวัน จนจบวันที่สองด้วยความงงอีกแล้วว่า ทำไมเลิกไวจัง... ห่ะๆ

วันที่สามวันอาทิตย์...ก็สายอีกตามเคย...เป็นวันที่อุตลุดจุดนัดฝันกันจริงๆ แถมยังกางเกงเกือบหลุดเพราะคาดไม่ถึงว่าทีมวิทยากรจะทำได้เนียนขนาดนี้ ทุกคนดูสับสนวุ่นวาย จนไม่มีเวลาที่จะหาเรื่องคุยกับคนที่อยากคุย แต่ก็เป็นความวุ่นวายที่มีแต่รอยยิ้มแย้มมมม...  จนรอยยิ้มค่อยๆจางหายไปเมื่อต้องมาทำคลิปข่าวกันจริงๆแล่ะ มันไม่ง่ายเลยแฮะ พอเวลายิ่งจำกัดอุปสรรคก็ยิ่งมาก แต่ด้วยความใจดี๊ใจดีของทีมวิทยากรที่มากความสามารถ ก็ทำให้แต่ละทีมทำคลิปด้วยตัวเองสำเร็จจนได้ด้วยเวลาที่จำกัด...  ผมไม่รู้ว่าใครจะคิดยังไง แต่ผมคิดว่าคลิปข่าวทีมผมนั่นเจ่งสุด 5555 เพราะจบแบบหักมุมไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ห่ะๆ และหลังจากมะรุมมะตุ้มทำข่าวกันมาทั้งวัน ก็จบวันที่สามด้วยความอ่อนเพลีย...อยากนอนนนนนน 

วันที่สี่วันจันทร์...วันสุดท้ายของการอบรม..และแน่นอนผมไปสายอีกเหมือนเดิม แหะๆ วันนี้มาแบบสบายๆ บรรยากาศเหมือนวันสุดท้ายของค่ายลูกเสือตอนเด็กๆ... คือ เริ่มเหงา คิดถึงพี่ๆเพื่อนๆร่วมชั้น อยากอยู่กันแบบนี้อีก ยังไม่อยากกลับไปเจอกับชีวิตจริงที่แสนวุ่นวาย อยากอยู่ในโลกคู่ขนานแบบนี้ไปอีกนานๆ แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึก....  มีงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา น้ำตาแอบตกในว่าถึงเวลาต้องแยกกันแล้ว เพลงที่ฟังตอนเด็กๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ..." โอ้เพื่อนเอ่ยเคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลาต้องพาให้เราจากกัน ไม่นานหรอกหนาเราคงได้มาพบกัน....ไม่มีสิ่งใดขวางกันเพราะเรามั่นในสัญญา "....   ทุกอย่างจบลงหลังจากทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใน 3 วันที่ผ่านมา รับประกาศนียบัตรและถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ถือเป็นการจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งของรุ่นที่สาม ที่ไม่ใช่รุ่นที่หนึ่งและสอง ห่ะๆๆๆๆๆ

บทสรุป... ตลอด 4 วัน ที่ผมไปๆกลับๆระหว่างบ้านพักและดิโอลด์ไรซ์มิลด์ ผมได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้สัมผัสความจริงใจ  ได้รู้สึกถึงความรักและผูกพันของทุกๆคน  และได้อะไรอีกเยอะแยะมากมายยยยยยยที่หาไม่ได้ในห้องเรียนวิชาอื่น .....สุดท้ายผมได้อะไรดีๆติดตัวกลับมาเยอะมากๆ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งพีและเพื่อนใหม่ๆ ได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ มีคนที่อยากเข้าไปคุยและคนที่ต้องเข้าไปคุยให้ได้ และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งที่ก่อนไปผมไม่มีอะไรเลย มีแต่ความบ้าบอไร้สาระของตัวเองเพียวๆ.....  สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงพลังให้ผมก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งความหวังของวันข้างหน้าต่อๆไป

ผมขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทีมประชาไทที่สุดยอดดดดดด และขอขอบคุณเพื่อนใหม่ร่วมชั้นทุกๆคนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่ได้คุยและไม่ได้คุย จริงๆแล้วผมอยากคุยกับทุกคนให้มากกว่านี้  อยากบอกว่าพวกเราเจ๋งจริง ทุกคนทำได้สุดยอด ทุกคนเก่งมากๆ

ขอบคุณครับ..ที่ให้โอกาสคนไปสายคนอย่างผม แหะๆ

                                                                                                                             โชเนน หนุ่ม มพบ.

หมายเหตุ... บทความนี้ขอสงวนชื่อบุคคลที่รู้ตัวว่าถูกพาดพิงทั้งหมด... เพราะเยอะจนจำไม่ได้ แหะๆ

ตถตา : เป็นเช่นนั้นเอง

ท่านปัญญานันทภิกขุ.....เป็นเช่นนั้นเอง                                

ชาวพุทธเราควรจะอยู่ด้วยความไม่เป็นทุกข์ในอะไรๆที่เกิดขึ้น ให้ทำใจให้เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเราเราก็จะไม่เป็นทุกข์ในเรื่องนั้น เราจะใช่สติปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาแล้วรู้จะปลง รู้จักวางในสิ่งนั้นๆ ไม่เข้าไปยึดถือ ด้วยความโง่ ความเขลา

เพราะถ้าเราเข้าไปยึดไปถือด้วยความโง่ความเขลา เราก็เป็นทุกข์ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อยที่นั่งเป็นทุกข์แต่เป็นการลงโทษตัวเอง ลงโทษสุขภาพจิต สุขภาพกาย ทำให้จิตเสื่อม ทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่เร็ว แล้วก็ตายเร็วด้วย เพราะว่ามีความทุกข์มาก มีความกลุ้มใจมาก ตัดทอนสุขภาพทั้งกายทั้งใจ ไม่เป็นเรื่องดีแม้แต่น้อย

ความทุกข์เป็นเหมือนนำร้อน เราคิดให้มันเป็นทุกข์ก็เหมือนเอานำร้อนมารดตัว ตั้งแต่หัวถึงตีน ถลอกปอกเปิกเป็นคนดำๆด่างๆไป มันจะได้เรื่องอะไร เราไม่ควรจะคิดเช่นนั้น

เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้พยายามคิดว่า "ดีแล้ว" "พอแล้ว" หรือ "เท่านี้ก็ถนไปแล้ว" อย่างนี้ใจก็สบายเช่น คนทำมาค้าขาย เป็นนักธุรกิจต่างๆ อยู่ตลอดเวลา บางคราวมันก็ได้กำไร บางคราวมันก็ขาดทุน บางคราวก็พอเสมอตัว ถ้าหากว่าจิตใจของเราตื่นเต้นกับสิ่งเท่านั้น พอได้ก็ดีใจ เกิดใจฟูขึ้น พอไม่ได้ก็แฟบลงไป

ขึ้นแล้วก็ลง ขึ้นแล้วก็ลงอยู่อย่างนี้ เหมือนกับวานรมันเต้นอยู่ในกรงของมัน ดิ้นรนอยู่ แต่ออกไม่ได้ มันเป็นสุขที่ตรงไหนในการที่จิตของเราเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นความสุขอะไรเลย

เราจึงควรทำความพอใจในสิ่งทีมันเกิดขึ้น นึกว่า " ธรรมดา...มันเป็นเช่นนั้นเอง " คำนี้สำคัญมาก เรียกว่าเป็นคาถาวิเศษสำหรับเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือคำว่า "ตถาตา" แปลว่า " มันเป็นเช่นนั้นเอง " อะไรๆมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ จะไปฝืนมันก็ไม่ได้ มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เราจึงควรจะคิดว่า "เออ! ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น"

เรานึกอย่างนี้ก็พอปลง พอวาง สภาพจิตก็พอจะรู้เท่ารู้ทันในสิ่งนั้นๆ ความทุกข์ก็จะเบาไป คือไม่หนักอึ้ง เพราะรู้จักวาง รู้จักพักผ่อน ทางใจ ใจก็สบาย........