โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน
ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ
อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า
' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)
อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)
ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ
เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น
อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า
งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
เจริญพร...
ขอขอบพระคุณคุณบทความดีๆจากพระอาจารย์สมปอง
ที่ผู้เขียนบล๊อค อยากนำมาเสนอและแบ่งปันให้ทุกๆคนได้อ่านกัน....
ความเห็น
ขอบคุณมา
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเรื่องราวดีดี แม้จะยังทำตามไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้ได้คิด คิด คิด อีกไม่นานน่าจะทำตามได้ :-)
หนูซังไห
หนูซังไหว้พระด้วยหรือ
ชมอ่านหน
ชมอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วมีความสุขดีค่ะ
***ที่อ่าน
***ที่อ่านมาทั้งหมด คำตอบบอกไว้ชัดในบทสวด ธรรมจักร ที่บอกว่า ภวตัณหา เป็นทุกข์
วิภวตัณหาเป็นทุกข์ กามตัณหาเป็นทุกข์ การทำงานในหน่วยงาน ผู้บังคับบัญชาก็มีความอยาก ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีความอยาก อยากในประโยชน์ตน อยากในประโยชน์ของราชการหรือบริษัทฯ เมื่อความอยากขัดกันจึงออกมาเป็นกลอนข้างบน สังคมไทยเป็นสังคมพูทธศาสนา คิดอย่างพุทธเป็นรากเหง้า ถือระบบอาวุโสแบบพระ ซึ่งพระพุทธเจ้าวางหลักการปกครองไว้ คนทำงานเพื่องาน ไม่คิดเรื่องลาภยศสรรเสริญสุขอื่น ก็มีสุขในการทำงาน แต่ถ้าทำงานเพื่อลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อตนเจือประโยชน์อื่นด้วยก็เดือดร้อนใจตัวเอง อ่านธรรมจักร ฉบับสวดมนต์แปลให้ซึ้งๆ ก็จะเข้าใจและผ่อนเบากิเลสตัณหาของตนเองได้ และจะทำงานอย่างอิสระ มีความสุขกับงาน เรื่องสองขั้น สองชั้น มันได้อยู่ที่ใจ แม้ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ แต่เราก็ให้กับตัวเอง และพบกับความสุขที่สมบูรณ์แล้ว
ขอบคุณสำ
ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับผม
ตั้งแต่เ
ตั้งแต่เคยเหงา เคยเศร้า ก็ไม่เหงาไม่ดศร้า
แรงดึงดูดใจก็คือธรรมะเดลิเวอรี่
ความเป็นทุกข์ทั้งหลายก็เลยคลายลง
มีคำถามเหมือนกันคะ
ถ้าให้ของแก่คนขอทานจะบาปมั้ย ?
แล้วถ้าไม่ให้ล่ะคะจะบาปมั้ย ?