รื่นเริงเถิดจงรื่นเริงเถิดชีวิตนี้เกิดมาสั้นนักหนา
รื่นเริงเถิดมิตรอย่ามัวรอช้า
ก่อนเวลารื่นเริงจะหมดสิ้นไป
ก่อนชีวิตจะสูญเสียทุกสิ่ง
นี่คือความจริงจงจำเองไว้
ที่สุดชีวิตก็ต้องลับลาไกล
ไม่มีใครเป็นอมตะในโลก
รื่นเริงเถิดจงรื่นเริงเถิด
ก่อนจะเกิดความทุกข์เศร้าโศก
ก่อนจะถึงนาทีวิปโยค
มาโบกมือเพรียกเรียกหาชีวิต
ถ้าหากเกิดมาไม่อาจหาความสุข
มีแต่ความทุกข์เป็นเพื่อนสนิท
จะอยู่ไปไยให้เปลืองความคิด
รื่นเริงเถิดมิตรอย่ามัวรอช้า
รื่นเริงเถิดจงรื่นเริงเถิด
ชีวิตนี้เกิดมาสั้นนักหนา
มัวทุกข์ทรมานอยู่ในธารน้ำตา
ประเดี๋ยวเวลาจะหมดสิ้นเสียก่อน
หมายเหตุ ; ต้นๆเดือนกุมภาพันธ์ อาจารย์สุธาทิพย์ โมราลาย อาจารย์สอนพิเศษเกี่ยวกับการเขียนและวรรณกรรมมหาวิทยาลัยหอการค้า คอลัมนิสต์เกี่ยวกับวรรณกรรมนิตยสารกุลสตรีรายปักษ์ และนักเขียนนวนิยายนามปากกา ชามา ที่กำลังตีพิมพ์นวนิยายต่างแดนที่น่าสนใจเรื่อง อ้อมกอดมังกร อยู่ในนิตยสารเล่มเดียวกัน ได้ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่ แล้วแวะมาเยี่ยม แพร จารุ ที่กระท่อมทุ่งเสี้ยว และสัมภาษณ์ผมในฐานะคนเขียนบทกวี เรื่องสั้น และคน ( เคย ) เล่นดนตรี
มีคำถามเกี่ยวกับบทกวีคำถามหนึ่งของอาจารย์สุธาทิพย์ถามผมว่า ผมชอบกวีบทไหนของตัวเองมากที่สุด ผมหยิบหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งมาเปิดๆ แล้วชี้ให้อาจารย์ดูบอกว่าชอบบทนี้ อาจารย์รับไปอ่านแล้ว สักครู่หนึ่ง จึงบอกผมว่าอาจารย์ก็ชอบ ผมจึงขอนำบทกวีที่มีคนชอบถึงสองคนมาลง เผื่อจะมีคนชอบเพิ่มขึ้นอีกสักคนสองคน ผมเขียนบทกวีชิ้นนี้ไว้เตือนสติตัวเองเวลามีความทุกข์มากๆ แล้วไม่รู้จักปล่อยจักวาง ชอบกอดความทุกข์บ้าๆ บางอย่างเอาไว้ทำร้ายตัวเอง เท่านั้นเอง
และขออนุญาตนำภาพใบหน้าสวยเศร้าลึกๆ ของอาจารย์ที่ แพร จารุ เป็นผู้ถ่าย มาประดับเป็นความงาม แด่ บทกวีบทนี้ด้วยนะครับ ส่วนบทสัมภาษณ์ผม ที่อาจารย์เพิ่งโทร.มาบอกว่าลงสองตอน น่าจะเริ่มลงกุลสตรีปักษ์แรกมีนาคมนี้แหละครับ สวัสดีฤดูร้อน.
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่