Skip to main content

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJ

 

กลางเดือนพฤษภาคม 2535 ผมอยู่ ป.6 ได้ยินข่าวการชุมนุมใหญ่ ทหารลากรถถังและปืนออกมาวิ่งเล่นบนถนน มีการปะทะ ประหัตประหาร ...กลางบางกอก ไม่อายหรอกครับที่จะบอก เด็กต่างจังหวัด แถมวัยแค่นั้น ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าจะรู้สึกรู้สากับเรื่องราวซับซ้อนของการเมืองและการสูญเสีย

หลังจากนั้น พลเอกสุจินดา คราประยูร จำใจปีนลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และคุณอานันท์ ปัณยารชุน ผู้ดีรัตนโกสินทร์ก็หวนคืนตำแหน่งนายกฯ อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 อย่างไร้เสียงคัดค้านจากสังคมในเวลานั้น หรือถ้ามีก็น่าจะเบาหวิวมาก ทั้งที่เหตุผลการขับไล่พลเอกสุจินดา เป็นเพราะพลเอกสุจินดาไม่ใช่นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คุณอานันท์ก็ไม่ได้มาจากเลือกตั้งเช่นกัน (ผมมารู้ภายหลัง หลังจากพออ่านหนังสือเป็นบ้างแล้ว ไม่ใช่ตอนอยู่ ป.6)

ตอนผมวัยรุ่นต้นๆ กำลังแตกเนื้อ การเมืองเป็นเพียงเรื่องของตัวละครไม่กี่ตัวที่ชื่อเสียงเรียงนามแว่วผ่านสื่อมาให้ได้ยลยิน พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ คุณบรรหาร ศิลปอาชา พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ คุณสมัคร สุนทรเวช คุณชวน หลีกภัย คุณสมบุญ ระหงษ์ คุณณรงค์ วงศ์วรรณ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ฯลฯ ถึงตอนนี้ บางคนเก็บตัวอยู่หลังฉากเงียบๆ บางคนจากไปชั่วกาล บางคนยังโลดแล่นบนเวทีการเมืองชนิดเหยียบหิมะไร้รอย

กับอีกเรื่องที่จำได้-รัฐบาลยุคนั้นกว่าจะทำอะไรสักอย่าง ต้องคุยแล้วคุยเล่าเฝ้าแต่คุยกับพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากไม่เคยมีพรรคไหนได้เสียงข้างมากในสภาสักครา ถ้าตกลงกันไม่ได้ อย่าหวังจะได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเป็นต้องโดนขู่ว่าจะออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลร่ำไป

และดังที่ทุกคนรับทราบ รัฐธรรมนูญปี 2540 แก้ปัญหาข้างต้นด้วยการสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง ผลลัพธ์ที่ได้คือรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างประวัติศาสตร์หลายข้อบนหลักจารึกการเมืองไทย เป็นรัฐบาลที่แข็งแรงชนิดไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร แม้แต่องค์กรอิสระที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อคอยถ่วงดุลและตรวจสอบ

แม้ไม่ใช่นักข่าวสายรายวันที่ต้องวิ่งไล่ข่าวตามกระทรวง แต่สถานการณ์การเมืองปลายปี 2548 และ 2549 นักข่าวสายโรแมนติกอย่างผมก็ยังต้องไปพักค้างอ้างแรมในม็อบ เพื่อหยิบจับประเด็นมาบอกเล่า กระทั่งรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามด้วยรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เลี้ยวกลับอีกครั้งด้วยความพยายามลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารลง และติดอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่องค์การอิสระแบบล้นเหลือเฟือฟาย

เส้นทางอันคดเคี้ยวของการเมืองไทยเดินมาถึงปัจจุบัน ฟากหนึ่งไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งหากยังไม่ได้ปฏิรูป ซึ่งเป็นหนทางที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะลุกลามเป็นไฟฟอนและยากที่สังคมจะยอมรับได้ อีกฝั่งฟากต้องการการเลือกตั้งและรัฐบาลที่ตนรัก โดยที่ผ่านมายอมหลับตาข้างหนึ่งให้รัฐบาลกระทำการหลายสิ่งอันก่อความเสียหายและขัดกับรากฐานความเชื่อเรื่องประชาธิปไตย

ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาออกมาติดๆ กันหลายกรณี นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ และมวลชนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย เริ่มส่งเสียงกระหึ่มว่าจะต้องลดอำนาจองค์การอิสระลงมิให้ล้ำเส้นอาณาเขตฝ่ายบริหาร

เชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าคอการเมืองระดับฮาร์ดคอร์รู้ดี รู้ลึกอยู่แล้ว ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเพียงเรื่องผิวๆ ที่คนไม่สนใจการเมืองเช่นผมเหิมเกริมเกินตัวแสดงภูมิออกมา

ถึงกระนั้น 22 ปีที่ผ่านพ้นนับจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เมื่อวัยเยาว์ ผมจับอาการบางอย่างได้ (ซึ่งอาจผิด) เป็นอาการเหวี่ยงไหวไปตามแรงกระทำทางการเมืองที่ผูกโยงกับสภาวะอารมณ์ นั่นก็คือ ถ้าทำแบบนี้แล้วผลลัพธ์ไม่ใช่อย่างที่คิดก็เปลี่ยนมันซะ แล้วกลับไปเป็นอีกแบบที่เกือบๆ จะตรงข้าม ครั้งนี้อาจไม่ต่างกัน ฝ่ายหนึ่ง หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเลือกตั้ง เพราะมองว่าเลือกตั้งไม่ดี อีกบางฝ่ายอยากจะลดอำนาจองค์การอิสระหรือถ้ายุบได้ก็ดี ฯลฯ

(อันที่จริง ผมเองก็รู้สึกกังขาไม่น้อยกับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงหลังๆ และเห็นพ้องไปในทางที่ว่าต้องเขย่าให้เข้าที่เสียบ้าง)

ทว่า ในสังคมเหวี่ยงไหวเช่นสังคมไทย ซ้ำอยู่ในสภาวะเดือดพล่าน แบ่งฝักฝ่าย ผลักอกทุกคนที่คิดต่างเช่นนี้ ข้อเสนอต่างๆ ที่ฟังดูดีบ้าง ดูไม่ดีบ้าง มักถูกฉวยใช้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู อะไรที่เห็นว่าไม่ดี ณ ช่วงเวลานั้นๆ ก็รื้อมันออกเสีย ไม่ต้องเก็บไว้ให้รกหูรกตา

ผมคิดของผมเองว่า เราไม่เคยอดทนให้เวลาแก่สิ่งต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นนานพอจะได้เห็นผลลัพธ์การทำงานของมัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง องค์การอิสระ หรือรัฐบาลที่เข้มแข็ง

เราเหวี่ยงไหวไปตามอารมณ์และการเอาชนะคะคาน มองเห็นแต่ความอัปลักษณ์ของฟันเฟืองที่เราสร้างขึ้น เพิกเฉยต่อความจำเป็นของฟันเฟืองนั้น ไม่ถูกใจก็ทำลายมันเสียทั้งหมด แทนที่จะซ่อมแซมปรับปรุง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน คนไม่สนใจการเมืองเช่นผมกลัวว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะและหลงผิดว่าผู้ชนะทำอะไรก็ได้-ลองไม่เลือกตั้งดูสิครับแล้วจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่บอกว่าต้องลดอำนาจองค์กรอิสระ แต่หากอารมณ์ฮึกเหิมของผู้ชนะเกิดริบอาวุธเสียหมด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น และอีกหลายๆ เรื่อง-ถึงตอนนั้น นั่งร้านบางส่วนที่คอยค้ำยันระบบและสังคมอาจถูกรื้อถอน

ในอนาคตเราจะได้เสียเวลากลับมาสร้างมันใหม่...

บล็อกของ กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ขณะที่เขียนอยู่นี้ #ประเทศกูมี มียอดวิวเกือบ 7 ล้านแล้ว ผมนี่ฟังหลายรอบมาก พร้อมโยกเยกไปตามจังหวะและซึมซับเนื้อหาเข้าไปในหัวใจ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ตั้งแต่วัยรุ่นที่พอจะรับรู้ความเป็นไปของสังคมบ้าง ผมพบเจอ ‘วิธีคิด’ ในการใช้ชีวิตประมาณห้าหกชนิด ตั้งแต่สโลว์ไลฟ์ สโลว์ฟู้ด การกลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวนา มินิมัลลิสม์ ฮุกกะ และล่าสุดที่ออกมาไล่เรี่ยกันคือลุกกะและอิคิไก แล้วยังมีการเผยแพร่ลัทธิความฝันแบบเข้มข้นของสื่อมวลชน สินค้า บริการ จนถึงโค้ช นัก
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล 
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล วันนี้มีเหตุให้ไปร่วมวงแลกเปลี่ยน ถกเถียง ประเด็นการไม่นับถือศาสนา มีหลายบทสนทนาที่น่าสนใจเลยคิดว่าน่าจะนำมาแบ่งปันและถกเถียงกันต่อ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุลในหนังสือ 'SUM 40 เรื่องเล่าหลังความตาย' ของ David Eagleman มีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงสรวงสวรรค์ที่ดวงวิญญาณของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยังคงว่ายเวียนอยู่บนสรวงสวรรค์แห่งนั้น
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล รับงานเลี้ยงชีพชิ้นเล็กๆ มาชิ้นหนึ่ง เนื้องานคือการสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตบุคคล นำมาร้อยเรียงบอกกล่าวสู่คนอ่าน ปรากฏว่าบทสนทนาที่ดำเนินไป ชักพาให้เกิดความคิดคำนึงอันหลากหลาย ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองและหัวใจ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ‘วัยหนุ่ม ข้าต้องการมีเพื่อนมากมายวัยกลางคน ข้าต้องการมีเพื่อนที่ดีวัยชรา ข้าเพียงต้องการเป็นเพื่อนที่ดีของใครสักคน’
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล"ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่ผมจะปกป้องสิทธิในการพูดของคุณด้วยชีวิต" วอลแตร์“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” อัลเบิร์ต ไอสไตน์
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJเป็นอีกครั้งที่วัดธรรมกายออกมาธุดงค์กลางนคร แล้วก็ถูกสวดยับไปตามระเบียบ ซึ่งคงห้ามปรามกันไม่ได้
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุลพนักงานบริการหญิงหรือ Sex Worker นางหนึ่งเดินจับจ่ายซื้อหากับชาวต่างประเทศ เธอพูดกับลูกค้าของเธอว่าI shop. You pay.
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJมนุษย์ล้วนตั้งจุดหมายปลายทางของตนเองและพยายามฟันฝ่าไปให้ถึง โดยส่วนใหญ่ล้มลุกคลุกคลาน บ้างล้มแรงเสียจนไร้แรงยืนอีกครั้ง เป็นสัดส่วนน้อยกว่ามากที่ถึงจุดหมายปลายทาง นี่คงเป็นเหตุผลทำให้ ‘ความฝัน’ เป็นสิ่งสูงค่าในสายตามนุษย์ยุคปัจจุบัน
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJ