Skip to main content
หัวไม้ story
ทีมข่าวการเมือง พันธมิตรฯ เดินสองแนวทางทั้งการขยายพรรคการเมืองใหม่ และพื้นที่การเมืองภาคประชาชน โดยในภาพนายสมศักดิ์ โกศัยสุข รองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแกนนำ พธม.เชียงราย ร่วมพิธีตัดริบบิ้นเปิดสำนักงานพรรคเชียงราย ย่านบ้านดู่ ใกล้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อ 20 ธ.ค. 52 (ที่มา: “ก.ม.ม.” ปักธงเปิดสาขาเชียงรายสำเร็จ - หางแดงรวมตัวได้แค่ 3 ป่วนไม่ขึ้น, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 21 ธ.ค. 2552)
หัวไม้ story
ทีมข่าวการเมือง     คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 1) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)   คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 2) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)   คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 3) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)   คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 4) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)    
หัวไม้ story
[ ทีมข่าวการเมือง ]   ทุกๆ เช้าของวันจันทร์-ศุกร์ ถ้าไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ ภารกิจของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือเตรียมเดินทางมายังสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งเอเชีย (Asia Satellite Television) หรือ เอเอสทีวี ถ.พระอาทิตย์ เพื่อดำเนินรายการ “Good Morning Thailand” รายการเล่าข่าวและวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งเขาจัดเป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 6.00-7.00 น. แต่วันนี้ 17 เมษายน เขาไม่ได้จัดรายการ “Good Morning Thailand” เหมือนเคย เพราะถูกลอบยิงเมื่อเวลาราว 5.40 น. ก่อนที่รถของเขาจะมาถึงสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี   000   ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์
หัวไม้ story
[ทีมข่าวการเมือง]"พี่สนธิก็เคยคุยกับผมเป็นการส่วนตัวว่าคิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยซ้ำ มีโปลิตบูโร หรือคณะกรรมการนโยบายของพรรคที่อาจจะไม่ได้มามีตำแหน่งบริหาร ไม่ได้มามีตำแหน่งทางการเมือง แต่ว่าคุมยุทธศาสตร์ คุมทิศทางพรรค ซึ่งอันนี้น่าสนใจ และคงต้องดูว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เรายังมีเวลาศึกษาพรรคการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อเปรียบเทียบกัน และต้องดูบริบทสังคมไทยด้วย แบบไหนมันเข้ากับสังคมไทย"สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552  000 แกนนำพันธมิตรฯ บน “เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4” ของพันธมิตรฯ ที่เกาะสมุย เมื่อ 4 มีนาคม 2552 ข้อเสนอให้ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ยกระดับสู่ “พรรคการเมือง” ถูกประกาศอย่างเป็นทางการครั้งแรกผ่าน 5 แกนนำพันธมิตรฯ นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ในการจัดงาน “เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4” ของพันธมิตรฯ ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี [1] อันที่จริงเมื่อ 18 สิงหาคม 2550 สมัยรัฐบาล คมช. สนธิเคยกล่าวถึงพรรค “ยามเฝ้าแผ่นดิน” อย่างเป็นนัย ระหว่างรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจร ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ถัดมาอีก 2 วัน ในวันที่ 20 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ระหว่างการจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจร ณ ห้อง Lake Anne B โรงแรม Hyatt Reston มลรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสมาคม Thai-DC Forum และมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นายสนธิ ได้ปฏิเสธว่าไม่มีความคิดที่จะตั้งพรรคการเมือง ณ ขณะนี้ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา โดยเขาระบุว่า ในวันนั้นอาจจะพูดไม่ชัด โดยสาเหตุที่กล่าวถึงการตั้งพรรคยามเฝ้าแผ่นดินในวันนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายแต่เพียงต้องการให้กำลังใจกับบรรดาผู้ค้าปลีก-โชว์ห่วย ในการต่อสู้กับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเท่านั้น โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้ค้าปลีก และชนชั้นกลางนั้นหากมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ก็จะก่อให้เกิดพลังได้มาก จนถึงขนาดที่ว่า หากเข้าสู่การเมืองในระบบ ก็มีสิทธิ์ที่จะชนะการเลือกตั้งได้เลยทีเดียว [2] กระทั่งหลังการชุมนุม 193 วันในปี 2551 มีการแย้มเรื่องการตั้งพรรคโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เมื่อ 27 ธันวาคม 2551 ในงานฉลองปีใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี และล่าสุดคือการเสนอตั้งพรรคการเมืองก็เกิดขึ้นชัดเจนในเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4 ที่เกาะสมุย เมื่อ 4 มีนาคม 2552 นั่นเอง   เมื่อ ‘พันธมิตรฯ’ ทวง ‘ประชาธิปัตย์’ การแย้มแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองในการเวทีสัญจรที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นการส่งสัญญาณสำคัญถึง จ.สุราษฎร์ธานี ถิ่น สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความหมั่นคง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถมสุราษฎร์ธานีเองก็เป็นฐานคะแนนสำคัญของ ‘ประชาธิปัตย์’ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ส่งเสียงตรงๆ ไปถึงใคร ในวันนั้น สนธิกล่าวถึงเงื่อนไขของการตั้งพรรคว่า “คำตอบว่าพรรคจะเกิดขึ้นไหม เกิดไม่เกิดขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์จะมองพันธมิตรฯ ว่าเป็นเพื่อน หรือเป็นเสนียด ถ้ามองว่าเราเป็นศัตรู บอกว่าไม่เอาทั้งเหลืองทั้งแดง ดำเนินคดีหมด โดยไม่ดูเนื้อหาว่าพวกเราโดนกลั่นแกล้งขนาดไหน ถ้าอย่างนี้ ผมขอให้สัจจะว่ายังไงก็ตามพรรคนี้จะลงภาคใต้ทุกจังหวัด จะชนกันตัวต่อตัว” [3] นี่จึงเป็นการเตือนจากสนธิ ให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งรับส้มหล่นขึ้นเป็นรัฐบาลได้ไม่เกิน 3 เดือนดี ปรับท่าทีที่ปฏิบัติต่อพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการดำเนินคดี สนธิลั่นเปรี้ยงแบบนี้ แปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากประกาศิตไปยังรัฐบาลให้ปฏิบัติกับ “ขบวนการเสื้อสีเหลือง” ให้ต่างจากการปฏิบัติกับ “ขบวนการเสื้อสีแดง” เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดคำพูดของสนธิดังกล่าว ย้อนกลับไปเมื่อ 3 มีนาคม 2552 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทีเกี่ยวกับคดีของสนธิและพันธมิตรฯ ที่ปล่อยให้ข้าราชการประจำในทำเนียบฯ ดำเนินคดีตามที่เคยฟ้องร้องในสมัยรัฐบาลชุดก่อน โดยไม่มีการทบทวน โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “มันฟ้องร้องไปแล้วจะไปทำอะไร” ส่วน สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคดีทางแพ่ง ที่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ถอนฟ้อง เพราะพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบแล้ว แต่ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ยังคงยืนยันดำเนินคดีฟ้องร้องกรณีทรัพย์สินสูญหายต่อไป โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เข้าไปแทรกแซงกดดันให้ฝ่ายข้าราชการประจำถอนฟ้อง ทุกอย่างว่ากันตรงไปตรงมา กระบวนการยุติธรรมต้องสอบสวนหาความจริงกันต่อไป รัฐบาลไปแทรกแซงไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากนี้คำพูดของสนธิ ยังคำพูดที่เกิดหลังจากที่ ข้อเรียกร้องจากพันธมิตรฯ ที่เสนอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนคดีปิดล้อมรัฐสภา 7 ต.ค. 51 ถูกสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีบอกปัดไปว่า “ทุกอย่างก็ต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์กติกา ถ้าเขาร้องมาชอบด้วยเหตุผลก็ปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่ชอบด้วยเหตุผลก็ไม่ปฏิบัติ” [4]   สุริยะใส กตะศิลา: มีความเป็นไปได้สูงในการตั้งพรรค หลังการประกาศของสนธิและแกนนำ ก็มี ‘คำการขานรับ’ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จากทั้งองค์กรในพันธมิตรฯ เอง [5] โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์การเมืองใหม่ เพราะหากพิจารณาจากพรรคการเมืองในปัจจุบัน ไม่มีศักยภาพพอที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปการเมืองได้ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้ติดอยู่ในวงจรเดิม ขณะที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ กว่า 190 วัน ได้สร้างคุณูปการมากกว่าพรรคการเมืองหลายพรรคเสียอีก บวกกับเสียงเรียกร้องจากมวลชน ทำให้แกนนำหลายคนเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ นายสุริยะใสยังยอมรับว่าการตั้งพรรคของพันธมิตรฯ นั้นทำไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าแค่หัวหน้าพรรค กรรมการ แล้วหาสมาชิกเหมือนพรรคทั่วไป แต่ต้องมีกระบวนการจัดทำนโยบายแบบมีส่วนร่วม ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดเป็นเรื่องเป็นราวว่าใครจะอยู่ในตำแหน่งไหน ซึ่งสูตรการตั้งมีหลายแบบ อาจจะเป็น 5 แกนนำ หรืออาจจะมีคนนอกมาร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งก็ต้องดูเสียงจากมวลชนด้วยว่าจะยอมรับหรือไม่   เสียงสะท้อนจากแนวร่วม บรรดาแนวร่วมอย่าง ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน โดยเมื่อ 5 มีนาคม 2552 เขาเตือนว่าการออกมาตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้ภาคประชาชนที่ระดมคนได้เรือนหมื่นเรือนแสนคน และคุณูปการต่างๆ ที่พันธมิตรฯ เคยทำไว้หายไป ถ้าหากพันธมิตรฯ ตั้งเป็นพรรคการเมืองแล้วสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็จะหายไป แล้วจะมีองค์กรใดออกมาขับเคลื่อนต่อสู้กับระบบทุจริตในบ้านเมือง "ความจริงมีพรรคการเมืองที่รองรับแนวความคิดของพันธมิตรฯ อยู่แล้ว พันธมิตรฯ เองไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาตั้งพรรคการเมืองเองก็ได้" ไชยวัฒน์ระบุ ส่วน ไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ กล่าวว่า เห็นด้วยที่มีมวลชนต้องการให้ตั้งพรรคการเมือง แต่ที่ห่วงคือแกนนำพันธมิตรฯ ได้เคยประกาศไปบนเวทีที่ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวีไปแล้วว่าจะไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่แสวงหาอำนาจทางการเมือง แต่ต่อมาแกนนำพันธมิตรฯ กลับมาขยับเรื่องนี้เสียเอง ซึ่งอาจจะทำให้ถูกประชาชนและสื่อมวลชนมองว่าพันธมิตรฯ เสียสัตย์ ตระบัดสัตย์ เมื่อพันธมิตรฯ ตั้งเป็นพรรคการเมือง จะทำให้แนวร่วมพันธมิตรฯ ที่เข้าร่วมด้วยความบริสุทธิ์ใจเอาใจออกห่าง และถ้าหากพันธมิตรฯ ลงเลือกตั้ง ก็จะมีแฟนคลับหรือฐานคะแนนเสียงน้อยลงไป ซึ่งจะน้อยกว่าแฟนคลับของพรรคประชาธิปัตย์และทั้งพรรคอื่นๆ จึงพอจะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่พันธมิตรฯ จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ที่สำคัญการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ยังจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านเอง มองพันธมิตรฯ เป็นศัตรูทางการเมือง   ท่าทีจากประชาธิปัตย์ ขณะที่ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ [6] นายกรัฐมนตรี ค่อนข้างมีท่าทีตอบรับ โดยอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อ 6 มี.ค. ว่า จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์มีมาโดยตลอดว่า การมีพรรคการเมืองแข่งขันมากขึ้นในระบบเป็นสิ่งที่ดี เป็นทางเลือกให้ประชาชน ส่วนเป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรฯ ดูจะเหมือนกับการแย่งมวลชนหรือไม่นั้น ต้องไปถามผู้ที่จะก่อตั้ง เรายังไม่ทราบรายละเอียด ส่วนกรณีทางแกนนำอย่างนายสุริยะใส กตะศิลา ได้ชี้แจงว่าการตั้งพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองที่มีอยู่ไม่เป็นคำตอบในการปฏิรูปการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายสุริยะใส ตนได้พูดไปแล้วว่าการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าตัวเองทำได้จะไม่มีทางสำเร็จ และจะเป็นการสร้างความขัดแย้ง แต่ถ้าพยายามดึงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าจะได้ตามที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อถามว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯ รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้จึงจุดพลุเรื่องนี้ขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าผิดหวังหรือไม่อย่างไร แต่ละกลุ่มการเมืองมีเป้าหมายนโยบาย ข้อเรียกร้อง บางเรื่องอาจจะตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ บางเรื่องอาจไม่ตรง เป็นเรื่องปกติ เมื่อถามว่ามีการวิจารณ์ว่า ตัวนายกฯ ดีทุกอย่าง แต่ขาดความกล้าหาญ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆ แล้วถ้ามีเรื่องไหนที่คิดว่าตนยังไม่ทำและคิดว่าเป็นความไม่กล้ามีรูปธรรม สามารถบอกมาได้ ยินดีจะชี้แจง คิดว่าที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนที่ตนลังเล เรื่องไหนที่ข้อมูลพร้อม ข้อกฎหมายชัด นโยบายหรือเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้วตนไม่มีรีรอ   ‘สุเทพ’ โต้ ‘พันธมิตรฯ’ ยันไร้บุญคุณ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของอภิสิทธิ์ ต่างจากตัวจริงในประชาธิปัตย์อย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ [7] รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขากล่าวเมื่อ 10 มีนาคม 2552 ถึงกรณีแกนนำพันธมิตรฯ ออกมาโจมตีผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีหลายครั้งว่า เขาไม่เคยมีอะไรกับพันธมิตรฯ ตั้งแต่เริ่มต้น จนมาถึงเดี๋ยวนี้ ตนไม่ใช่คนที่มีปัญหากับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯหรือเป็นใคร ตนมีหน้าที่ที่จะดูแลรับใช้ตามความสามารถของตน ในฐานะที่เป็นนักการเมืองใครก็ใช้สอยไหว้วานได้ แต่การที่ตนจะปฏิบัติอะไรต้องคำนึงถึงประโยชน์ของบ้านเมืองโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ จะถูกใจคนบ้าง ไม่ถูกใจคนบ้างก็เป็นเรื่องปกติ “ผมไม่เคยทำอะไรให้เขา และเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ผม ส่วนเรื่องพันธมิตรฯผมก็เคารพความคิดความเห็นของเขาในทางการเมืองกับประชาชนที่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ และเอาใจช่วยมาตลอด แต่ผมไม่ได้เข้าไปสนับสนุนอะไรกลุ่มพันธมิตรฯ และผมก็ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรตามที่คุณสนธิพูด แต่ว่าให้ความนับถือในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง เมื่อคุณสนธิตำหนิผม ก็ได้มาสำรวจตัวเองว่า ผมทำอะไรบกพร่องอย่างนั้นหรือไม่ กรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรฯ 21 คน ที่บุกทำเนียบ มันก็เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาสอบสวนมาตั้งนาน พอที่จะมีพยานหลักฐานตั้งข้อหาใครบ้างก็ออกหมายเรียกไป ผมคิดว่า ตำรวจทำตามหน้าที่ปกติ” ส่วนเรื่องที่ว่าเจอทวงบุญคุณนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ที่จริงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนก็มีบุญคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนั้น ก็ทวงได้พวกตนก็ต้องรับฟังและปฏิบัติให้อยู่ในกรอบบนความถูกต้อง การมาเป็นรัฐบาลในภาวะที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้มีแรงกดดันเป็นธรรมดา บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง ก็ต้องเจอหลายรูปแบบ ดังนั้นเราต้องหนักแน่นอดทนเอาไว้ ส่วนเรื่องการตั้งพรรคพันธมิตร นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ ขออนุญาตวิจารณ์ธรรมดาว่า ยินดีถ้าเขาตั้งพรรคการเมือง เพราะถ้าทุกฝ่ายเข้ามาทำงานทางการเมืองตามกรอบเกณฑ์กติกาที่รัฐธรรมนูญกฎหมายกำหนดไว้ บ้านเมืองก็จะเรียบร้อยขึ้น เมื่อถามว่า กรณีของนายสนธินี้จะเป็นการซ้ำรอยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ที่พอขัดแย้งกันก็มาขับไล่รัฐบาลนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่ อย่ามองโลกในแง่ร้าย “ผมคิดว่าการที่คุณสนธิออกมาตำหนิผมคนเดียว ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ชอบรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบผม และเขาก็อยากจะแนะนำสั่งสอนผม ผมก็น้อมรับคำแนะนำสั่งสอน” นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า ตนจะไม่พูดคุยกับนายสนธิต่อกรณีดังกล่าว เพราะก็ไม่เคยคุยอะไรกับนายสนธิมานาน   ประสงค์ลั่นประชาธิปัตย์ไม่ได้ขึ้นสู่อำนาจถ้าไม่มีพันธมิตรฯ สุเทพอาจมองไม่เห็น “บุญคุณ” จากพันธมิตรฯ แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่าง (กมธ.) รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเมื่อ 9 มีนาคม 2552 [8] สนับสนุนแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่จากกลุ่มต่างๆ ว่าถือเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ประชาชน แต่ขอร้องว่าจะต้องเป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆ และหากเข้มแข็งด้วยแล้ว พรรคการเมืองรูปแบบเก่าๆ คงต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา ถามว่าทำไมจะจัดตั้งพรรคการเมืองภาคประชาชน ก็เพื่อให้มีเครื่องมือไปทำงานในสภาฯ เพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อกลุ่มทุนหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองบางกลุ่ม อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิทุกภาคส่วนจัดตั้งพรรคการเมือง เขาบอกว่า ในส่วนตนไม่ขอเป็นผู้จัดตั้งพรรคการเมืองแน่นอน แต่ยินดีรับให้คำปรึกษา กับพรรคการเมืองภาคประชาชนที่จะเกิดขึ้น และยอมรับว่าขณะนี้เป็นที่ปรึกษาให้กับสมัชชาประชาชนภาคอีสาน ของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย อดีต สนช.ผู้นี้กล่าวตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ว่า บางครั้งไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะหากไม่มีพันธมิตรฯ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ได้ขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคน้ำดีพรรคสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ แต่มักจะมองข้ามความจริง อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลนี้มาจากเสียงโหวต ถือว่าไม่ฉลาดพูด และยืนยันว่าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนได้มีการส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จัดการกับแกนนำพันธมิตรฯ เป็นเรื่องจริง "เช่นเดียวกับการนั่งกินข้าว ได้เพียงขอบคุณคนเสิร์ฟ แต่ไม่รู้ว่าข้าวปลูกมาอย่างไร มาถึงโรงสี ต้องรู้ถึงกระบวนการที่มาทั้งหมด" น.ต.ประสงค์กล่าว น.ต.ประสงค์ยังได้กล่าวร้องขอรัฐบาลและพันธมิตรฯ ต้องน้อมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน อย่าไปผิดใจกัน เพราะจะมีมือที่สามคอยเสี้ยมให้ชนจะนั่งหัวเราะชอบใจ อย่าไปตอบโต้ ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ก่อนหน้านี้ ในระหว่างเวทีฉลองปีใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อ 27 ธันวาคม 2551 น.ต.ประสงค์ เคยเสนอให้พันธมิตรฯ “เข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการแข่งขันเลือกตั้งและมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ” [9] ในวันนั้นเขายังกล่าวว่า การตั้งพรรคการเมืองทำไม่ยาก ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 15 คนก่อนเพราะมีเครือข่ายอยู่แล้ว จากนั้น ให้เร่งทำโครงสร้าง เพราะเชื่อว่ารัฐบาลอยู่ไม่นาน เมื่อมีการเลือกตั้ง กลุ่มพันธมิตรฯ ก็เลือกพรรคของตัวเอง น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า นักการเมืองต้องตระหนักว่า ถ้าไม่มีกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่มีรัฐบาลชุดนี้ ต้องเข้าใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้ตำแหน่ง แม้ว่าหลังการตั้งรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯ จะรู้สึกตรงพะอืดพะอม แต่ก็ต้องกล้ำกลืนให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เพราะเป็นพรรคการเมืองที่มีนักการเมืองน้ำดีอยู่จำนวนมาก แต่ต้องไปร่วมกับนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง   วาจาค้ำคอ ‘สนธิ’ ไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่ก่อนที่จะไปถึงการตั้งพรรคพันธมิตรฯ คงต้องไม่ลืมว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เอง ได้กล่าวไว้หลายโอกาส หลายวาระ ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ย้อนกลับไปในปี 2548 โดยหลังจากที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการถูกถอด หลังวันที่ 10 กันยายน 2548 และเขาเริ่มสู้กับทักษิณและเครือข่ายนับจากนั้นมา ผ่านการจัดรายการกึ่งการปราศรัยใน “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” โดยการจัดรายการครั้งที่ 11 เมื่อ 9 ธันวาคม 2548 ที่สวนลุมพินี สนธิ กล่าวว่า “คุณสโรชาและพ่อแม่พี่น้องที่นั่งอยู่ในที่นี้และนั่งอยู่ข้างนอก วันนี้ผมอยู่ในสภาพที่ผมกลับไปเป็นนายสนธิคนเดิมไม่ได้แล้ว ผมไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์เอาธรรมมาสอนผม บอกว่า สนธิ ชีวิตคือความว่างเปล่าแต่ถ้าเราทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนแล้ว ถึงตายก็คุ้มค่า ผมไม่ใช่คนไม่เคยทำความผิด คุณสโรชา 58 ปีที่ผ่านมานี้ ชั่วก็เคยทำ ผิดก็ไม่น้อย แต่ว่าอยากจะใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อประชาชนในฐานะที่เป็นสื่อ แต่เป็นสื่อคนละแบบที่มีอยู่ทุกวันนี้ คือเป็นสื่อที่ถึงตรงกับประชาชน ไม่ใช่สื่อซึ่งจะต้องไปนั่งกินข้าวกับนายกฯ หรือไม่ใช่สื่อที่จะต้องไปพึ่งพาคนโน้นคนนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ผมจะทำอะไรผมจะถามความเห็น ผมจะทำข่าวผมต้องถามความเห็นประชาชนก่อนแล้ว เพราะว่าผมไม่ใช่นายสนธิคน เก่าอีกต่อไป ผมถือโอกาสขอขมาลาโทษพ่อแม่พี่น้องทุกคนว่า อดีตที่ผมเคยทำผิดพลาดอะไรไปถ้ามีการทำก็ขออภัย ขอขมา แต่ว่าจากนี้เป็นต้นไปผมจะยึดถือบทบาทที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พูดอยู่ออกมาตลอดเวลา ว่า ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์แบบ และประชาชนจะไม่มีปัญหา สังคมไทยจะไม่มีปัญหา ผมขอยึดถือตรงนี้ แล้วพ่อแม่พี่น้องประชาชน ตลอดจนคุณสโรชาด้วย จำเอาไว้ วันไหนในอนาคต ตราบจนกระทั่งผมตาย ถ้าผมไปรับตำแหน่งอะไรทางการเมือง แล้วถ้าผมไม่ใช่สื่อมวลชนของท่านต่อไป เจอหน้าที่ไหน ถุยน้ำลายใส่หน้าผม ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ทันที” [10] [11]   เช่นเดียวกัน ในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เขาก็กล่าวเป็นสัจจะวาจาต่อมวลชนไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง หนนี้เขาสโคปชัดเจนขึ้นว่าจะไม่รับตำแหน่ง ส.ว. ส.ส. ขอเป็นแค่ “ยามรักษาแผ่นดิน” และ “คณะกรรมการยึดทรัพย์” “พ่อแม่พี่น้อง ไม่ต้องกังวล ผมจะกล่าวสัจจะวาจาวันนี้ ต่อหน้าองค์สมเด็จรัชกาลที่ 5 เสด็จพ่อ ผมจะไม่มีวันรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ลง ส.ว. ไม่ลง ส.ส. ให้ตำแหน่งอะไรก็ไม่เอา ขอเป็นแค่ยามรักษาแผ่นดิน แต่มีข้อแม้ ถ้าเขาตั้งให้เป็น 1 คน ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ พ่อแม่พี่น้องจะให้ผมรับไหม (ผู้ชุมนุม) - ให้ ตกลงกันแล้วนะ ถ้าผมอยู่ ได้อยู่ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ ให้ผมเข้าไหม (ผู้ชุมนุม) - ให้เข้า เราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะ พ่อแม่พี่น้อง ถ้าผมลงสมัคร ส.ว. รับตำแหน่งรัฐมนตรี ผมพูดไว้แล้วกี่ครั้ง ผมพูดต่อ ผมพูดย้ำ ผู้ชายเจอหน้าผมที่ไหน ถุยน้ำลายใส่หน้าผม ผู้หญิงเจอหน้าผมที่ไหน ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ วันนี้มาด้วยจิตที่บริสุทธิ์ อะไรก็ไม่ต้องการ ต้องการการเมืองที่สะอาด ต้องการ ส.ส.-ส.ว.ที่ดีๆ เหมือน ส.ว.ที่เมื่อกี้เอ่ยชื่อมา ท่านการุณ ใสงาม หมอนิรันดร์ คุณวิญญู เราต้องการนักการเมืองแบบนี้ เราต้องต่อสู้เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง พ่อแม่พี่น้องโกง 1 บาท ยังไม่ยอมเลย นับประสาอะไรโกงหมื่นล้าน การโกงชาติ โกงบ้าน โกงเมืองนั้นคือการทำลายรากฐานของสังคม พ่อแม่พี่น้อง คนเราถ้ามันซุกหุ้นได้ มันหนีภาษีได้” [12] [13]   แน่นอนว่า การให้สัจจะวาจาไม่รับตำแหน่งทางการเมืองของสนธิ เป็นเรื่องค้ำคอเฉพาะสนธิ ไม่เกี่ยวกับการที่คนอื่นๆ ในพันธมิตรฯ จะไปมีตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ไปเป็นวุฒิสมาชิก หรือแม้แต่ร่วมคณะรัฐมนตรี แน่นอนว่า สัจจะวาจานี้ก็ไม่ครอบคลุมถึงเรื่องสัญญาจากนายพล ส. ที่บอกให้ทนเจ็บหน่อย แล้วจะยกฟรีทีวีให้สักช่องหลังรัฐประหาร [14] [15] สนธิพูดถึงการไม่รับตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้งในการปราศรัยเมื่อ 6 มีนาคม 2552 ในรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวีจากเวทีชั่วคราวหน้าบ้านเจ้าพระยา โดยคราวนี้เขาระบุว่าไม่อยากใช้คำว่า “สัจจะวาจา” แต่ขอ “ให้สัญญา” ว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 “จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง”  “พี่น้อง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 เคยประกาศเป็นสัจจะวาจา ผมไม่อยากใช้คำว่าสัจจะวาจา ให้สัญญากับพี่น้องว่าเราจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และเราก็จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ... พี่น้อง พวกเราต้องทำตัวให้มีคุณค่า ต้องมีราคาใช่ไหมพี่น้อง แล้วราคาต้องไม่ถูกด้วยใช่ไหม นี่คือความในใจของผมพ่อแม่พี่น้อง พี่น้องเชื่อใจได้เลยพี่น้อง แกนนำรุ่นที่ 1 ยกเว้น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด ทำไมต้องยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ เพราะอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เพราะอาจารย์สมเกียรติกระโดดเข้าไปในการเมืองเรียบร้อยแล้ว อาจารย์สมเกียรติมีราคีไปเรียบร้อยแล้วต้องปล่อยแกไปทางนั้น ล้อแกเล่น แต่พี่ลองของผม พี่สมศักดิ์ พี่พิภพ และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด พี่น้อง สบายใจได้ แต่จะอยู่ต่อสู้ร่วมกับพี่น้องในการเมืองภาคประชาชน และให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาของพรรคที่เป็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสภาอย่างสม่ำเสมอ เอเอสทีวีจะสนับสนุนการเมืองใหม่ พรรคการเมืองไหนที่เน้นการเมืองใหม่ ที่อยู่ในปรัชญาและอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เอเอสทีวีจะสนับสนุนหมด” [16]   ไม่รับตำแหน่งแต่กุมพรรคแบบ “กรมการเมือง” การประกาศของสนธิหลายครั้ง ว่าไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง ในพรรคการเมือง “พันธมิตรฯ” ที่ตั้งขึ้น นอกจาก “ให้กำลังใจ” และ “ให้คำปรึกษา” แก่พรรค ไม่ได้หมายความว่าสนธิและแกนนำฯ จะไม่มีอำนาจในการกุมสภาพพรรคการเมืองที่พวกเขาจะตั้งขึ้นแต่อย่างใด เพราะข้อเสนอของ สนธิ ลิ้มทองกุล จากปากคำ สุริยะใส กตะศิลา ที่ให้สัมภาษณ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ เมื่อ 13 มีนาคม นั้น สุริยะใสบอกว่ารูปแบบหนึ่งที่สนธิสนใจคือรูปแบบการบริหารงานแบบ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีตำแหน่ง ‘โปลิตบูโร’ (Politburo - กรมการเมือง) ที่เป็นคณะกรรมการนโยบายของพรรค ที่โปลิตบูโรไม่มีตำแหน่งทางบริหารและการเมือง แต่เป็นผู้คุมยุทธศาสตร์ และทิศทางของพรรค แต่เขายังออกตัวว่ายังมีเวลาศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบพรรคการเมืองจากหลากหลายประเทศ และดูว่าแบบไหนเข้ากับสังคมไทยด้วย เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552 “พี่สนธิก็เคยคุยกับผมเป็นการส่วนตัวว่าคิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยซ้ำ มีโปลิตบูโร หรือคณะกรรมการนโยบายของพรรคที่อาจจะไม่ได้มามีตำแหน่งบริหาร ไม่ได้มามีตำแหน่งทางการเมือง แต่ว่าคุมยุทธศาสตร์ คุมทิศทางพรรค ซึ่งอันนี้น่าสนใจ และคงต้องดูว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เรายังมีเวลาศึกษาพรรคการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อเปรียบเทียบกัน และต้องดูบริบทสังคมไทยด้วย แบบไหนมันเข้ากับสังคมไทย”   สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552 [17]   และที่จริงแล้วอาจไม่ต้องแปลกใจกับรูปแบบการบริหารงานแบบ “โปลิตบูโร” ที่สนธิคิดถึง เพราะก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรค “ประชาธิปัตย์” กับองค์กรการเมืองอย่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอยู่แล้วว่าใครคุมใคร หรือใครบงการใคร เพียงแต่หลังๆ มีภาวะที่สนธิ ลิ้มทองกุลนิยาม ในการปราศรัยเมื่อ 6 มีนาคม 2552 ว่า “มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว” และความที่ไม่อยากเป็น “พื้นที่เวทีให้คนอื่นมาฉกฉวย” ซ้ำรอย 19 กันยายน 2549 และการเป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์หลังการยุบพรรคพลังประชาชนอีก นี่จึงเป็นที่มาของการประกาศจะตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสียเอง   มีหรือไม่มี ‘พรรค’ ก็ล็อกชื่อ ‘พรรค’ แล้ว โดยขณะนี้ แม้จะมีการประกาศแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ แล้ว แต่ยังไม่มีมติจากแกนนำพันธมิตรฯ ทุกระดับจากทั่วประเทศ โดยการเปิดเผยของ สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ 25 มีนาคม 2552 เขากล่าวถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งพรรคพันธมิตรฯ ว่า หลังการเดินสายปราศรัยของแกนนำที่ ลอส แองเจลลิส สหรัฐอเมริกา พันธมิตร USA อยากให้ตั้งพรรค แต่เขาจะรอถามพันธมิตรฯ ทั่วประเทศเสียก่อนในวันที่ 24 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ “แต่เราไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเราต้องถามประชาชนที่เป็นพันธมิตรฯ ทั่วประเทศไทยที่จะมีการชุมนุมและประชุมกันเพื่อขอความเห็นในวันที่ 24 พฤษภาคม ถ้าวันที่ 24 พฤษภาคม ประชาชนซึ่งเป็นแกนนำเราทั่วประเทศไทยเห็นด้วย ว่าต้องตั้ง เราก็จะตั้ง เพราะว่าเราจะไม่ทำอะไรโดยไม่ถามเขาก่อน แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ควร เราก็ไม่ตั้ง” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะสอบถามอย่างไร นายสนธิบอกว่า จะให้เขาถกเถียงกัน แล้วเราจะมีการยกมือกัน [18] และไม่ว่ามวลชนและแกนนำพันธมิตรฯ จะมีมติให้ตั้งพรรคของพันธมิตรฯ หรือไม่ แต่ “ชื่อพรรค” ก็ “ถูกล็อก” ไว้แล้ว ในทะเบียนพรรคการเมืองขณะนี้ จากข้อมูลทะเบียนพรรคการเมืองของ กกต. พบว่า พรรคเทียนแห่งธรรม (ท.ห.ธ. หรือ Tien Hang Dhame Paty) เป็นพรรคการเมืองลำดับที่ 57 ได้จดทะเบียนวันที่ 28 เมษายน 2551 มีนายธนากร วีรกุลเดชทวี เป็นหัวหน้าพรรค และนางจันทิมา วีรกุลเดชทวี เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 9 คน และพรรคลำดับที่ 70 พรรคประชาภิวัฒน์ (ปภ. หรือ People Alliance for Democratization - PAD) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 มีหัวหน้าพรรคคือ นายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี และนายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 8 คน ซึ่งนายภณ รักตระกูล เลขาธิการพรรคนั้นเป็นลูกเขย พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาและเพื่อนสนิท พล.ต.จำลอง ศรีเมือง โดยสุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์เมื่อ 9 มีนาคม โดยยอมรับว่า คนที่ไปจดแจ้งกับทาง กกต. เป็นมวลชนของพันธมิตรฯ ส่วนที่ไปจดไว้ก่อนเพราะทางแกนนำเกรงว่าจะมีคนนำชื่อพรรคเทียนแห่งธรรมไปแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ โดยได้ไปจดทะเบียน 2 พรรค คือ พรรคเทียนแห่งธรรม กับพรรคประชาภิวัฒน์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2552 โดยมีนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี หัวหน้าพรรค นายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนจะมีการเข้าร่วมกับพรรคหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เคยพูดในที่ประชุมเหมือนกันว่าจะมีการไปจดทะเบียนชื่อพรรคเทียนแห่งธรรม เพื่อไม่ให้ใครเอาชื่อนี้ไปแอบอ้าง แต่ก็จดไว้ก่อน ยังไม่มีแนวคิดที่จะลงสมัครหรือเข้าร่วมในตอนนี้” นายสุริยะใสกล่าว [19] “กรมการเมือง” อย่างสนธิ ลิ้มทองกุล สั่ง “นอมินี” จดทะเบียนชื่อพรรครอไว้แล้ว น่าเป็นห่วงหาก “การเมืองใหม่” ที่พันธมิตรประกาศไว้ ลดรูปกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหลือแค่ยกมือลงมติเลือกชื่อพรรคตามที่ได้ล็อกชื่อไว้แล้ว ให้มวลชน “เลือกชื่อ” และ “ขานรับ”ขานรับเมื่อไหร่ก็จะได้พรรคพันธมิตรฯ มีรูปแบบการบริหารจัดการพรรคระบบ “โปลิตบูโร” อิมพอร์ตจากจีนแผ่นดินใหญ่ เอามาใช้แบบ “ไทยๆ” โพก “ผ้าเหลือง” ชู “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” และสมยอมกับ “คณะรัฐประหาร”?  000   สำหรับการปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุลในวันที่ 6 มีนาคม 2552 ที่มีรายละเอียดกล่าวถึงความจำเป็นของการมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ มีดังนี้   สนธิ ลิ้มทองกุลเวทีชั่วคราวบ้านเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร, 6 มีนาคม 2552 [20]   1. “ทำไมผมไม่เจ็บปวดพี่น้อง ทำไมผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพราะเขาเป็นคนดี เขามีคุณธรรม แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ไม่เคยคิดว่าเราเป็นมิตร ผมอยากจะถามพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ ว่า คุณคิดว่าผมนี้เป็นใคร เป็นมิตรคุณหรือเป็นศัตรูคุณ ไม่ ไม่ ผมอยากจะถาม ผมอยากจะถามพวกนี้จริงๆ คุณต้องการที่จะเชิดชูตัวคุณเองว่าคุณเป็นกลางแบบสุรยุทธ์ จุลานนท์ รึไง เหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา ผมก็จะถามกลับแล้วไอ้เหลืองนี่มันเหี้ยตรงไหนเหรอ ไหน ตอบให้กูรู้หน่อยซิ ถ้าเหลืองมันไม่ดีแล้วคุณเอากษิต ภิรมย์ ไปเป็นรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) ทำไม ท่านรัฐมนตรีกษิตท่านแน่ ท่านน่าดู ท่านนักเลง ท่านบอก “ผมภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ” ก็ในเมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งของคุณภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ คุณมีกาวตราช้างปิดปากไว้หรือทำไมจะพูดไม่ได้ว่า “ผมไม่เห็นพันธมิตรฯ เขาทำอะไรผิด เขาทำผิดอย่างมากก็คือบุกรุกสถานที่ราชการ” คุณพูดแค่นี้มันจะตายหรือ”   2. “แล้วพวกพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.หนุ่มๆ สาวๆ เนี่ย หยุดปากเสียได้แล้ว คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ ว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์คือพันธมิตรฯ ทุกคน คุณอย่าเที่ยวไปพูดอย่างนั้นนะ ขืนคุณพูดอย่างนี้ ผมพนันกับคุณได้เอาไหม ถ้ามีพรรคไหนที่พันธมิตรฯ สนับสนุน แล้วลงแข่งกับคุณทางใต้ทุกอำเภอ ทุกเขต คุณจะเหนื่อย”   3. “พี่น้องนี่คือความในใจของผม วันนี้มิตรแท้คุณ คุณยังไม่เลือก คุณเสือกไปนอนผสมพันธุ์กับโจร ผมจะเรียนให้คุณทราบว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารักคุณอภิสิทธิ์ทุกคน เขาอาจจะเอาเฉพาะคุณอภิสิทธิ์นะ แต่ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นแล้ว การเมืองภาคประชาชนและการเมืองในสภา อาจต้องมีคู่กัน ถ้าเราสู้เฉพาะบนถนนอย่างเดียวภาคประชาชนเรามีข้อจำกัดใช่ไหมพี่น้อง มันต้องมือซ้ายก็สู้ได้ มือขวาก็ต้องสู้ได้ พี่น้องไม่ต้องไปกลัว ตราบใดที่แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นคนดูแลจริยธรรมและจรรยาบรรณของคนซึ่งเข้าไปเล่นการเมืองในสภา ไม่มีใครกล้าเบี้ยว เพราะกติกาเราชัดเจน เชื่อได้”   4. “นายทักษิณยังป่าวประกาศอีกในนิตยสารไทมส์ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยโสโอหังเพราะได้รับการสนับสนุนจากทหารและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นไหมมันยังพูดแบบนี้ออกมาอีก คุณเห็นหรือเปล่าพรรคประชาธิปัตย์ ทักษิณเขาเห็นอยู่แล้วคุณไปพูดให้ตายห่า คุณจะให้สุเทพพูด 10 ครั้ง ว่าผมไม่เกี่ยวกับ พันธมิตรฯ มีคดีให้ดำเนินถึงที่สุด มันก็ไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่ มันก็บอกว่าเราเป็นพวกกัน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพวกกัน ก็ผมยังกล้ารับเลย แล้วมึงทำไมไม่กล้ารับล่ะ”   5. “คำว่า Thank you ยังไม่มีเลยใช่ไหมพี่น้อง มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว”   6. “อย่างน้อยที่สุด ในสภาก็ต้องมีคนยกกระทู้ปกป้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่พวกเสื้อแดงได้ ใช่ไม่ใช่ จะให้เราไปประชุมเปิดเวทีไฮปาร์กได้ยังไง ร้อนก็ร้อน ฝนตกก็เปียก เรามี 2 เวที แล้วการมี 2 เวที เวทีภาคประชาชน กับเวทีการเมืองในสภา กลับเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่ามีการตรวจสอบทั้งสองฝ่ายเลย ซึ่งเราเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่มีใครหลุดรอดเร้นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เรายังจะต้องสนับสนุนคนที่จะสมัครเป็น ส.ว. ถ้า ส.ว.ชุดนี้หมดอายุไป ใช่ไม่ใช่ เมื่อเล่นแล้วต้องเล่นให้สุดๆ พี่น้อง ถูกไม่ถูกพี่น้อง จะนั่งขี้แบบขี้หักไม่ได้ ใช่ไหม ต้องระบายมันให้หมด”   000   ช่วงเวลา 20.30-23.00 น.วันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ในรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าวปราศรัยเวทีชั่วคราวหน้าบ้านเจ้าพระยา ในประเด็นการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ โดยการปราศรัยช่วงแรก นายสนธิกล่าวเรื่องการย้ายเที่ยวบินการบินไทยกลับไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขอให้พันธมิตรและพนักงานการบินไทยร่วมกันไปคัดค้านในวันที่ 10 มีนาคม 2552 เวลา 8.00 น. ซึ่งสหภาพการบินไทยเรียกประชุมด่วนในเวลา เพราะเป็นเรื่องนักการเมืองหาประโยชน์ เขากล่าวต่อไปว่า ชาติบ้านเมืองเมื่อหมดยุคทักษิณไปแล้ว หมดยุคสมัครไปแล้ว หมดยุคสมชาติ วงศ์สวัสดิ์ไปแล้ว ก็ยังเน่าเฟะอยู่เหมือนเดิม จะยังก็แค่มีนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เป็นคนมีคุณธรรม แต่นายกฯ คนเดียวจะเอาอยู่หรือพ่อแม่พี่น้อง เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือประเด็นนะครับพี่น้อง ผมขอถือโอกาสประกาศไปยังสหภาพการบินไทย พนักงาน สมาชิกทุกคน ตลอดจนพนักงานการบินไทย ถ้าคุณยังรักบริษัทคุณอยู่คุณต้องไปประชุมแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นเด่นชัดนะครับ ว่าคุณไม่ยอมที่จะให้การบินไทยของคุณเจ๊งไปเพราะคนเพียงไม่กี่คนนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนะฮะ เพราะว่าเอกสารทางแอร์เอเชียมีชัดเจนเลย ที่ระบุว่าแอร์เอเชียจะย้ายไปดอนเมือง เป็นศูนย์การบิน และจะซื้อเครื่องบินเพิ่ม เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือการทรยศขายชาติขายบ้านขายเมือง ซึ่งคิดว่าน่าจะเริ่มหมดไปแล้ว แต่กลับยังมีอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ ผมก็เลยอยากฝากบอกหลายๆ คนนะฮะว่า บ้านเมืองวิกฤต บ้านเมืองมันแก้แทบไม่ได้จริงๆ เพราะยังมีคนเห็นแก่ได้อยู่นะครับพี่น้อง ระบอบทักษิณยังอยู่เหมือนเดิมนะครับผ่านตัวบุคคลหลายๆ คนนะครับ และระบอบทักษิณนั้นเน้นที่ผลประโยชน์ นะฮะ พี่น้องครับ ขอบพระคุณทีมงานประชาชนชาวภาคเหนือตอนล่างที่จัดงานให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเอเอสทีวีที่พิษณุโลก และชาวสมุยนะครับที่ช่วยกันจัดคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 ที่ 4 จัดได้ยิ่งใหญ่และประทับใจมาก วันพรุ่งนี้ (7 มีนาคม 52) งานคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 5 ที่สนามกีฬาเทศบาลเมืองนครราชสีมา อย่างที่คุณแอนพพูดอย่าพลาด วันอาทิตย์ (8 มีนามคม 52) ผมต้องเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรให้รวมตัวกันไปที่สุพรรณให้เยอะที่สุด อำเภอสามชุก ตลาดร้อยปี นะครับ ทำไมต้องไป ผมจะเล่าให้ฟัง   ที่ต้องไปเพราะว่า คุณบรรหาร ศิลปะอาชา ใช้ทุกวิถีทางไม่ให้มีการจัดงานที่สุพรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปกดดันคนจัดงาน แม้กระทั่งนายอำเภอสามชุก ยังเข้าไปพูดเสียงละห้อยบอกว่าผมเพิ่งถูกย้ายมา อย่าจัดได้ไหม เดี๋ยวผมโดนย้ายอีก ที่พวกเราต้องไปเพราะว่าตัวตั้งตัวตีของคนจัดงานนั้นเขาตั้งใจที่จะเอาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปให้ความรู้คนสุพรรณ เขาหาที่จัดไม่ได้เลย สนามกีฬาจังหวัด ศาลากลางไม่มีสิทธิ เลยต้องไปรวมตัวที่สามชุก ทำไมต้องสามชุก เพราะตลาดร้อยปีสามชุกนั้น ไม่เคยได้รับความใส่ใจจากนายบรรหาร ศิลปะอาชา เขาต่อสู้กับพวกเทสโก้ โลตัส แต่พรรคชาติไทยไม่เคยช่วยอะไรเขา เขาก็เลยรวมตัวกันพัฒนาตลาด 100 ปี จนกระทั่งตลาด 100 ปีอยู่ได้ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เลยเป็นหนามตำใจ คนที่จัดก็เลยจัดที่ตลาดสามชุก เขาทำทุกอย่าง เขาอุตส่าห์ไปทำเสื้อมา 2,000 ตัว เขาจะขายตัวละ 100 บาท ได้มาสองแสนเขาบอกเขาจะยกให้เอเอสทีวีหมดเลย เขาไม่เอาต้นทุน และที่สำคัญพี่น้อง วันหนึ่งระหว่างเขาดำเนินการอยู่ เขาเดินเข้าบ้าน หัวใจวายตาย ลูกเมียก็เลยตัดสินใจเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของพ่อ จัดงานต่อให้เสร็จเพราะฉะนั้น พวกเราต้องไปให้ได้ อย่างน้อยต้องไปเพื่อเป็นเกียรติแสดงความเคารพต่อจิตวิญญาณของเขาและให้ความเคารพกับจิตใจนักสู้ของคนที่ริเริ่มจัดงานอันนี้ให้เห็น ให้เห็นว่า ชีวิตเขาสิ้นไปเพราะเขาต้องการทำเพื่อชาติ เพื่อบ้าน เพื่อเมือง เพื่อพระมหากษัตริย์ เราต้องไปให้กำลังใจคนสุพรรณ เราไปกันเยอะๆ และผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวสุพรรณที่ดูเอเอสทีวีอยู่ ต้องไปกันที่สามชุก เพราะว่า พี่น้องครับความเจริญของ จ.สุพรรณบุรีนั้น เจริญได้ด้วยเงินภาษีอากรของพ่อแม่พี่น้อง ไม่ได้เป็นเงินของโคตรพ่อโคตรแม่ของตระกูลใด คุณบรรหารไม่ใช่เจ้าของสุพรรณบุรี ศิลปะอาชาไม่ใช่เจ้าของสุพรรณบุรี เงินที่สร้างโรงเรียน เงินที่สร้างถนน ติดป้ายไปหมด โรงเรียนแจ่มใส บรรหารแจ่มใส ศิลปะอาชา ทั้งๆ ที่เงินนั้นเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนทั่วประเทศไทย คุณบรรหารไม่ได้เป็นเจ้าของเลย พี่น้องชาวสุพรรณต้องจำคำพูดอันนี้เอาไว้ พี่น้องชาวสุพรรณเป็นหนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่ได้เป็นหนี้บรรหาร ศิลปะอาชา คุณบรรหารก็เป็นลูกเจ๊ก ลูกจีนเหมือนผม ผมแซ่ลิ้ม คุณบรรหารเป็นคนแซ่เบ๊ ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันตรงที่คุณบรรหารเล่นการเมือง แต่ผมไม่ต้องการอะไรในชีวิตนอกจากต้องการให้ชาติบ้านเมืองอยู่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องชาวสุพรรณถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้ว ถ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงศึกยุทธหัตถีที่สุพรรณบุรี วันนี้เป็นวันที่ชาวสุพรรณจะมาทำศึกยุทธหัตถีกับบรรหาร ศิลปะอาชาที่สุพรรณบุรีเช่นกัน   (เปลี่ยนจากการยืนปราศรัยเป็นการนั่งปราศรัย) ค่อยยังชั่วหน่อย ได้ยืนนานพอสมควร เริ่มเจ็บละ แสดงว่าเริ่มดีขึ้น เพราะแต่ก่อนยืนนานกว่านี้ไม่ได้ พี่น้อง มัน 62 แล้วอย่าไปคิดอะไรมากเลย พี่น้องอย่าลืมนะครับ วันอาทิตย์ อำเภอสามชุก เขาจัดที่ศาลาประชาคม อาจจะไม่ใหญ่มากนัก แต่เราต้องไปกันให้ล้นศาลาประชาคม ให้ล้นกันออกมามากๆ เพื่อให้เขาเห็น ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องไปช่วยให้กำลังใจพันธมิตรชาวสุพรรณบุรีพี่น้อง นะครับ และแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คนจะไปกันหมดครับพี่น้องครับ พี่น้องครับ วันนี้ผมมีเรื่องในใจมาพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้อง นะฮะ เอ่อ (บอกให้ทีมงานย้ายโต๊ะที่บังด้านหน้าเขาออก) วันนี้ผมมีเรื่องในใจที่จะมาพูดให้กับพ่อแม่พี่น้อง มีเรื่องมาเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังตั้งแต่ต้น (ผู้ชุมนุมปรบมือและส่งเสียงชอบใจ) ขอประทานโทษ คนแก่หลงลืมบ่อยมักจะไม่ค่อยรูดซิป รู้สึกนั่งแล้วมันเย็นๆ ยังไงชอบกล ก็เลยอ๋อลมมันเย็น พัดลมมันเย็น ผมมีเรื่องระบายให้พ่อแม่พี่น้องฟังนิดหนึ่ง ทนฟังผมอีกนิดเถอะ 2548 นั้น ตอนที่ผมลุกขึ้นมาสู้คุณทักษิณนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะมีพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกระบวนการมากมายอย่างมหาศาล 2548 ที่เอาทุกอย่างเข้ามาสู้นั้น ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าพ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า สนธิ ให้เอาธรรมนำหน้า ถ้าเอาธรรมนำหน้าแล้วชนะสนธิ นั่นคือคำพูดพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์พูดก็คือ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง คำว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง มันมีมิติของธรรมอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว มีสมบัติ กับไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรต่างกัน ถูกไม่ถูก มีชีวิตกับตายก็ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด ความว่างเปล่าเป็นเรื่องสมมติ ด้วยเหตุนี้พลังการต่อสู้ก็เลยมี และนี่คือที่มาของการจุดเทียนแห่งธรรม คำว่าจุดเทียนนั้น เป็นคำพูดที่ผมพูดที่หอประชุมธรรมศาสตร์ จำได้ไหม ผมบอกว่าในการสู้นั้น มีคนพยายามจะจุดเทียนหลายคนในอดีต แต่จุดทีไรลมมันพัดแล้วดับทุกที ทำไมลมมันถึงพัดแล้วดับ คำว่าลมพัดเทียน หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าลุกขึ้นมาสู้ระบอบทักษิณนั้นจะต้องโดนรังแก ทำธุรกิจจะต้องโดนรังแกทางธุรกิจ ความปลอดภัยในชีวิตก็ไม่มีจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดนรังแกทางกระบวนการศาล กระบวนการศาลมีบางส่วนที่อยู่ในระบอบทักษิณ ถูกยื่นเข้าไป ถูกจับเข้าไป ออกหมายจับไม่ให้ประกันตัว หรือว่าพิพากษาอย่างโน้นอย่างนี้ คือพูดง่ายๆ ว่า พอคดีความถึงศาล แค่มองตาก็รู้แล้วว่ากูโดนแน่งานนี้ สำหรับคนที่ไม่เคยชินมันจะกลัว ผมโดนเข้าไป 3 คดีเนี่ย 6-7 ปีเข้าไปแล้ว ลำพังคนที่ไม่เคยขึ้นศาล แค่ขึ้นศาลก็ศาลก็ขาสั่นแล้ว นี่ผมโดนไปตั้ง 3 คดี และยังนับอีกไม่รู้อีกกี่คดีที่จะต้องโดนต่อไป เพราะฉะนั้นแล้ว พ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัด ว่าด้วยเหตุนี้การจุดเทียนมันไม่ง่าย คนจุดถ้าให้เทียนมันติด พี่น้องจำได้หรือเปล่าว่าผมพูดอย่างไร ผมบอกว่าต้องเอาหลังบังลม โอบเทียนเอาไว้อย่างนี้ ลมจะแรงแค่ไหน ก้อนอิฐจะปลิวมากับลม สังกะสีจะปลิวมาบาดตัวเรา โดนศีรษะเราจนเราหัวแตก เราต้องทน กัดฟันทน และนั่นคือที่มาของการโดนฟ้อง การโดนขู่ฆ่า การทำลายทางธุรกิจทุกอย่าง เมื่อมันเริ่มติดแล้ว ไฟมันเริ่มสว่าง คนก็เห็นว่า เฮ้ย สังคมที่มันมืดมิดนี้ มันมีเทียนเล่มนั้นติดอยู่ ไปดูหน่อยซิ เรานั่งอยู่ในความมืดมานานแล้ว ทุกคนก็เริ่มไป ก็เอาเทียนตัวเองไปจ่อ จ่อทีละเล่ม ทีละเล่ม ทีละเล่ม ในที่สุดเทียนเล่มน้อย ก็ถูกหล่อมาเป็นเทียนพรรษาเล่มใหญ่ เมื่อเทียนมันสว่างขึ้นมาแล้วสังคมมันสว่าง มันก็เลยทำให้ความมืดมันค่อยๆ หมดไป นี่พูดแบบสรุปง่ายๆ ยังไม่นับถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากนั้นแล้ว เราก็มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหลายท่านเข้ามาร่วมกัน ที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ที่พร้อมจะตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง คนอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คนอย่างพี่สมศักดิ์ โกศัยสุข คนอย่างพี่พิภพ ธงไชย คนอย่างอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นั่นคือที่มาของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 5 คน และแกนนำนี้ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ว่าเราจะสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยที่เราไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราจะบาดเจ็บ ขอบาดเจ็บแทนพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเราจะต้องตาย เราขอตายแทนพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเราจะต้องโดนบีบคั้น เราขอโดนบีบคั้นแทนพ่อแม่พี่น้อง เพราะว่ามันเริ่มมีเทียนพรรษาหลายๆ เล่มมารวมกันแล้ว กำลังจะสว่างเหมือนพระอาทิตย์ต่อไป ถ้าเราอดทนได้ ด้วยเหตุนี้ 2548 ต่อ 2549 เราก็สู้กับระบอบทักษิณ อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่หยุดยั้ง และก็ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าจะลำบากยากแค้นขนาดไหน จะโดนไล่ตามไล่ฆ่าไปขนาดไหนก็ตาม เราก็จะไม่มีวันที่จะยอมแพ้ ด้วยเหตุนี้ประชาชนทั่วไปหมดเลย ทั่วประเทศเริ่มถามกับตัวเองว่า คน 5 คนนี้มันเป็นอะไร มันถึงบ้าเลือดถึงขนาดนี้ เริ่มให้ความสนใจ ASTV ในยุคแรก โดนกลั่นแกล้งสารพัด ASTV ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมภาพไม่เคยชัด โดนบริษัทอินเตอร์เน็ต การสื่อสารแห่งประเทศไทยกลั่นแกล้ง คลื่นวิทยุ 97.75 ก็โดนกลั่นแกล้ง หนังสือพิมพ์ก็โดนกลั่นแกล้ง เว็บไซต์โดนกลั่นแกล้ง โดนแกล้งไปหมด ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วนี่ต้องคุกเข่าลงแล้วร้องไห้แล้ว หรือไม่ทางภาษามวยคือโยนผ้ายอมแพ้ แต่เราไม่ยอมแพ้ เพราะเรามีความเชื่อมั่น ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเราเอาธรรมนำหน้า นั่นคือที่มาของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าชาตินั้นประกอบด้วยศาสนา และพระมหากษัตริย์ ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนาอยู่ไม่ได้หรือพระมหากษัตริย์อยู่ไม่ได้ ชาติก็อยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ก็เลยเป็นที่มาของประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกสัญชาติ มารวมตัวกัน ในการรวมตัวกันเมื่อปี 2548 ปลายปีต่อ 2549 นั้น ยังเป็นการรวมกันในระดับหนึ่ง นั่นคือการรวมตัวกันเพื่อขับไล่คุณทักษิณให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่การรวมตัวกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 เป็นการรวมตัวกันด้วยองค์ความรู้และปัญญาที่สูงกว่าเก่า ที่พ่อแม่พี่น้องที่มารวมกันเริ่มเข้าใจแล้วว่าปัญหานอกจากจะอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดปัญหา ถ้าเราไม่เข้ามาแก้ไข และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เป็นคนแรกที่พูดถึงการเมืองใหม่ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง คนอื่นไม่เคยพูดเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเองเป็นคนใช้ศัพท์คำว่า ประชาภิวัฒน์ ขึ้นมาบนเวที นั่นก็คือเอาประชาชนมาอภิวัฒน์ให้ร่วมกัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เคยทำอะไรโดยไม่ถามพ่อแม่พี่น้องก่อน ในกระบวนการที่เราสร้างคนขึ้นมา กระบวนการที่พ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันบริจาคเงิน บริจาคทองให้ ทำให้กระบวนการนั้นเดินหน้าต่อไปได้ ตราบจนกระทั่งมีการทำร้ายทำลายเรา ประชาชนบริสุทธิ์ที่รักชาติรักแผ่นดิน น้องโบว์สองโบว์ สารวัตรจ๊าบ หลายคนที่เสียชีวิตไปเพราะว่ามาชุมนุมกันอย่างสันติ อหิงสา และไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่โดนปราบปราม ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิด 193 วันแห่งหลอม หลอมพวกเราให้แข็งแกร่ง หลอมพวกเราให้มีความรู้สึกว่าพวกเราจะทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้เลย แล้วหลอมให้พวกเรารู้ว่าคำว่าชาตินั้นมันยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เราทำไม่ใช่เพื่อชาติอย่างเดียว เราทำเพื่อลูกหลานเรา เราทำเพื่อเหลนของเรา เราทำเพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา อุดมการณ์ตรงนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีมา อุดมการณ์อันนี้ สิ่งที่เราจะแพ้อยู่อย่างเดียวคือ การกู้ชาติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเท่านั้นเอง นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า 193 วันนี้ พอมาถึง 193 วันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่น้อง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 เคยประกาศเป็นสัจจะวาจา ผมไม่อยากใช้คำว่าสัจจะวาจา ให้สัญญากับพี่น้องว่าเราจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และเราก็จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แค่ว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ นั้น ยุทธศาสตร์เหมือนเดิม คือ ทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดขึ้นได้ แต่เราจำเป็นต้องมีหลายยุทธวิธี ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เราจำเป็นต้องมีหลายยุทธวิธี เมื่อชุมนุมเสร็จเรียบร้อย สุริยะใส (กตะศิลา) มาพบผม คุณเทิดภูมิ ใจดี มาพบผม คุณสนธิเราต้องตั้งพรรคการเมือง ผมบอกเฮ้ย อย่าเพิ่งเลย ทุกคนมาพูด ทุกคนก็บอกว่าคุณสนธิ คุณสนธิไม่ตั้งไม่เป็นไร ให้หลายๆ คนไปตั้ง แล้วให้พันธมิตรฯ ก็สนับสนุนสิ ผมบอกว่า เดี๋ยวก่อน คุณพูดง่ายทำยาก คุณจะซี้ซั้วให้คนโน้นคนนี้ไปตั้ง แล้วจะให้ผมมาบอกพ่อแม่พี่น้อง ว่าพ่อแม่พี่น้องให้ช่วยพรรคนี้พรรคโน้นพรรคนี้ เรายังไม่ได้คุยเลยกันว่าอุดมการณ์ของคุณมีตรงไหน ใช่ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ซี้ซั้วมาพูด บอกว่า แกนนำไม่ควรจะตั้งพรรค ควรจะปล่อยคนรุ่นหลังๆ ไปตั้งพรรคกัน ไม่ต้องมากลัวพวกผมตั้งพรรค ไม่ต้องมากลัว ผมไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ผมจะยังคงอยู่ ASTV เหมือนเดิม แล้วไม่มีใครที่จะไปรับตำแหน่งทางการเมือง หมายความว่า ไม่มี จะเป็นรัฐมนตรี จะเป็นรองนายกฯ ไม่มีใครเอาทั้งสิ้น แต่ว่าพรรคการเมืองมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาคประชาชนเหมือนกัน ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เพราะว่าการต่อสู้ทางการเมืองมี 2 อย่าง หนึ่ง สู้ในภาคประชาชน ซึ่งเราทำแล้ว ถามต่อว่า วันนี้ถ้าเราจะสู้ต่อไปในทางการเมือง โดยภาคประชาชนเป็นตัวเดิน สหภาพฯ การบินไทยมีปัญหา เราก็ต้องเดินขบวนไปที่การบินไทย ไปเรียกร้อง ช่วยเขา การประปานครหลวงมีปัญหา เอ้าพ่อแม่พี่น้อง ไปการประปาฯ เอ้า ป.ป.ช.ทำไมไม่พิจารณาอันนี้ เอ้าพวกเราระดมคนเดินไป ป.ป.ช. เอ้า กกต. มีปัญหา เอ้า เดินไป กกต. ตกลงเราคือใครกันแน่ เข้าใจหรือยังพี่น้อง เราสู้ในเรื่องใหญ่ๆ เราสู้ในเรื่องของหลักการ เราสู้ในเรื่องของการเป็นนอมินีเราไม่ยอม เราสู้ในเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญเราไม่ยอม เราสู้ในเรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเราไม่ยอม แต่การบริหารชาติบ้านเมืองนั้น เราจะใช้ภาคประชาชนไปเที่ยวเดินขบวนนั้นมันไม่ได้ ถูกไม่ถูกพี่น้อง ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน มันจะเสียหายตรงไหน มันจะเสียหายตรงไหน ถ้าหากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสนับสนุนพรรคการเมือง อาจจะ 3 พรรคก็ได้ เราไม่ขัดข้อง คุณตั้งมาสิ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อยากตั้งพรรคการเมืองร่วมกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร แล้วมีคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หนุนหลัง ก็ตั้งไปสิ แต่ ถามผมก่อนได้ไหม ถามแกนนำสัก 5 คนก่อนได้ไหม ถามแกนนำว่า ปรัชญาของคุณอยู่ที่ไหน คุณพร้อมไหมที่จะไม่รับตำแหน่งการเมือง ถึงคุณมี ส.ส.20-30 คน คุณไปร่วมรัฐบาล คุณต้องไม่รับตำแหน่งนะ คุณตอบได้ไหม ถ้าคุณกล้าออกมาคุณไม่รับตำแหน่ง ถ้าคุณกล้าออกเสียสละของคุณ และถ้าคุณกล้าพอที่จะบอกว่า กล้าพอที่จะบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าคุณมีความกล้าหาญ และคุณพร้อมที่จะไม่รับเงินนายทุน คุณบอกที่มาที่ไปของเงินที่มาสนับสนุนพรรคการเมือง ถ้าคุณทำเช่นนั้นได้ ผมจะเป็นคนแรกที่ยืนออกมาแล้วบอกว่า พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สนับสนุนพรรคนี้ สนับสนุนพรรคนั้น ถูกไม่ถูกพี่น้อง การมาพูดว่าแกนนำนั้น ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดอีกก็ถูกอีก เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราเป็นเจ้าของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เราเคยคิดว่าถ้าเราจะทำอะไรยิ่งใหญ่ เราจะถามพ่อแม่พี่น้องก่อนเสมอ ใช่ไม่ใช่ ถูกไม่ถูกพี่น้อง เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการให้การต่อสู้ของเรา 193 วัน ตายไปแล้ว 10 กว่าคน บาดเจ็บ 700 กว่าคน พิการอีกเยอะแยะ กลายเป็นพื้นที่เวทีให้คนอื่นมาฉกฉวย แล้วบอกว่า นี่คือพรรคเครือข่ายพันธมิตรฯ เพราะฉะนั้นให้พันธมิตรฯ ช่วยลงคะแนนเสียงให้ พี่น้องยอมไหม (ผู้ชุมนุมตอบ ไม่ยอม) นั่นคือเหตุผลที่สำคัญที่สุดพี่น้อง เข้าใจหรือยังพี่น้อง ในขณะนี้มีกระบวนการแบบนี้เกิดขึ้น พี่น้องเข้าใจหรือยัง มาพูดบอกว่าพันธมิตรฯ ไม่ควรจะตั้งพรรคการเมือง ควรจะให้คนอื่นเขาตั้งกัน แล้วพันธมิตรฯ สนับสนุน เอ๊ะ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไงวะ เข้าใจหรือยังพี่น้อง ไม่ต้องห่วง คนอย่างผมมีสัจจะ รับปากว่าผมไม่รับตำแหน่งการเมือง ผมก็ไม่รับ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องรับเพราะว่ามีโอกาสเข้าแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ผมจะบอกเลย ผมไม่เป็นตัวอีแอบ และผมจะขออนุญาตพ่อแม่พี่น้องว่าจะให้หรือไม่ให้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ แต่ไม่มี ไม่เคยคิด ผมก็บอกสุริยะใสไป บอกว่า ใส ถ้าจะตั้งพรรคการเมือง เงื่อนไขต้องมี คุณมีอะไรที่แสดงให้พ่อแม่พี่น้องเห็นว่าคุณเป็นการเมืองใหม่บ้าง ทำไมผมไม่เจ็บปวดพี่น้อง ทำไมผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพราะเขาเป็นคนดี เขามีคุณธรรม แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ไม่เคยคิดว่าเราเป็นมิตร ผมอยากจะถามพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ ว่า คุณคิดว่าผมนี้เป็นใคร เป็นมิตรคุณหรือเป็นศัตรูคุณ (ผู้ชุมนุมปรบมือและตะโกนว่าเป็นศัตรูเลย) ไม่ ไม่ ผมอยากจะถาม ผมอยากจะถามพวกนี้จริงๆ คุณต้องการที่จะเชิดชูตัวคุณเองว่าคุณเป็นกลางแบบสุรยุทธ์ จุลานนท์ รึไง เหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา ผมก็จะถามกลับแล้วไอ้เหลืองนี่มันเหี้ยตรงไหนเหรอ ไหน ตอบให้กูรู้หน่อยซิ ถ้าเหลืองมันไม่ดีแล้วคุณเอากษิต ภิรมย์ ไปเป็นรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) ทำไม ท่านรัฐมนตรีกษิตท่านแน่ ท่านน่าดู ท่านนักเลง ท่านบอก “ผมภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ” ก็ในเมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งของคุณภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ คุณมีกาวตราช้างปิดปากไว้หรือทำไมจะพูดไม่ได้ว่า “ผมไม่เห็นพันธมิตรฯ เขาทำอะไรผิด เขาทำผิดอย่างมากก็คือบุกรุกสถานที่ราชการ” คุณพูดแค่นี้มันจะตายหรือ ผมโดนกี่คดี พี่น้องโดนกี่คดี วันดีคืนดีปล่อยให้ตำรวจชั่วๆ มันมาตั้งข้อหา 21 คน แล้วคุณก็นั่งกระดิกเท้าเฉยๆ คุณก็บอกว่าคุณไม่แทรกแซง ปัญหาไม่ใช่เรื่องคุณแทรกแซงหรือไม่แทรกแซง ปัญหาเรื่องที่คุณต้องถามตัวคุณเองว่า พันธมิตรฯ หรือใครก็ตามไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ ได้รับการปฏิบัติอย่างชอบธรรมบนพื้นฐานของความยุติธรรมรึเปล่า คุณไม่เคยคิดในเรื่องนี้ แล้วคุณไม่เคยพูดในเรื่องนี้ แต่คุณจะเอาแต่ได้อย่างเดียว คุณจะเอาแต่ได้อย่างเดียว แล้วคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนก็บอกว่า พวกเราจะผิดหวัง คอยดู พรรคพันธมิตรฯ มันจะผิดหวัง เพราะเขาบอกว่าพันธมิตรฯ ทุกคนคือประชาธิปัตย์ เขาพูดอย่างนี้ ผมไม่ได้ขัดข้อง ผมยังคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีที่สุด ก่อนที่พรรคพันธมิตรจะเกิด ผมบอกว่า ผมมีความเคารพในตัวพี่ชวน (หลีกภัย) รักกันมาก พี่บัญญัติ (บรรทัดฐาน) ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ท่านเป็นคนดี คุณกอร์ปศักดิ์ (สภาวสุ) เป็นคนดี กรณ์ จาติกวณิช เป็นคนดี แต่คุณมีปัญหาอย่างหนึ่ง คุณต้องไปตัดแว่น เพราะคุณมองศัตรูกับมิตรไม่ออก คุณยังไม่จำเป็นต้องปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (รมว.กลาโหม) ซึ่งประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นเจ้านายอนุพงษ์ เผ่าจินดา และเป็นคนที่ทำให้คุณเป็นรัฐบาลได้ ไม่ต้องปลดเขา ไม่เป็นไรผมไม่ว่า แต่คนที่รับผิดชอบกับการตายของประชาชนอย่างนายสุชาติ เหมือนแก้ว, อำนวย นิ่มมะโน ทำไมยังให้มีอำนาจอยู่นี่คุณทำได้อย่างไร 10 กว่าคนที่ตายไป 700 กว่าคนที่บาดเจ็บ อีกหลายสิบคนที่พิการ เพื่อให้คุณเป็นรัฐบาล แล้วคุณเอาส้นตีนลูบหน้าคนตาย ลูบหน้าพันธมิตรฯ ทำได้ยังไง ไอ้คนที่มีส่วนร่วมในการฆ่าประชาชน นั่งอยู่กันสบายมีอำนาจเหมือนกันหมดทุกคน เหมือนกันหมดทุกคน คุณไม่ต้องไล่ออกก็ได้ คุณย้ายเข้าไปประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ จะรอไล่ออกก็ต่อเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล คุณทำได้ทำไมคุณไม่ทำ ผมไม่ได้มีอะไร แต่ผมคิดว่าคุณ ผมถึงต้องทบทวน ผมถึงต้องถามคุณเป็นทางการบนเวทีวันนี้ว่าคุณมองผมเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู คุณต้องตอบคำถามนี้มาก่อน พันธมิตรฯ เขารักคุณ แต่คุณอย่าให้พันธมิตรฯ ต้องแค้นคุณนะ แล้วพวกพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.หนุ่มๆ สาวๆ เนี่ย หยุดปากเสียได้แล้ว คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ ว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์คือพันธมิตรฯ ทุกคน คุณอย่าเที่ยวไปพูดอย่างนั้นนะ ขืนคุณพูดอย่างนี้ ผมพนันกับคุณได้เอาไหม ถ้ามีพรรคไหนที่พันธมิตรฯ สนับสนุน แล้วลงแข่งกับคุณทางใต้ทุกอำเภอ ทุกเขต คุณจะเหนื่อย ไอ้คนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้วพูดออกมาอย่างนี้ มันไม่รู้หรอก เพราะมันไม่ได้มาร่วมชุมนุมกับคนใต้ที่ทำเนียบ มันไม่ได้หุงข้าวกับเขา มันไม่ได้วิ่งหนีลูกปืนกับเขา มันไม่ได้วิ่งหนีระเบิดกับเขา วันนี้เสาไฟฟ้า ลงไปปักแล้วก็ให้เลือกเสา คนใต้ไม่เอาแล้วนี่ผมเตือนนะ ผมต้องเตือนก่อนนะ แต่ว่าผมก็ยังเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีคุณงามความดีอยู่ ขออย่างเดียว ให้คุณมีความกล้าหาญเสียหน่อย อย่ารังแกจิตใจพันธมิตรฯ ให้มากเกินไปกว่านี้อีก พูดจาให้ระวัง คุณตอบคำถามได้หมด เพราะว่าพันธมิตรฯ มีความชอบธรรมทุกเรื่อง ถ้ามันถามว่าทำไมไม่ดำเนินคดีพันธมิตรฯ ทุกที คุณก็บอกเขาโดนดำเนินคดีไป 400 กว่าคดีแล้ว แล้วจะบอกได้ยังไงว่าไม่ดำเนินคดี ถ้าไอ้เสื้อแดงที่ไปกระทืบทหารแล้วโดนออกหมายจับภายใน 7 วัน มันบอกว่าทำไมทำส้นตีนอย่างนี้ ก็บอกเสียสิว่า ทำไมคุณถึงพูดจาหยาบคาย พันธมิตรฯ เขาไม่เคยพูดจาหยาบคายอย่างนี้ แล้วพันธมิตรฯ โดนหมายจับยังไม่ถึง 7 วัน ก็มีหลายคดี คุณก็ตอบเขาไปสิ เวลานักข่าวเอาไมค์จ่อปากถามคุณ บอกว่าที่พันธมิตรฯ เขาจะขอเปลี่ยนตัวผู้สอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน กรณีออกหมายจับพันธมิตรฯ 21 คน ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ทำไมไม่ตอบไปล่ะ ว่าเมื่อยื่นมาแล้วผมขอดูก่อนว่ามีเหตุผลไหม ถ้ามีเหตุผลพอเพียงผมก็จะเรียกให้ ผบ.ตร.เปลี่ยนให้ แต่ถ้ามีเหตุผลไม่พอเพียงก็ไม่ต้องเปลี่ยน คุณตอบแค่นี้มันตายเหรอ ทำไมคุณต้องบอกว่า ไม่เห็น ไม่มีๆๆ ไม่มีการเปลี่ยน ยังเหมือนเดิม   พี่น้องนี่คือความในใจของผม วันนี้มิตรแท้คุณ คุณยังไม่เลือก คุณเสือกไปนอนผสมพันธุ์กับโจร ผมจะเรียนให้คุณทราบว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารักคุณอภิสิทธิ์ทุกคน เขาอาจจะเอาเฉพาะคุณอภิสิทธิ์นะ แต่ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นแล้ว การเมืองภาคประชาชนและการเมืองในสภา อาจต้องมีคู่กัน ถ้าเราสู้เฉพาะบนถนนอย่างเดียวภาคประชาชนเรามีข้อจำกัดใช่ไหมพี่น้อง มันต้องมือซ้ายก็สู้ได้ มือขวาก็ต้องสู้ได้ พี่น้องไม่ต้องไปกลัว ตราบใดที่แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นคนดูแลจริยธรรมและจรรยาบรรณของคนซึ่งเข้าไปเล่นการเมืองในสภา ไม่มีใครกล้าเบี้ยว เพราะกติกาเราชัดเจน เชื่อได้ 2548 มาถึงวันนี้ 193 วัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พิภพ ธงไชย สมศักดิ์ โกศัยสุข และสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พิสูจน์ให้พ่อแม่พี่น้องเห็นแล้วว่าเราไม่ต้องการอะไร เรามีแต่ใจและชีวิตมอบให้พ่อแม่พี่น้องเท่านั้นเอง คำพูดเราหนักแน่นยิ่งกว่าทองคำ มั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้าผมบอกผมก็ไม่เล่นการเมือง ผมก็ไม่เล่น ผมไม่รับตำแหน่งผมก็ไม่รับ ไม่มี เอาตำแหน่งนายกฯ มาให้ก็ไม่เอา นี่ไงพี่น้อง นี่คือการเมืองใหม่ การเมืองใหม่ของผู้ที่มีโอกาส มีอำนาจ แต่ไม่แย่งชิงอำนาจนี้เข้ามาเพื่อหลงใหลและลุ่มหลงในอำนาจ ใช่ ไม่ใช่พี่น้อง แต่การเมืองใหม่มันต้องสู้ได้ทุกรูปแบบ มันจะเสียหายตรงไหน เอ้าสุริยะใสตั้งพรรคการเมืองก็ตั้งไปสิ โอเค แต่ว่าถ้าหากกติกาเหมือนที่เราตกลงกัน โอเค เทิดภูมิ ใจดี จะตั้งก็ตั้งไป ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ มนูญกฤต รูปขจร อยากตั้งตั้งไป แต่ยอมรับในเงื่อนไขกติกาของเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว บทบาทของผมกับพี่ลอง และพี่พิภพ และพี่สมศักดิ์ ชัดเจน อาจารย์สมเกียรติแกเล่นการเมืองอยู่แล้ว ปล่อยแกไป แต่เรา 4 คนนี่ชัดเจน ใช่ ไม่ใช่พี่น้อง เรา 4 คนชัดเจน ไม่ต้องเดา เพราะว่าเราสนับสนุนให้มีพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแน่นอน จะมี 1 พรรค หรือจะมี 2 พรรค หรือ 3 พรรค ได้ทั้งนั้น แต่ว่าทุกคนต้องยอมรับในกติกาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือพรรคที่เป็นของประชาชนจริงๆ นี่คือความในใจของผม ผมไม่เคยคิดที่จะไปแย่งที่นั่ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณคิดเป็นระหว่างผมกับเนวิน ชิดชอบ คุณเชื่อใจใครมากกว่า ใช่ไม่ใช่ ถ้าคุณคิดแค่นี้คุณยังคิดไม่ออก คุณก็ไปลงนรกซะ คุณรู้ได้ยังไงว่าเนวินไม่หักหลังคุณในที่สุด คนบางคนโตมาเพราะผลประโยชน์ กับคนบางคนยอมตายเพื่อชาติ เพียงแค่นี้คุณก็ดูไม่ออกเชียวหรือ ตอบผมหน่อยเท่านั้นพอแล้ว ตอบผมหน่อยเท่านั้นพอแล้ว ว่าคุณมองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มองแบบกลางๆ หรือมองแบบมิตร หรือมองแบบว่าไม่ให้มันเจริญเติบโต พี่น้อง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมจะตอบให้คุณรู้สักหน่อยระหว่างแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะเชิญพ่อแม่พี่น้องออกมาต่อสู้ในเรื่องบางประเด็น กับพรรคการเมืองบางพรรคที่เรียกพ่อแม่พี่น้องออกมา สู้พวกเราไม่ได้หรอกพี่น้อง เพราะของเราคือมวลชนตัวจริง และผมจะบอกให้รู้พี่น้อง จำได้ไหมที่เวทีสระบุรี ผมบอกว่าประชาชนเริ่มแล้ว จำได้หรือเปล่า ใครที่ดูรายการอยู่ ผมพูดไม่ผิด เพราะสงครามประชาชนเริ่มจริงๆ ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าคนที่รับผิดชอบอยู่โง่ หรือแกล้งโง่ กระบวนการที่เอาฝรั่งต่างชาติมาร่วมลงลายมือชื่อ เพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 ยื่นเสนอมา 3-4 ข้อให้รัฐบาลทำ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกคดีความกฎหมายหมิ่นประมาท ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ไปปิดเว็บไซต์ไม่ให้ดำเนินคดีกับคน สามารถที่จะให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้ มีสิทธิเสรีในการวิพากษ์วิจารณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ กระบวนการแบบนี้คือกระบวนการถอดเกราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่าไปมองกระบวนการนี้เพียงกระบวนเดียวเท่านั้นเอง มันเชื่อมโยงอีกหลายกระบวนการ นายทักษิณเพิ่งให้สัมภาษณ์นิตยสารไทมส์แมกกาซีน จะตีพิมพ์เร็วๆ นี้แล้ว เพิ่งอ่านในเว็บไซต์ นายทักษิณยังพูดเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการเมือง ให้หยุดอยู่เบื้องหลังซะที พูดอย่างนี้เลย จะหมายความถึงใครไม่ได้นอกจากว่าอย่างน้อยที่สุดต้องระดับประธานองคมนตรี หรือเผลอๆ ขึ้นไปถึงข้างบนเสียด้วยซ้ำ นี่คือนัยยะนายทักษิณ แล้วนายทักษิณยังป่าวประกาศอีกในนิตยสารไทมส์ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยโสโอหังเพราะได้รับการสนับสนุนจากทหารและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นไหมมันยังพูดแบบนี้ออกมาอีก คุณเห็นหรือเปล่าพรรคประชาธิปัตย์ ทักษิณเขาเห็นอยู่แล้วคุณไปพูดให้ตายห่า คุณจะให้สุเทพพูด 10 ครั้ง ว่าผมไม่เกี่ยวกับ พันธมิตรฯ มีคดีให้ดำเนินถึงที่สุด มันก็ไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่ มันก็บอกว่าเราเป็นพวกกัน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพวกกัน ก็ผมยังกล้ารับเลย แล้วมึงทำไมไม่กล้ารับล่ะ เห็นหรือยัง พยายามทำให้เห็นว่าเหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา เพื่อความยุติธรรม แต่ไอ้ทักษิณด่าแม่คุณอยู่ในหนังสือไทมส์แมกกาซีน ว่าคุณกับผมพวกเดียวกัน แล้วยังไปเอาใจมันได้ยังไง ก็คุณก็รู้ว่าทักษิณกับเพื่อไทยก็พวกเดียวกัน เสื้อแดงก็พวกเดียวกัน ไอ้ที่มันมาด่าเรื่องของเราแล้วคุณกระโดดหนีออกมา มันทำให้เราเองก็เสียใจ เราไม่ใช่เมียเก็บคุณนะ คุณนึกจะมาเอาวันไหนก็มาเอา มีอารมณ์ก็แวะมา พอได้เป็นรัฐบาลปังก็กลับบ้านไป นุ่งกางเกงกลับบ้านแล้วก็เฮ้ย! อย่ามายุ่ง พอทีนี้เมียเก็บยั้วขึ้นมา ก็ยังสวยอยู่ มีคนต้องการเยอะ ลุกขึ้นมาทาปาก ใส่กระโปรง แต่งตัวโป๊หน่อย ออกไปเที่ยว หึงละ เริ่มหึง เริ่มหึง ออกมาด่าใหญ่เลย บอกว่า แหมพันธมิตรฯ ก็คือประชาธิปัตย์นั่นเอง ประชาธิปัตย์ทุกคนคือพันธมิตรฯ เสือกมาหึงตอนนี้ เวลามึงเอากู มึงไม่ขอบคุณกูสักคำเลย คำว่า Thank you ยังไม่มีเลยใช่ไหมพี่น้อง มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว พี่น้อง พวกเราต้องทำตัวให้มีคุณค่า ต้องมีราคาใช่ไหมพี่น้อง แล้วราคาต้องไม่ถูกด้วยใช่ไหม นี่คือความในใจของผมพ่อแม่พี่น้อง พี่น้องเชื่อใจได้เลยพี่น้อง แกนนำรุ่นที่ 1 ยกเว้น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด ทำไมต้องยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ เพราะอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เพราะอาจารย์สมเกียรติกระโดดเข้าไปในการเมืองเรียบร้อยแล้ว อาจารย์สมเกียรติมีราคีไปเรียบร้อยแล้วต้องปล่อยแกไปทางนั้น ล้อแกเล่น แต่พี่ลองของผม พี่สมศักดิ์ พี่พิภพ และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด พี่น้อง สบายใจได้ แต่จะอยู่ต่อสู้ร่วมกับพี่น้องในการเมืองภาคประชาชน และให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาของพรรคที่เป็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสภาอย่างสม่ำเสมอ เอเอสทีวีจะสนับสนุนการเมืองใหม่ พรรคการเมืองไหนที่เน้นการเมืองใหม่ ที่อยู่ในปรัชญาและอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เอเอสทีวีจะสนับสนุนหมด พี่น้องที่ไม่เห็นด้วยคิดสักนิดหนึ่ง พี่น้องบางคนบอกว่าอยู่อย่างนี้ดีแล้ว เป็นตัวถ่วง เป็นถ่วง ถ่วงดุลรัฐบาล ผมกลัวมันจะเป็นตัวถ่วงพวกเรานะเซ่ พี่น้องที่คิดอย่างนี้ลองหลับตาวาดภาพสิ ขนาดแม่งไล่ยิงพวกเราจะตายโหงตายห่า มัน (รัฐบาล) ยังไม่ทำอะไรเลยใช่ไม่ใช่ แล้วพี่น้องจะให้ถ่วงไปนานแค่ไหน จะให้พวกเราตายไปอีกกี่คน มันแกล้งเราขนาดนี้ เรายังไม่มีทางออกเลย เราไม่รู้จะไปร้องกับใคร ไม่รู้จริงๆ ไปร้องกับใครก็ร้องไม่ออก ไปแจ้งความมันก็ไม่ทำอะไร มันฆ่าเราตายไปเท่าไร วันนี้มันยังจับใครไม่ได้เลย ใช่ไม่ใช่พี่น้อง พี่น้องอย่าคิดแบบไร้เดียงสา ถ้าการเมืองมียางอาย เหมือนที่นายกฯ อภิสิทธิ์พูด ว่าถ้าเมื่อไรก็ตาม รัฐบาลมีข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ต้องลาออก ถ้ามันมียางอายอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องไปสู้ในสภา ใช่ไม่ใช่ พี่น้องอย่าไร้เดียงสา อย่ามองโลกในแง่ดีจนเกินไป ถ้าบอกว่า ถ้าผมไปสนับสนุนพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเลิกสนับสนุนผม พี่น้อง ผมไม่ห้ามพี่น้อง แต่ขอให้พี่น้องคิดให้ดีๆ คิดให้ดีๆ อย่าเอาวาทกรรมง่ายๆ ว่าถ้าคุณทำอย่างนี้ ผมจะไม่เอา ก็ขนาดนายกฯ อภิสิทธิ์ ผมยังทำความเข้าใจกับเขาได้เลยว่าเขาพูดออกมา บอกเขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพื่อให้มีโอกาสทำความดี เราก็ยังให้โอกาสเขา ใช่ไม่ใช่   พี่น้องครับวันนี้ได้ระบายความรู้สึกในใจทั้งหมด ว่าการเกิดของพันธมิตรฯ มันเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไรและก็จะเดินหน้าต่อไปด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไร ทำไมเราต้องร่วมไปต่อสู้การเมืองในสภาด้วยถึงแม้จะไม่ใช่ของพันธมิตรฯ ก็ตาม แต่ถ้าเป็นพรรคที่ยึดถือนโยบายพันธมิตรฯ พวกเราก็ต้องสนับสนุน ทำไมพี่น้องรู้ไหมว่าทำไม เพราะเราเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างน้องโบว์สองโบว์ สารวัตรจ๊าบที่เขาตายไปแล้ว เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ได้ ใช่ไหมพี่น้อง คนที่พิการ เขาบาดเจ็บ 700 กว่าคน เราต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราเดินไปอีกหลายก้าวแล้ว อย่างน้อยที่สุด ในสภาก็ต้องมีคนยกกระทู้ปกป้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่พวกเสื้อแดงได้ ใช่ไม่ใช่ จะให้เราไปประชุมเปิดเวทีไฮปาร์กได้ยังไง ร้อนก็ร้อน ฝนตกก็เปียก เรามี 2 เวที แล้วการมี 2 เวที เวทีภาคประชาชน กับเวทีการเมืองในสภา กลับเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่ามีการตรวจสอบทั้งสองฝ่ายเลย ซึ่งเราเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่มีใครหลุดรอดเร้นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เรายังจะต้องสนับสนุนคนที่จะสมัครเป็น ส.ว. ถ้า ส.ว.ชุดนี้หมดอายุไป ใช่ไม่ใช่ เมื่อเล่นแล้วต้องเล่นให้สุดๆ พี่น้อง ถูกไม่ถูกพี่น้อง จะนั่งขี้แบบขี้หักไม่ได้ ใช่ไหม ต้องระบายมันให้หมด โอ้ โทษทีพี่น้อง องค์มันลงเลยพูดนาน พี่น้องพรุ่งนี้ไปเจอกันที่โคราช และให้เกียรติพันธมิตรเราที่ช่วยเราต้องการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองแล้วเสียชีวิตในการจัดเวทีที่สุพรรณ ที่ อ.สามชุก ไปกันให้เต็มที่ที่สามชุก ไปกันให้เต็มที่เลยพี่น้อง ไปเจอกันที่สามชุก ยิ่งไปมากเท่าไหร่ เท่ากับว่าเราให้เกียรติลูกหลานเขา และให้เกียรติคนสุพรรณครับ อย่าเพิ่งกลับนะครับนะพี่น้อง ขอร้อง ไม่ใช่ผมลงจากเวทีก็ลุกกันพรึบพรับๆ พี่น้องเอ้ย พี่น้องเอ้ย พี่น้อง อย่าเพิ่งกลับพี่น้อง 000 อ้างอิง [1] สนธิลั่นมีพรรค‘พันธมิตร’ หรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์เห็นเป็นเสนียดหรือเพื่อน, ประชาไท, 5/3/2552 [2] ยามเฝ้าแผ่นดิน : ชี้เหตุ “สนธิ” ลั่นตั้งพรรค-หวังปลุกชนชั้นกลางรวมพลังสู้, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 22/8/2550 [3] สนธิลั่นมีพรรค‘พันธมิตร’ หรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์เห็นเป็นเสนียดหรือเพื่อน, ประชาไท, 5/3/2552 [4] นายกฯไฟเขียวถอนฟ้องพันธมิตรฯ, ไทยรัฐ, 4/3/52 [5] ความเห็นของสุริยะใส กตะศิลา, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และไทกร พลสุวรรณ มาจาก สับ ‘พธม.’ เสียสัตย์ริตั้งพรรค, ไทยโพสต์, 6/3/52 [6] พธม.ขอยืนข้างประชาธิปัตย์!, ไทยโพสต์, 7/3/52 [7] ‘สุเทพ’ โต้พธม. ไร้บุญคุณ, ประชาทรรศน์ 11/3/52 [8] สงค์ยุตั้งพรรคพธม.รับจองชื่อเทียนแห่งธรรม, ไทยโพสต์, 10/3/52 [9] ‘ประสงค์’ยุพันธมิตรตั้งพรรคการเมืองสู้, โพสต์ทูเดย์, 28/12/51 [10 [11] เมืองไทยรายสัปดาห์ 11 : “สนธิ” เปิดโปงงาบ 3,500 ล้านซื้อเครื่องบินขับไล่รัสเซีย แจง “รัฐบาลถังแตก”, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 10/12/48 และ ไฟล์วิดีโอ [12] [13] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ : “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ, ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5/2/49 และ ไฟล์วิดีโอ [14] [15] ยามเฝ้าแผ่นดิน : หวั่นอดีต ทรท.รวมตัวฟื้นระบอบทักษิณ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 25/8/50 และ ไฟล์วิดีโอ [16] เสียงปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านเจ้าพระยา, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 6/3/52 [17] สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552 คัดลอกโดย คุณ ณ.ณ. ใน ประชาไทเว็บบอร์ด, 18/3/52 [18] พันธมิตรฯ ประเมินเสื้อแดง สนธิท้าอยู่ให้ถึง 194 วัน ชนะแน่, ประชาไท, 26/3/52 [19] สงค์ยุตั้งพรรคพธม.รับจองชื่อเทียนแห่งธรรม, ไทยโพสต์, 10/3/52 [20] เสียงปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านเจ้าพระยา, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 6/3/52 และ “สนธิ” ย้ำแนวคิดตั้งพรรคเพิ่มเวทีต่อสู้-เตือน ปชป.อย่าเห็น พธม.เป็นเมียเก็บ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 7 มีนาคม 2552
Hit & Run
ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ  หลังการประกาศชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลังการยุบพรรค แล้วล่าถอยในวันที่ 3 ธ.ค. พอตกค่ำวันที่ 3 ธ.ค. เราจึงกลับมาเห็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แทนที่สนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ จะปราศรัยบนเวที หรือหลังรถปราศรัย ก็กลายเป็นเสวนา และวิเคราะห์การเมืองกันในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ ASTV อย่างไรก็ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พยายามรักษากระแสและแรงสนับสนุนพันธมิตรฯ หลังยุติการชุมนุมเอาไว้ โดยเขาเผยว่าจะจำลองบรรยากาศการชุมนุมพันธมิตรตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาไว้ในห้องส่ง เพื่อแฟนๆ ASTV โดยเขากล่าวเมื่อ 3 ธ.ค. [1] ว่า “พี่น้องครับ พี่น้องหลายคนอาจจะเคยชินว่า ตื่นมาตอนเช้าก็เปิดโทรทัศน์ก็จะเห็นรายการข่าวจัดโดย คุณอัญชลี ไพรีรัก จัดโดย น้องเก๋ กมลพร วรกุล และต่อมาด้วย คุณสำราญ รอดเพชร ต่อมาเรื่อยๆ ถึง คุณบัณฑิต ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตกค่ำ ก็จะมีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วงดนตรีตั้ว เสก ซูซู วงดนตรีแฮมเมอร์ วงดนตรีหลายๆ วงดนตรี พี่น้องครับ พี่น้องยังจะได้รับความเคยชินเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม ผมเห็นใจว่า ตกเย็นพี่น้องอาจจะรู้สึกหงุดหงิด ว่า เอ๊ะวันนี้ไม่มีที่ไปหรอ วันนี้เคยไปทำเนียบ มาทุกวัน วันนี้ตื่นมาตอนเย็นไม่รู้จะทำยังไง หรือว่าตกเย็นแล้วไม่รู้จะไปไหน พี่น้องครับ เราจะจำลองเหตุการณ์ที่ประท้วงข้างนอกเข้ามาสู่ห้องส่ง นับตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป หรือพรุ่งนี้ถ้าทำได้ทัน เมื่อพี่น้องตื่นเช้าแล้วเปิด ASTV ตอน 7 โมงเช้า พี่น้องจะได้พบกับ คุณอัญชลี ไพรีรัก และ น้องเก๋ กมลพร วรกุล 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า 9 โมงเช้าต่อจากนั้นถึง 11 โมงเช้า ก็จะเป็นคุณสำราญ รอดเพชร พร้อมกับนักพูดฝีปากกล้า มานั่งวิเคราะห์ข่าว ตอนเช้าฟังการวิเคราะห์เหน็บแนมของคุณอัญชลี อย่างดุเดือดเผ็ดมันและชวนฮา 9 โมงถึง 11 โมง ได้รับการฟังการวิเคราะห์ข่าวของคุณสำราญ รอดเพชร ซึ่งจะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คุณประพันธ์ คูณมี ท่านทูตสุรพงษ์ ชัยนาม ท่านทูตกษิต ภิรมย์ และหลายต่อหลายท่าน 11 โมงถึงเที่ยงจะเป็นการฉายเดี่ยวของ คุณบัณฑิต นะครับ หรือคุณต๋องของผม พิธีกรปากกล้า หลังจากเที่ยงมีการประกาศข่าว หรือว่าอ่านข่าวรอบเที่ยงแล้ว บ่ายโมงเป็นต้นไปจนถึง 4 โมงเย็น จะเป็นรายการของคุณหมี ยุทธยง และ คุณปุ้ย วศมล ช่างปรีชา คู่หูคู่ฮา บนเวทีพันธมิตรฯช่วงบ่าย 4 โมงเย็นต่อไปจนถึง 6 โมงเย็น เป็นรายการ News Hour นำโดย คุณเติมศักดิ์ จารุปาน พิธีกรที่เด็ดขาด ลึกซึ้ง พิธีกรที่เด็ดขาด ลึกซึ้ง พูนเพียบด้วยปัญญา และสติ และควบคู่กับ เก๋ อุษณีย์ เอกอุษณีย์ ต่อจากนั้นไป จะเป็นรายการ อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และต่อด้วยข่าวราชสำนัก หมดจากข่าวราชสำนัก ประมาณ 3 ทุ่ม หรือ 2 ทุ่มครึ่ง ก็จะเป็นรายการ พบกับพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เหมือนกับที่ทำเนียบ ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรผิดเลย เพียงแต่ว่า การพบแกนนำนี้ วันนี้เราจะพาแกนนำทั้ง 2 รุ่นมา ยกเว้นบางคน ซึ่งขณะนี้ ติดภารกิจที่งานศพ เพื่อมาแนะนำตัวก่อน หลังจากนั้น ทุกๆ วัน จะมีแกนนำอย่างน้อย 1 คน เข้ามาร่วมสนทนา ผู้ให้การสนทนาก็อาจประกอบด้วย คุณแอน จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ คุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ และอาจเป็น คุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ หลายๆ ท่านเข้ามาร่วม และขณะเดียวกัน แกนนำท่านอาจจะเชิญแขกผู้มีเกียรติบางท่านขึ้นมา และสนทนาให้ความรู้กัน จะเป็นเช่นนี้ไป วันจันทร์จนถึงวันอาทิตย์ไม่ขาด ยกเว้น เสาร์ อาทิตย์ ตอนบ่าย ตอนบ่ายนั้น วันเสาร์และอาทิตย์ จะเป็นรายการวาไรตี้ พี่น้องจำวงดนตรีต่างๆ จำ วง แฮมเมอร์ จำ วง เสก ซูซู จำวง คีตานชาลี วงโฮป จำลำตัดได้ไหม จำการฟ้อนรำที่สวยงาม เราจะเอานี่มาจัดเป็นรูปร่างและมาเสนอให้พี่น้องดูในวันเสาร์ตอนบ่าย และวันอาทิตย์ตอนบ่าย ต่อจากนั้น ตั้ว ของเรา ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ก็จะมีรายการของ ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ให้พวกเราชม ในวันเสาร์และวันอาทิตย์วันละ 1 ชั่วโมง” นอกจากนี้ ASTV ก็จะมีละครโทรทัศน์เป็นครั้งแรกแบบฟรีทีวีอื่นๆ โดยสนธิจะให้เป็นการกำกับโดยศรัณยู วงศ์กระจ่าง นักแสดงชื่อดังและอดีตพิธีกรเรื่องจริงผ่านจอที่ถูกถอดออกจากช่อง 7 เมื่อไม่นานนี้ หลังจากผันตัวมาเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 โดยรูปแบบจะเป็น “ละครสะท้อนความจริงในสังคมไทย จะเป็นละครสะท้อนการต่อสู้ ของพ่อแม่ พี่น้อง จะเป็นละครที่ฉีกแนวออกจากละครน้ำเน่าของทุกๆ ช่อง จะเป็นละครที่ให้สาระ จะเป็นละครที่ให้อุดมการณ์ จะเป็นละครที่เน้นเรื่องศรัทธา เน้นเรื่องความเชื่อมั่น และเน้นในเรื่องความเพียรที่จะทำความดีให้กับสังคมไทย” สนธิออกตัวในรายการว่าการสร้างละครต้องใช้เงินเยอะ แต่เขาบอกว่าได้ยืนยันกับศรัณยูแล้วว่า “ไม่ต้องห่วง ทำไปก่อนเถอะแล้วเงินมันจะมา สปอนเซอร์มันจะมา จะเป็นละครเรื่องเดียว และเจ้าเดียวในประเทศไทยที่จะมีคนโทรศัพท์มาบริจาคสมทบทุนการสร้างละคร”   สนธิยังกล่าวว่า ASTV “ไม่ใช่โทรทัศน์ฟรีทีวีผ่านดาวเทียมอีกต่อไปแล้ว แต่ ASTV นั้นเป็นฟรีทีวีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เป็นเจ้าของ” และ ASTV จะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อเป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อจะโยงใยพี่น้องทุกๆ ภาค และดูเหมือนว่าผู้ชม ASTV จะมีภารกิจที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือต้องบริจาคเป็นประจำเพื่อให้ ASTV อยู่ได้ด้วย โดยสนธิกล่าวว่า “พี่น้องครับ คนดู ASTV มีกว่า 15 ล้านคน พี่น้องครับ ASTV อยู่ได้ เพราะแรงใจ แรงบริจาคของพ่อแม่พี่น้อง ถ้าพ่อแม่พี่น้องต้องการจะเก็บ ASTV เอาไว้เพื่อเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้อง เพื่อเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ที่กล้าให้ความจริงกับพ่อแม่พี่น้อง และ ASTV เท่านั้น ที่นำพาพี่น้องและให้พี่น้องเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันกู้ชาติครั้งนี้ และกู้ได้สำเร็จเกือบจะหมดแล้วตอนนี้ ก็เพราะว่าเรายึดมั่นในการขายความจริงโดยไม่กลัวภยันอันตรายทั้งสิ้น พี่น้องครับ ไม่ได้เป็นการมาขอเงินขอทองพ่อแม่พี่น้อง แต่ว่าการสนับสนุนของพ่อแม่พี่น้องเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะว่า ASTV ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะพ่อแม่พี่น้อง” 000 การประกาศยุติการชุมนุม โดยอ้างว่าได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการต่อสู้อันได้แก่ 1. คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 2. ขับไล่รัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิด เพื่อนำไปสู่การเมืองใหม่ ทั้งที่ คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค ไม่ได้ทำให้สภาพของรัฐบาลที่พันธมิตรฯ ขับโค่นสิ้นสุดลงอย่างฉับพลันทันที บรรดานักการเมืองที่รอดตายจากดาบของ ตลก.ศาลรัฐธรรมนูญก็พร้อมไปเข้าร่วมพรรคใหม่ และหากไม่มี ‘สัญญาณแทรก’ พวกเขาก็พร้อมกลับมาตั้งรัฐบาลในนามพรรค ‘เพื่อไทย’ ทั้งที่ กระแสสังคมที่กดดันและประณามพันธมิตรตลอดการชุมนุม 193 วัน และกระแสนั้นก็ดังขึ้นและชัดเจนขึ้นหลังปิดสนามบินสุวรรณภูมิ สภาพเงื่อนไขเช่นนี้ ก็ห่างไกลที่พันธมิตรฯ จะสามารถเอาชนะขั้วพลังประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนสามารถสถาปนาการเมืองใหม่ได้ ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าตลอด 193 วัน พันธมิตรฯ ยังห่างไกลจากการบรรลุวัตถุประสงค์ของการต่อสู้ที่พวกเขาตั้งไว้ก่อนหน้านี้ คำประกาศชัยชนะก่อนยุติการชุมนุมจึงเป็นเพียงคำปลอบใจมวลชนที่อ่อนล้าจากยุทธการ ‘ม้วนเดียวจบ’ และ ‘สงครามครั้งสุดท้าย’ ระหว่างพันธมิตรฯ V.S. รัฐบาล คงไม่ยุติศึกเพียงเพราะคำสั่งยุบพรรคแน่นอน ดังนั้น การประกาศยุติชุมนุม ตามมาด้วยการ ‘จำลองม็อบ’ ไว้ใน ASTV จึงไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นการเปลี่ยนยุทธวิธีการเคลื่อนไหว หลังจากบอบช้ำจากการใช้ยุทธวิธีชุมนุมกดดันกลางถนน จนถูกสังคมประณาม และลดการสูญเสียจากการถูก ‘กองกำลังไม่ทราบฝ่าย’ จองกฐินด้วยการถล่มแบบรายวันจนเกิดบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนถอยจากทำเนียบแทบไม่ทัน ยุทธวิธีต่อสู้ด้วยการ ‘จำลองม็อบ’ ไว้ใน ASTV แทนการชุมนุมจริง จึงเป็นการลดเสียงต้านพันธมิตรฯ ที่เกิดจากการชุมนุมกดดันบนท้องถนน หรือยึดสถานที่ราชการ และลดการบาดเจ็บล้มตายจากการถูกจองกฐินจาก ‘กองกำลังไม่ทราบฝ่าย’ ที่สำคัญคือเป็นการกลับมาทำสงครามในสมรภูมิ ‘สื่อ’ ที่สนธิมีความถนัดกว่าสมรภูมิ ‘การชุมนุม’ ที่จำลองมีบทบาทเด่น และในสมรภูมิสื่อนี้เองสนธิจะสามารถกุมสภาพการนำได้เหนือกว่าแกนนำคนอื่นๆ ผ่านการทำสงคราม ‘สื่อ’ และวางผังรายการ ASTV ที่ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของ การชุมนุมอยู่หน้าจอ ยังถนอมกำลังมวลชนของพันธมิตร ที่เหนื่อยล้าตลอดการชุมนุมบนท้องถนน 193 วัน โดยสามารถใช้ ASTV หล่อเลี้ยงข้อมูลให้กับผู้สนับสนุนพันธมิตรได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และเมื่อมีเงื่อนไขที่เหมาะสม แกนนำก็สามารถใช้ ASTV ระดมพลเพื่อออกมาเคลื่อนไหวทุกเมื่ออาจมีคำถามว่าการ ‘จำลองม็อบ’ จะรักษากระแสการต่อสู้ของพันธมิตรในระดับที่เข้มข้นอย่าง ‘ม็อบจริงๆ’ ได้อย่างไร คำตอบที่ต้องไม่ละเลยก็คือ การก่อตัวขึ้นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้มีองค์ประกอบเพียงการชุมนุมในพื้นที่จริงเท่านั้น แต่พื้นที่ข่าว ที่ได้รับการหนุนเสริมโดย ASTV และหนังสือพิมพ์ในเครือทั้งรูปแบบสิ่งพิมพ์ออนไลน์ ก็ช่วยรักษารูปมวยของการต่อสู้ไว้ด้วย ที่ผ่านมา ASTV ก็มีบทบาทเชิงรุกสำหรับการชุมนุมด้วยซ้ำ ทั้งการถ่ายทอดสดการชุมนุมตลอด 24 ชั่วโมง และถ่ายทอดสดทุกวันยาวนานกว่า 193 วัน และมีการใช้ ASTV นัดหมายสถานที่ๆ ผู้ชุมนุมในแต่ละจังหวัด ในแต่ละอำเภอสามารถไปรวมตัวกันที่นั่น แล้วเดินทางเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ แบบ “เต็มออก เต็มออก” ฯลฯ ทำให้ ASTV เสมือนเป็นเวทีปราศรัย เป็นรถบัญชาการการชุมนุมแห่งที่สองของพันธมิตรฯ แบบที่สนธิเคยพูดเปรียบเทียบเมื่อ 29 พ.ย. ว่าการรักษา ASTV ก็เหมือนการรักษาที่มั่นอย่างทำเนียบรัฐบาล หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ โดยในวันนั้นเองที่เขาบัญชาการการชุมนุมมาจากห้องส่ง ASTV เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพันธมิตรที่ทำเนียบ-ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ รักษาพื้นที่ด้วยชีวิต ถ้าจำเป็นก็ต้องหลั่งเลือด ชนิดที่ว่า “ถ้าบุกเข้ามา ถ้ายิงเรา เราก็ยิงสวนกลับไป” [2] 000  สถานการณ์การเมืองไทยช่วงนี้จึงเป็นเพียงการพักรบชั่วคราวเท่านั้น หลังจากช่วงเวลาของวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านพ้นไป จึงต้องจับตาว่าสนธิ ลิ้มทองกุลและแกนนำที่จะไปจัด ‘จำลองม็อบ’ ผ่าน ASTV นั้น วันดีคืนดีพวกเขาจะบัญชาการพ่อยกแม่ยกผ่านทางโทรทัศน์ นัดหมายให้ไปปฏิบัติการตามแนวทาง ‘อารยะขัดขืน’ หรือ ‘ดาวกระจาย’ หรือ ‘ม้วนเดียวจบ’ หรือไม่ เมื่อนั้นจะได้เห็นว่าการ ‘จำลองม็อบ’ ผ่าน ASTV จะเป็นอาวุธที่รัฐบาลต้องครั้นคร้าม ประชาชนต้องเอือมระอา แบบการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรเฟส 2 หรือไม่ หรือเป็นแค่ ‘Group Psychotherapy’ ของลุงๆ ป้าๆ นักรบมือตบ และนักรบศรีวิชัยผู้เสพติดการ ‘มาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ’   อ้างอิง [1] “สนธิ” เชิดชูวีรชนกู้ชาติ-ย้ายกิจกรรมชุมนุมสู่จอ ASTV, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 3 ธ.ค. 2551 21:53 น http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000143170 [2] สนธิสั่งมวลชนยอมหลั่งเลือด พิทักษ์ทุกฐานที่มั่น, ประชาไท, 30 พ.ย. 2551 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14681
หัวไม้ story
จับตาการเดินทัพของพันธมิตรฯ จากคำปราศรัยของแกนนำชื่อ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ หลังประกาศทบทวนแนวทางสันติวิธี ระบุแกนนำทั้งหลายไม่กลัวตาย “แต่ถ้าพวกเราบางคนจะต้องตาย พี่น้องสัญญาอย่าง ต้องให้แผ่นดินนี้ ลุกขึ้นเป็นไฟให้ได้”