Skip to main content
แสงดาว ศรัทธามั่น
เดินทัพทางไกลไปตามทาง ‘พะโด๊ะ มานซาห์’Long March with “Pado Manza Lapha” ‘พะโด๊ะมาซา ลา พา’หัวใจจิตวิญญาณ์ท่านสะอาดสดใสต่อสู้เพื่อวิถีชีวิตแห่งพี่น้องชนเผ่าเต็มหัวใจเพื่อชีวีงามอำไพ ตราบนิรันดร์
ที่ว่างและเวลา
ภู เชียงดาวพะโด๊ะ มาน ซาห์อดีตเลขาธิการสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง กี่ชีวิต…ที่เคว้งคว้างกลางป่ากี่ร่างที่ผวาลอยละลิ่วลับดับสูญนี่คือผลพวงของสงครามนี่คือการกระทำของศัตรูผู้โหดเหี้ยม ผู้บาปหนาและน่าละอายที่คอยกดขี่ข่มเหง เข่นฆ่า ผู้คนหญิงชาย, บริสุทธิ์ผู้รักสันติและความเป็นธรรมเถิดไม่เป็นไร...เราจะไม่ทุกข์ ไม่ท้อใบไม้ใบหนึ่งถูกปลิดปลิวร่วงหากบนก้านกิ่งนั้นยังคงมีใบอ่อนแตกใบให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังคงมุ่งมั่นกันอยู่ใช่ไหม นักรบผู้กล้ากับความฝัน ความกล้าในแผ่นดิน ‘ก่อซูเล’ปลุกเร้าจิตวิญญาณเพื่อสืบสานตำนานการต่อสู้เพื่อรอวันทวงคืนผืนแผ่นดินเกิดยังจำกันได้ไหม...ในวันปฏิวัติชนชาติกะเหรี่ยงคำประกาศของพะโด๊ะ มาน ซาห์ ยังกังวานก้องอยู่ในความรู้สึก“นี่คือการปฏิวัติเพื่อประชาชนกะเหรี่ยง เพื่อปลดปล่อยตนเองจากการเป็นทาส ดังนั้นประชาชาติกะเหรี่ยงจึงเข้าร่วมในหนทางปฏิวัตินี้” ยังจำกันได้ไหม...ซอ บา อู คยี (Saw Ba U Gyi) นักรบผู้กล้าเคยบอกย้ำ...เฝ้าบอกพี่น้องให้เดินตาม ‘แนวทางทั้ง 4’ “หนึ่ง อย่าเอ่ยถึงการยอมจำนน สอง อาวุธของชาวกะเหรี่ยงต้องอยู่ในมือประชาชนกะเหรี่ยง สาม เราต้องพัฒนาประเทศกะเหรี่ยงให้สำเร็จให้จงได้ สี่ ชาวกะเหรี่ยงเท่านั้นที่กำหนดอนาคตของชาวกะเหรี่ยง”พี่น้องเอ๋ย...เราคือกะเหรี่ยง เราคือปว่าเก่อญอ  เราคือคน !จงจดจำคำของซอ บา อูคยี นั้นไว้จงจดจำคำของพะโด๊ะ มานซาห์ นั้นไว้…สามัคคีกัน จับมือกัน ไม่ทรยศต่อกันเท่านั้นหนทางปฏิวัติจึงจะสำเร็จ และประเทศชาติกะเหรี่ยงจักบังเกิดและเป็นจริงได้ !!เขียนขึ้นเนื่องในงาน รำลึกถึงการจากไปของ พะโด๊ะ มานซาห์ เลขาธิการสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ภาพประกอบจาก http://www.kwekalu.net/
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”ให้เต็มเปี่ยมคุณค่าความเป็นคน !“ความเท่าเทียม ใช่มาจากประกาศิตเบื้องบนหากเราได้มันจากผลของการต่อสู้ !!” ** ถ้อยคำของหญิงนักรบของขบวนการซาปาติสตา ของชาวพื้นเมืองในเม็กซิโกเขียนขึ้นด้วยแรงบันดาลใจหลังอ่านบทความของ ‘ภัควดี วีระภาสพงษ์’  : 8 มีนาคม วันสตรีสากล          ในหนังสือเนื่องในวันสตรีสากล,กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ,มี.ค.2551ที่มาภาพ www.psunews.net/409200713333.jpg www.oknation.net/blog/home/blog_data/145/6145/images/Zapagirlrgb.jpg
แสงดาว ศรัทธามั่น
ที่ รั ก ... โ อ้ ... My Belovedเก็บ กอด รั ก ที่ ง ด งา ม แห่งเราไว้ใน ค วา ม ท ร ง จำ... ฉั น ข อ โ ท ษถ้า เ ธ อ ถามไถ่ และ เ ธ อ โทรฯฉั น มิได้ตอบรับสายฯฉันขอโทษ... โปรดอย่าได้เคืองโกรธ ฉั น เลยโ อ ... My Beloved !!!เ ธ อ เห็นไหม?ตะวัน เดือน ดาว ยังคงสาดฉายผีเสื้อ แมลงปอ หิ่งห้อย งามพริ้มพราย เริงรำร่ายดวงใจแห่ง รั ก เรียงรายรำร่ายฟ้อน..." ชี วี ชี วา แห่ง รั ก ง ด งา ม แล้ว !!..... โ ป ร ด อ ย่าไ ด้ โ กรธ เคือง ฉั น เลยโ อ้... My Belovedโ อ ... เก็บกอด รัก แห่งเราผองไว้ในความทรงจำอันงดงามตราบนิรันดร์แสงดาว ศรัทธามั่นปลายฤดูหนาวที่มีฝนพรำ , 26 กพ. 51บ้านร้านขายเนื้ออิสลามช้างคลาน เชียงใหม่ 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แล้วในที่สุดก็ถึงวันนี้วันที่อดีตท่านนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินไทยเที่ยวที่ ที จี 603 ที่ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 09.40น.ของวันที่ 28 ก.พ. เพื่อกลับมาต่อสู้คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดา ที่ท่านตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ท่ามกลางความดีอกดีใจของฝ่ายที่สนับสนุนที่พากันไปต้อนรับอย่างเอิกเกริก และท่ามกลางความตึงเครียดของฝ่ายคัดค้าน ที่เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ออกมาประปรายถึงแม้การยอมรับกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในสังคมของอดีตท่านนายกฯ จะเป็นคำตอบเดียวที่ดีที่สุดที่สังคมทุกฝ่ายอยากจะเห็น แต่ก็ยังมีคนเกรงกลัวและหวาดระแวงอยู่เพราะอดีตท่านนายกฯผู้นี้ เราต้องยอมรับความจริงกันว่า ท่านเป็นผู้นำของประเทศคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ( หรืออาจจะเป็นคนแรกของโลก ) ที่ถูกปฏิวัติรัฐประหาร และลี้ภัยอยู่นอกประเทศ นอกจากจะไม่มีใครสามารถทำลายท่านให้ย่อยยับแบบไม่ให้ผุดให้เกิดเหมือนคนอื่นๆ แล้ว  ท่านยังสามารถกลับคืนบ้านเมืองมาต่อสู้กับคดีความผิดและข้อกล่าวหาที่ท่านบอกกับสังคมว่า ตัวท่านและครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างสง่างาม และน่ามหัศจรรย์ราวกับปาฏิหาริย์ปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่นี้จึงเป็นที่ร้อนๆ หนาวๆ ของฝ่ายที่คัดค้าน ที่หวาดหวั่นว่าจะมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ คุณหมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสผู้ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองเสมอมา ได้แสดงความเห็นในเชิงชี้นำให้กับสังคมทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรักหรือเกลียดคุณทักษิณ  ฝ่ายที่วางตัวเป็นกลางไม่รักไม่เกลียด รวมทั้งฝ่ายที่ไม่เอาไหนเลย หรือเอายังไงก็ได้ทั้งนั้น เพราะพวกเขาต่างปลงตกและคิดว่า...บ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของพวกเขาเสียแล้ว-เอาไว้ว่า“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลที่มีทั้งคนรักและไม่รักเป็นจำนวนมาก จนเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่ แบ่งแยกคนในสังคมไทย ดังนั้นสังคมจะต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน นำไปสู่ความแตกแยกที่รุนแรง แม้แต่ละฝ่ายจะทะเลาะกันก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ใช้สันติวิธีแก้ปัญหา...”
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด แต่มีปฏิภาณไหวพริบฉับไวมาก และไม่มีผิดพลาด พูดสั้นๆย่อๆแต่อมความหมายไว้อย่างสมบูรณ์ คำพูดของท่านแต่ละประโยคมีความหมายและเนื้อหาจบสิ้นลงโดยสิ้นเชิง เหมือนหนึ่งสะกดจิตผู้ฟังหรือผู้ถาม ให้ฉุกคิดอยู่เป็นเวลานาน แล้วก็ต้องใช้ความตริตรองด้วยปัญญาอย่างลึกซึ้ง”เมื่อผมได้อ่านบันทึกธรรมะสั้นๆร้อยกว่าเรื่องของหลวงปู่ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งธรรมะแบบธรรมดา แบบชวนขบขัน และแบบสัจธรรมล้วนๆ  ผมก็เห็นคล้อยตามที่ พระโพธินันทมุนี ได้เกริ่นกล่าวเอาไว้ ไม่เชื่อคุณลองชิมอ่านตัวอย่างที่ผมคัดมาดังต่อไปนี้
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้  ผมกลับยืนมองด้วยความเพลิดเพลิน  ยิ่งท้องฟ้าเป็นสีฟ้า  ยิ่งไม่รู้สึกเสียดายฟิล์ม(ผมยังอยู่ในโลกย้อนยุคอันอุดมไปด้วยฟิล์มสี  ตอนนี้ราคา 95 บาทต่อม้วน  ค่าล้าง 30 บาท/ม้วน  ค่าล้างรูปขนาดจัมโบ้ 5 บาท/รูป  หักลบคูณหารภาพเสีย  ภาพไม่ได้ใช้งานบ้าง  ก็ยังต้องยอมใช้ฟิล์มสีถ่ายรูปอยู่ดี  ล้างอัด  อัดแล้วซื้อฟิล์มม้วนใหม่อีกครั้ง ..)
ที่ว่างและเวลา
เรื่อง/ภาพโดย วัชระ สุขปาน ลำธารสีเทา ขัดเงา จนเกิดริ้วสีเงิน ฝูงปลาพลิกพลิ้วตัว สะท้อนแสงกลับไปบอกเวลากับดวงอาทิตย์
ผักกูดอ่อน ยอดใบบอน ยอดผักหนาม ฟ้อนอรชรอยู่ริมคุ้งน้ำ ถ้ายังไม่มีใครไปเก็บ ก็จะเป็นสุมทุม ที่วัวควายชอบซุ่มตัวต้นไม้ล้มขวางลำธารโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะธรรมชาติ ก็พอเป็นสะพานใช้ข้ามไปถึงเขียงนา ก็ยังมีขนุน มะม่วง ส้มโอ ถั่ว ข้าวโพดสาลี พริก มะเขือ และพืชผักๆ ฯลฯ ให้ได้เห็น และเก็บกินก่อไฟ ต้มน้ำชา นั่งสนทนา และ บ้างเคี้ยวเมี่ยง สูบยาขี้โย
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ เพื่อให้น้ำมันซึมลงใต้ผิวหนัง คำบอกเล่าเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมดาในน้ำเสียง แต่ฉันสิ ที่เป็นฝ่ายสะท้อนใจ...จะอีกสักเท่าไหร่กันหนอ จึงจะพอเรื่องของน้ำ น้ำมัน และหนี้สิน ดูเหมือนจะมีสาเหตุมาจากการขาดน้ำเสียงขุดเจาะน้ำบาดาลที่ดังกึงๆ เงียบลงแล้ว ช่างเจาะบอกว่าเจอหินที่แข็งมาก มันเป็นหินทรายที่ใช้ลับมีด ฉะนั้น บ่อน้ำบาดาลของฉันอาจจะมีความลึกได้แค่เพียง 30 เมตร และน้ำจับที่ระดับ 21 เมตร โอ...คุณพระช่วย ฉันไม่อยากคิดถึงปริมาณน้ำที่ยังไม่ได้ทดลองสูบขึ้นมาดูว่าจะไหลมากน้อยและสม่ำเสมอแค่ไหน
แสงดาว ศรัทธามั่น
“ความรักคือการให้”เป็นดวงใจ สะอาดพิสุทธิ์ สดใสสรวงสวรรค์แห่งรักย่อมเริงระบำงามเรืองไรเพียงเราไซร้  อย่าไร้ซึ่งชีวิตจิตวิญญาณ์เรื่อง…รัก เรื่อง Sex ...ฤา? คือสามัญธรรดาไร้ชนชั้นเพียงหัวใจนั้นรู้รักโลกชีวีกันเถิดหนาเมื่อกลองดวงใจร่ำรัวร้องดังขึ้นบ่งบอกชีวาจึงบรรลุธรรมว่า...โลกเอกภพจักรวาลนี้ ล้วนมีรัก...จักดำรงรัก...ส่วนตน+ส่วนตัว...หรือรักโลกแสงแดด-สายลมโชยโบยโบกหวานฉ่ำนักผีเสื้อ-แมลงปอเริงระบำบทเพลง พริ้มทายทักชีพชีวันจึงประจักษ์ว่าโลกนี้ยังงดงาม!Oh…My BeLoved!...ศานติภาพแห่งรักมนุษยชาติตระหนักว่ารักนี้งามวาบหวามเถิด โอบกอดรักกันไว้ทั่วเขตคามนิยามรักย่อมยั่งยืนนาน-งดงามเป็นนิรันดร์...We Love You!ต้นฤดูหนาว ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑บ้าน “น้ำใส-สวนงาม” บ้านวัชรียา + ธารรพีอ.สันทราย ต.ป่าไผ่ ,ล้านนาอิสรา, เจียงใหม่ภาพประกอบ ธารรพี  ชมพูพร ศิลปิน+กวี จากดินแดนด้ามขวานด่านใต้ ผู้มาปักหลักฐานที่มั่นอยู่เจียงใหม
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก และพบจดหมายฉบับหนึ่งพับวางอยู่ในกล่องกระดาษนั้น เธอจึงหยิบออกมาคลี่อ่านทันทีคุณครับลูกหมาตัวนี้ เป็นลูกหมาที่ผมรักและสงสารมันมาก ผมพบมันเดินสะเปะสะปะอยู่ที่กองขยะข้างถนน เข้าใจว่าคงจะมีคนเอามาปล่อยทิ้งไว้ ผมจึงอุ้มเอามันไปอาบน้ำและเลี้ยงไว้ในกระท่อมสัปรังเคของผม เพราะสงสารมัน แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ผมคงไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงดูมันให้ดียิ่งไปกว่านี้ได้เพราะผมเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้จำกัดจำเขี่ย มีชีวิตลุ่มๆดอนๆอดๆอยากๆอดมื้อกินมื้อ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะพอเลี้ยงดูมันได้ แต่ถ้ามันตัวโตและกินจุมากขึ้น ผมคงไม่สามารถแบ่งข้าวปลาอาหารให้มันกินได้อิ่มทุกวัน แล้วในที่สุดชีวิตของมันก็คงพลอยลำบากไปกับผมด้วย หรือถ้ามันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ผมก็คงไม่มีปัญญาพามันไปหาหมอ เพราะแม้แต่ตัวผมทุกวันนี้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหากอาการไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ ผมก็มักจะอดทนปล่อยให้มันหายไปเอง เพราะบ่อยครั้ง อย่าว่าแต่ค่าหยูกยาเลย แม้แต่ค่ารถจะออกไปหาหมอก็ยังไม่มีผมแอบสังเกตดูคุณมานาน นอกจากคุณจะมีฐานะเป็นผู้มีอันจะกินแล้ว คุณยังเป็นคนใจบุญสุนทานด้วย เพราะผมเห็นคุณตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน ผมจึงขอมอบมันไว้ให้คุณเลี้ยงดู เพราะเชื่อว่าคุณจะต้องเลี้ยงดูมันได้ดีและมีความสุขมากกว่าคนจนๆหาเช้ากินค่ำอย่างผม ที่มีให้มันได้แค่ใจรักและสงสารมัน เท่านั้นเองขอบคุณครับ ..................  ครับเรื่องที่ผมเขียนจากความทรงจำเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้อ่านมานานแสนนานแล้ว จากจุลสารเล่มเล็กๆของมูลนิธิอะไรสักอย่าง ผมก็จำไม่ได้แล้ว รวมทั้งผู้เขียนด้วย แต่เรื่องนี้กลับฝังลึกอยู่ในใจผมไม่รู้ลืม มีเหตุให้คิดถึงคราวใด ก็นึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำในคราวนั้น อาจเป็นเพราะว่าชีวิตของผม เคยพบปะแต่เรื่องรักๆใคร่ๆแบบผูกพันกันเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แบบละครน้ำเน่าที่น่าขยะแขยงในจอทีวี ชึ่งวันๆไม่เคยคิดอะไร นอกจากคอยหึงหวงตบตีแย่งผัวแย่งเมียกัน ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะเรื่องรักชั้นดีที่งดงามและสูงส่งแบบนี้ เรื่องนี้จึงอยู่ในใจผมไม่รู้ลืมมาตลอดชีวิต. 13 กุมภาพันธ์ 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่