Skip to main content
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน  เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น  ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้ ท่านอาจารย์ รวี ภาวิไล กลับแสดงความเห็นเอาไว้ในบทความชิ้นหนึ่ง ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “ความสงัด” เอาไว้ว่า ในฐานะชาวพุทธ เราไม่ควรจะทำอย่างนั้น แต่ควรพยายามช่วยกันระงับการทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทกันระหว่างปัจเจกชนกับปัจเจกชน หรือระหว่างสังคมกับสังคม ถ้าเราสามารถทำได้
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือกลิ่นเหม็นเน่าของน้ำทิ้งจากโรงงานน้ำตาล ที่ลอยมาไกล มองไม่เห็นต้นทางแหล่งที่มาฉันทำใจกับโลกใบนี้แล้วล่ะ..หันไปทางไหนก็ล้วนแต่มีปัญหาจากน้ำมือคน
ภู เชียงดาว
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเรียงความ เรื่องวันเด็ก ของ ด.ช.ภูภู่ มาให้ แถมยังย้ำบอกอีกว่าต้องอ่าน อืมม...ใช่ พออ่านแล้วฮาเลยนะครับ ผมว่าอารมณ์ขัน แสบ มัน ฮา อย่างนี้ น่าจะเขียนส่ง ต่วยตูน นะเนี่ยไม่รู้ว่าใครได้อ่านกันหรือยัง ขออนุญาตนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้แล้วกันครับ...ขอย้ำ- -โปรดเขย่าอารมณ์ขันก่อนอ่าน...
แสงดาว ศรัทธามั่น
คืออาจารย์ ..”อานันท์  กาญจนพันธุ์”งามรังสรรค์จิตวิญญาณมิเคยหลอกลวงลื่นไหลสู้เพื่อโลกชีวิตเพื่อความเป็นไทสู้ด้วยหัวใจเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน แห่งชีวี...เป็นนักคิดนักเขียน นักวิชาการกล้า แกร่ง หาญ นั้นเหลือที่พร้อมรำฟ้อนสู้เพื่อพี่น้องชนเผ่า ณ ปฐพีแล สู้ เพื่อ ผู้ถูกกดขี่... นิรันดร์ไป“ของหน้าหมู่” คือวิถีชีวิตของส่วนรวมโลกบวมบิดเบี้ยวก็ด้วยเพราะจิตวิญญาณมิเคยหยิบยื่นให้มี อวิชชาบ้าบอดในหัวใจ จึ่งทำลายโลกชีวิตธรรมชาติ พินาศพลัน...อาจารย์”อานันท์”และผองเพื่อนนักวิชาการจึงเหิญหาญ มิดูดายร่วมสร้างสรรค์ร่วมคิด – ร่วมรบ – ร่วมสู้ – ร่วมผูกพันโอ.. โลกเอกภพจักรวาล พร้อมใจกัน...อวยพรชัยให้วิถีชีวันแกร่งชีพงาม!ด้วยคารวะ + พลังใจอ้ายแสงดาว  ศรัทธามั่น ประพันธ์ในนาม  เพื่อนพ้อง น้อง พี่  คราจัดงานวิชาการ  มุทิตาจิตแด่..อาจารย์อานันท์ฯต้นฤดูหนาว 5 มกราคม 2551 ล้านนาอิสระ  เจียงใหม่“ของหน้าหมู่” เป็นคำศัพท์ของอาจารย์อานันท์ฯ หมายถึงสถานที่ส่วนรวม ที่ชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ดิน น้ำ ป่า ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ 
ที่ว่างและเวลา
‘ลีนาร์’ “ยามเมื่อเราต่างพูดถึงความสุข จะเกิดพลังขึ้นและสร้างคุณค่าขึ้นมาได้”คำกล่าวจากใบหน้ายิ้มแย้มของ ลิซ่า คาเมน เจ้าของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง H-FACTOR: where is your heart? ที่เธอและลูกสาวสำรวจธรรมชาติของความสุขของผู้คนข้ามทวีปผ่านคำถามง่าย ๆ ‘ความสุขของคุณคืออะไร’ย้อนไปในวันหนึ่ง ขณะที่ลิซ่าปั่นจักรยานผ่านตอนเหนือของประเทศอินเดีย เธอฉุกคิดขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้ชาวอินเดียจะแสดงออกถึงความสนุกและความสุขอย่างแท้จริงท่ามกลางความอัตคัดขัดสนที่ยังคงดำเนินอยู่ในเวลานั้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของหัวข้อหลักของสารคดีซึ่งเธอและเคย์ล่า ลูกสาววัย 9 ขวบของเธอ ร่วมกันแบกกล้องค้นหารูปแบบความสุขของผู้คนหลากหลายเพศ วัย อาชีพ และสถานะ จากทั่วอินเดียจนถึงสหรัฐอเมริกา โดยมีเวลาให้แต่ละคนเพียง 60 วินาทีที่จะตอบคำถามนี้ออกมาอย่างอิสระ ซึ่งหลายคนยอมรับว่าไม่เคยปล่อยให้คำถามนี้เข้ามาในความคิดตัวเองเลยแม้ครั้งเดียว และคำถามหนึ่งคำถามนั้นก็นำมาซึ่งหลายคำตอบ ด้วยอิสระทางความคิดของผู้คนทำให้เราสามารถมองเห็นความสุขในหลาย ๆ แง่มุม มีคนจำนวนมากที่สามารถหาความสุขได้จากรอบ ๆ กาย โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ เพียงแต่ปล่อยให้อะไรต่าง ๆ คงอยู่ในแบบนั้น มีหลายคนที่ตอบว่ามีความสุขเพราะได้ทำให้คนอื่นยิ้มหรือหัวเราะ การได้พูดคุย ท่องเที่ยว สร้างสัมพันธไมตรีกับผู้อื่นหรือได้อยู่ใกล้คนที่รัก ทั้งพ่อ แม่ พี่ น้อง และคนรัก ก็เช่นเดียวกัน มีจำนวนมากที่ชี้ไปหาคนใกล้ตัวและบอกว่านี่คือความสุขที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ รวมถึงการได้ทำสิ่งที่รักด้วยเช่นกันศาสนาก็เป็นอีกหนึ่งหนทางของผู้คนที่นิยามความสุขเป็นความสงบที่ได้จากการพูดคุยกับพระเจ้า รวมถึงการเข้าใจหลักธรรมและปฏิบัติตาม เพื่อเป้าหมายทั้งความสงบในจิตใจและเป้าหมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติหน้าก็ตามมีจำนวนไม่น้อย ที่ตอบว่าความสุขคือการมีเงินมาก ๆ เพื่อนำไปปลดเปลื้องทุกข์จากความยากจน ความลำบากต่าง ๆ ซึ่งคงทำให้ความสุขแท้จริงเกิดขึ้นได้ในชีวิตของพวกเขานักจิตวิทยาคนหนึ่งบอกว่า เงินซื้อความสุขได้ หลายคนคงเถียงคำพูดนี้ เพราะเราต่างเคยได้ยินว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่นักจิตวิทยาก็บอกเพิ่มว่า นั่นเป็นเพียงความสุขระยะสั้น ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ในสภาพสังคมทุกวันนี้ที่การดำรงชีวิตอยู่มีเงินมาเป็นส่วนหนึ่ง และก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตใครหลายคนจริง ๆ นอกจากความสุขที่หาได้จากรอบ ๆ ตัวแล้ว ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความสุขเกิดจากข้างใน ความสุขที่ไม่ต้องสร้างแรงบันดาลใจจากที่ไหน แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปและอยู่ร่วมกับทุกสิ่งได้ ความสุขก็จะบังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหลายครั้ง ที่เราอาจคิดว่าหากมีหรือไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้เราก็จะมีความสุข เช่น “ถ้าเรามีบ้าน มีลูก มีครอบครัว ได้ท่องเที่ยวรอบโลก ก็คงจะมีความสุขนะ”   สิ่งเหล่านี้ ทั้งนักจิตวิทยาและพระที่ ลิซ่าสัมภาษณ์กล่าวว่า การคิดในรูปแบบนี้จะสร้างความคาดหวังให้กับตัวเอง และยามเมื่อยังไม่บรรลุผลตามที่ต้องการ ความสุขก็ยังไม่อาจเกิดขึ้น แม้จะเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่แน่นอนว่าจะทำให้เกิดความสุขได้ตลอดไปหรือไม่ ดังนั้น ความคิดว่า “ถ้าเรามี” หรือ “ถ้าเราไม่มี” จึงเป็นการสร้างทุกข์ให้ตัวเองมากกว่าเดิมพูดง่าย ๆ ก็คือ หากเราพยายามมีความสุข เราก็ไม่อาจมีได้อย่างแท้จริง เพราะการคาดหวังนี้ หากเราผิดหวัง หรือยังไม่ได้ตามที่ต้องการ เราก็ยังไม่มีความสุขเสียที และไม่แน่ว่าเมื่อเราได้อย่างนั้นแล้ว ความสุขจะเกิดขึ้นกับเราและคงอยู่ตลอดไปดังนั้น เราควรปล่อยให้อะไรต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีชีวิตร่วมกับสิ่งเหล่านั้น หรือที่ภาษาอังกฤษบอกว่า “Let it be” นั่นเองนอกจากภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ลิซ่ายังเปิดโอกาสให้คนทั่วโลกได้ถ่ายทอดและแบ่งปันความสุขกันผ่านเว็บไซต์ www.whatisyourhappiness.com เพราะเธอถือว่ายังคงมีความสุขมากมายหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ เพียงแต่เราต่างมองไม่เห็นเท่านั้นเอง 
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต หยาดเหงื่อที่ไหลหลั่งช่วยชะล้างความหมักหมมแห่งการงาน และแผ่นหลังล้าหนัก ยามจ่อมจมอยู่กับโต๊ะเก้าอี้ในห้องแคบนานๆ อีกทั้งได้นอนหลับสนิทอย่างล้ำลึก แม้อากาศจะหนาวเหน็บในยามดึก แต่กองไฟที่คุกรุ่น เป็นเครื่องคลายหนาวได้อย่างดียิ่ง เช้านี้ มันกลายเป็นกองถ่านแดงๆ  เสียงรถยนต์แว่วมา เหลียวไปดู เป็นรถกระบะสีแดงเลือดหมูสภาพกลางเก่ากลางใหม่ โยกเยกเชื่องช้ามาบนถนนสายฝุ่น ที่คั่นระหว่างไร่ แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งตรงเข้ามาในพื้นที่ของฉัน ไม่ถึงห้านาทีมันมาจอดนิ่งสนิทใกล้ๆที่ฉันยืนอยู่ เป็นผู้ชายคนเดียว และฉันไม่เคยรู้จัก  ฉันมีโลกส่วนตัวสูงกว่าคนปกติ แต่ในยามปรับตัวเข้ากับผู้คน ฉันก็สามารถทำได้ ขอแต่ให้ฉันได้เป็นฝ่ายเลือกที่จะกระทำ ยามใดที่ถูกกระทำ เช่นวันนี้ ฉันจึงรู้สึกอึดอัดจนยิ้มไม่ออก เขามาเช้าเกินไป..ทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันล้างหน้าล้างตา ไม่ทันได้จิบกาแฟกระตุ้นประสาท ไม่ทันทำอะไรสักอย่างให้กับตัวเองนอกจากสูดลมหายใจยาวๆ และเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาสะบัดกายไล่ความหนาว “ไปไหนคะ” อันที่จริงฉันไม่น่าจะถามโง่ๆอย่างนี้ เพราะนี่ก็สุดทางแล้ว และเขาก็น่าจะไม่ใช่คนหลงทาง แต่เพราะฉันไม่รู้ว่าจะทักเขาอย่างไรให้ดีกว่านี้”ผมตั้งใจมาที่นี่แหละ เจอลุงลีเมื่อวานนี้ รู้ว่าเจ๊ มาซื้อที่ทำสวนที่นี่ จึงอยากจะมาบอกขายที่ดิน” เขาไม่อ้อมค้อม แต่ฉันสิ ฝืดเหลือทน ด้วยใจจริงไม่ชอบให้ใครเรียกเจ๊ ยกเว้นคนที่มาทำงานในไร่ แบบรายวัน (นานๆมาที) เมื่อเขาเรียกเจ๊ ฉันก็ปล่อยให้เขาเรียกไปตามสบาย แต่คนใกล้ชิดที่ต้องคบหากันนานๆ ฉันขอร้องว่าช่วยนับญาติกับฉันหน่อย ซึ่งก็ได้ผล อย่างป้าแดงจะเรียกฉันว่า “น้อง....” เขาเดินลงมาจากรถ ด้วยเครื่องแต่งกายที่ทันสมัยในกางเกงยีนส์ใหม่เอี่ยม เสื้อยืดคอโปโลสีเหลืองสวย ท่าทางคล่องแคล่วจนฉันระแวง ว่าอาจจะมาสอดส่องเรื่องอื่นมากกว่าจะมาบอกขายที่ดิน แต่เมื่อเขายืนยันเรื่องตำแหน่งแห่งหนของพื้นที่ ฉันจึงค่อยวางใจ มันเป็นที่ดินที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ภูเขามากกว่าที่นี่เขาบอกว่า เขาเป็นเขยที่หมู่บ้านนั้น แต่เกิดในหมู่บ้านนี้ มิน่า จึงรู้เส้นทางแถวนี้ดี ฉันปฏิเสธไปว่าไม่มีเงินจะซื้อที่ดิน หรืออะไรที่แพงๆอีกแล้ว ที่ทำอยู่นี่ก็แทบจะไม่มีทุนทำต่อ ต้องใช้แรงงานตัวเองเป็นหลัก เขาคงไม่ค่อยจะเชื่อ หรือว่าเขาไม่เข้าใจชีวิตก็ไม่รู้ได้ ยังคงอ้อนวอนให้ฉันช่วย ราวกับมันมีราคาแค่ไม่กี่สิบบาท จนฉันรู้สึกหงุดหงิด..บอกเขาว่า เงินเป็นล้าน ฉันไม่มีปัญญาซื้อหาหรอกนะ อย่าคิดว่าฉันรวย พรรคพวกญาติพี่น้องของฉันก็ไม่ได้ร่ำรวย แค่นี้ก็หมดตัวแล้ว เชื่อสิ...คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายอ้อนวอนให้เขาเชื่อฉันบ้าง ขณะที่เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบๆกระท่อมของฉัน คงจะเห็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ฉันวางไว้ใต้เพิงหมาแหงนหลังบ้าน มันเป็นทรัพย์สินที่คนละแวกนี้รู้ว่าฉันใช้มัน เพราะเสียงอันดังสนั่นยามหัวค่ำไม่กี่ชั่วโมง ลุงจ่อย ช่างสร้างบ้านหลังน้อยให้ฉันเคยล้อว่า บ้านนี้นักเลงพอตัว เอาของมีราคาทิ้งไว้นอกบ้าน ฉันได้แต่ยิ้ม ไม่สามารถตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ก็บอกแกไปว่า “ว่างๆ ช่วยแวะมาทำกระท่อมหลังน้อยๆ ที่มีประตูล็อคกุญแจได้ ให้หน่อยนะลุง” ลุงจ่อยพยักหน้า แต่ไม่เคยแวะมาอีกเลย ฉันรู้ว่าแกไม่ว่าง จนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตของตัวเองเสร็จแล้วนั่นล่ะ ฉันจึงต้องทำใจใหญ่ เชื่อว่าแถวนี้ไม่มีขโมย โดยเฉพาะขโมยที่ย่องมาในตอนที่ฉันหลับสนิท  พอฉันยืนยันว่าฉันจน ไม่มีเงิน ไม่มีทุน ไม่คิดจะเป็นนายหน้าค้าที่ดินด้วย เขายังอิดออด บอกว่าช่วยซื้อเฉพาะที่ดินของเขาก็ได้ แค่ 30 ไร่ จะให้ราคาพิเศษ หรือถ้าจะหาเพื่อนมาช่วยซื้อเพิ่ม ก็มีของญาติพี่น้องเมียที่อยากจะขาย รวมๆแล้วที่ดินที่อยู่ติดกัน ราวๆร้อยไร่นั่นล่ะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงอยากจะขายที่ดินทำกินกันนัก หากเป็นเพราะมีหนี้สิน ต้องการปลดหนี้ ก็เท่ากับว่าสภาพชีวิตพี่น้องชาวอีสาน ไม่เคยดีขึ้นมาเลย เพราะฉันถูกเสนอขายที่ดินบ่อยมาก จนสงสัยว่า นี่เขากำลังขายที่ดินราคาเป็นแสนเป็นล้าน หรือว่ากำลังขายปลาทูราคาห้าบาทสิบบาทกันแน่ สำหรับฉันในเวลานี้ แค่จะซื้อน้ำมันเบนซินมาเติมเครื่องตัดหญ้า ฉันยังต้องคิดแล้วคิดอีก ว่าจะซื้อดีไหมหนอ หรือว่าจะหวดหญ้าด้วยสองแขนกับพร้าทื่อๆ ที่ฉันไม่มีปัญญาจะลับให้คมกริบได้ด้วยตัวเอง ส่วนเครื่องปั่นไฟ ฉันตัดสินใจจะใช้มันอาทิตย์ละหนก็พอ ในเวลาที่แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือเรียกร้องขอพลังเพิ่มเติม มันคือสิ่งจำเป็นที่ฉันต้องมี ในยามฉุกเฉิน และป้องกันคนที่อยู่ไกลๆ โดยเฉพาะแม่ ไม่ให้กังวลว่าฉันอาจจะกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเป็นไป ก่อนที่เขาคนนั้นจะจากไป ได้ขอร้องให้ฉันเก็บเบอร์โทรศัพท์มือถือของเขาเอาไว้ เผื่อฉันจะเปลี่ยนใจ ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ บนกระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆ ฉันกำไว้ในมือโดยไม่ได้อ่านดู หวนคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยที่รัฐบาลน้าชาติครองเมือง คราวนั้นที่ดินในภาคอีสานถูกกว้านซื้อขนานใหญ่ จนราคาที่ดินพุ่งพรวด นายหน้าค้าที่ดินเดินสวนกันเป็นขบวนพาเหรด การเงินสะพัดสุดๆ และแล้วไม่นาน ฟองสบู่ก็แตกโผล๊ะ ทุกอย่างละลายหายวับไปกับตา มันคือคลื่นแห่งหายนะลูกใหญ่ที่โถมซัดเข้ามา แม้วันนี้ คลื่นลูกเล็กๆยังทยอยตามมาไม่ขาดสาย กระดาษแผ่นน้อยร่วงลงสู่กองไฟอย่างตั้งใจ สีขาวค่อยๆกลายเป็นน้ำตาล และไม่ถึงอึดใจเปลไฟก็ลุกโชน ท้องไส้ฉันเริ่มส่งเสียงบอกว่าหิว
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะดังลับหายไปยังฝั่งพม่าอีกครั้ง เสียงปืนหนึ่งนัด ไม่ต่างกับเสียงใบไม้หนึ่งใบร่วงตกพื้นกลางป่า ผมไม่ห่วงว่านกตัวนั้นจะโดนลูกหลงหรือไม่ มันคงไม่โชคร้ายขนาดบินไปชนกระสุนปืนที่ดังอย่างไม่มีเหตุผล เสียงดังโหวกเหวกขึ้นบนฝั่งต่างหาก ทำให้ลุงเวยซาถอนตัวจากก้อนหินริมแม่น้ำ ขึ้นไปยืนบนที่สูงๆ ให้เห็นบางอย่างที่ลอยมากับน้ำ ผมวิ่งตามไปดูด้วย เป็นท่อนซุงลอยตามน้ำมาก่อน สีน้ำดินขุ่นๆขับให้ซุงดูเข้มชัดขึ้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มคนยืนมองสนใจ แต่เป็นสิ่งที่ลอยตามซุงมาต่างหาก “ตายแล้วยัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงพ่อค้าจากเมืองใหญ่ แต่เสียงอื่นฟังไม่รู้เรื่องส่งเสียงโต้ตอบกันอย่างกับฝูงนก ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เสื้อผ้าเท่าตัวคนรัดแน่นตึงลอยหมุนวนมากลางแม่น้ำ แล้วเบี่ยงหน้ามาหาฝั่ง แต่เหมือนมีมือกำกับอยู่เบื้องล่าง คอยผลักหนุนส่งให้หมุนลอยไปกลางแม่น้ำอีกครั้ง สีดำๆเก่าๆผุดๆโผล่ๆหมุนวนอยู่อย่างนั้น ราวกับจัดฉากแสดง ก่อนจะไหลตามน้ำไกลออกไป ไกลออกไปจนลิบลับหายไปจากสายตาทุกคน “ศพลอยน้ำ” .. ผมผะอืดพะอมกับภาพผ่านหน้า เศษสวะ กิ่งไม้ใบไม้ที่ลอยตามกันมา แม้ไม่ได้รับความสนใจจากสายตามองดู แต่ความหมายของมันช่างไม่ต่างจากศพลอยน้ำ ลุงเวยซายืนสงบนิ่ง นิ้วมือแตะหน้าอก พึมพำถ้อยคำอยู่ในลำคอ สิ่งที่พอทำได้มอบให้หนึ่งชีวิตนิรนามลอยไปกับน้ำ พะเลอโดะบอกว่า คนบนฝั่งแม่น้ำเห็นศพไม่มีชื่อลอยตามน้ำมาตลอด แต่ไม่เคยมีใครพิสูจน์ความจริงศพหนึ่งศพใดได้เลย บัญชีคนตายยาวเป็นหางว่าวอยู่แต่ในความทรงจำเท่านั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่า ที่สุดของคนโชคร้ายเหล่านั้นไปหยุดลงที่ใด 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   
แพร จารุ
“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยการกระทำของพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่พยายามแบ่งแยกประชาชนอย่างแท้จริงปีนี้ลุงอายุเจ็ดสิบแปด ลุงสนใจร่วมกิจกรรมด้านสังคมอยู่ตลอดเวลาว่า  ฉันถามลุงว่าต่อจากนี้ไป ลุงจะทำอะไรต่อไป ลุงคิดอย่างไรลุงส่ายหน้า ก่อนจะตอบว่า อยู่เฉย ๆ มีหลายคนตอบว่าจะอยู่เฉย ๆ บางคนถึงขั้นว่า ไม่ทำกิจกรรมใด ๆ อีกแล้ว โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเมือง ลุงคิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือวันนี้ลุงไม่พูด แต่เอารูปตัวเองเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยใกล้สี่สิบขึ้นมาให้ดู และบอกว่า เป็นช่วงที่ลุงได้เล่นละครเป็นพระเอก ฉันไม่เคยเห็นรูปของลุงเลย  และไม่เคยรู้เรื่องราวแต่หนหลังของลุง เพราะมัวแต่ชวนคุยเรื่องที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา
แพ็ท โรเจ้อร์
เป็นที่รู้กันว่ามีการสูญเสียของพระบรมวงศ์ระดับสูงในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เล่นเอาหลายคนต้องขุดชุดดำขึ้นมาใส่แทบไม่ทัน เพราะผู้เขียนไม่เคยมีชุดดำกับเค้ามาก่อน เสื้อเชิ้ตขาวก็ไม่เคยมีมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ไปงานศพใคร ทั้งเป็นคนชอบเสื้อสีๆ นอกจากนี้ก็มองว่าสีดำทำให้ร้อนเนื่องจากดูดความร้อนง่าย การเป็นคนขี้ร้อนจึงเลี่ยงชุดทางการที่มีสีดำ ส่วนสีขาวนั้นไม่ชอบมาแต่ไหน เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เปรอะเปื้อนง่าย การใส่เสื้อขาวตอนเป็นนักเรียนนี่ทำให้ทางบ้านปวดหัวมาตลอดเพราะขาวเป็นดำปี๋ทุกครั้งที่ถึงบ้าน โชคดีที่มีเสื้อทับข้างนอกแบบลำลองเป็นสีดำ จึงสวมทับแก้ขัดไปก่อน และใส่เชิ้ตสีเบาๆ (ปกติชอบสีแบบชมพู ฟ้า เขียว แบบเข้มๆ) ดังนั้น จึงสั่งตัดชุดขาว-ดำ ในการนี้ไป 3 ชุด จะเสร็จในสองอาทิตย์ข้างหน้า และกะว่าจะใส่ให้ติดเป็นนิสัยด้วย ใส่ให้คุ้ม ถ้าหากถามว่าทำไมไม่วิ่งซื้อ ก็ต้องบอกว่า ไม่มีขนาดของตนเองวางขายในเมืองไทย เนื่องจากคนไทยตัวเล็กมาก พูดถึงขนาดเสื้อผ้าและรองเท้า ขนาดของผู้เขียนหาได้ไม่ยากในสหรัฐฯ เดินไปไหนก็เจอ แต่ในเมืองไทยนั้นถือเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าป่านนี้แล้วจะมีคนต่างชาติขนาดตัวเบ้งๆ มาในประเทศไทยมากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก อย่างเสื้อผ้านี้ถึงจะมีบ้าง ก็แพงเกินไป และไม่คุ้มค่า การตัดเสื้อผ้าใส่แบบที่เรียกว่า เทย์เล่อร์-เมด นั้น ถูกกว่าและช่วยสร้างงานในระดับชาวบ้านมากกว่า ช่างตัดเสื้อที่เป็นเจ้าประจำก็มีมากว่า 26 ปีแล้ว ตัดกันตั้งแต่ช่างไม่มีลูก จนลูกจบ ป.ตรีไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในประเทศนี้ก็มีอะไรที่เป็นปัญหากับคนที่ “ต่าง” กับกระแสหลัก นับตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า อาหาร ไปจนถึงเรื่อง “ระบบการคิด” “ความเชื่อ” ว่าไปแล้วพาลให้นึกถึงเมืองบ้านนอกในสหรัฐฯ ที่ด้อยพัฒนาเรื่อง “ระบบความคิด” เพราะมีแต่คนในกระแสหลักที่ต่ำช้าทางปัญญา ขาดเหตุผลในการตริตรอง นักวิชาการในเมืองถึงกับระอากับความคิดที่ไม่เคยเปลี่ยนของกระแสหลักตรงนั้น ในวันนี้สังคมตรงนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยน ตามที่เพื่อนๆที่ยังอยู่ที่นั่นเล่ามา ผู้เขียนเชื่อว่าวันหนึ่งเมืองนี้ก็คงเน่าตายเพราะขาดแนวคิดที่เป็นพลวัตร และมหาวิทยาลัยเล็กๆ ตรงนั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเพราะคนไม่มาเรียน  ฉันใดก็ฉันนั้น  การเปลี่ยนแปลงถือเป็นเรื่องปกติและเลี่ยงไม่ได้ จะมาช้าหรือเร็ว จะมาแบบรู้ตัวก่อนหรือแบบจู่โจม และเป็นแบบที่เราพอใจหรือไม่พอใจ วันหนึ่งมันก็ต้องมา เราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าผลที่จะเกิดตามมาเป็นอย่างไร  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงแบบตะบี้ตะบัน ไม่ฟังเหตุผล ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ากลัวว่าตนจะสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นระดับล่างหรือระดับบนก็เป็นเช่นนี้ได้ สังคมไทยในช่วงระยะไม่เกิน 2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง จะเปลี่ยนแบบถอยหน้าหรือ ถอยหลังก็ตาม ถือว่าเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น หลายคนไม่พอใจและมองว่าสังคมไทยกำลังถอยหลัง ลดความเป็นประชาธิปไตย หลายคนบอกว่านี่แหละคือการตั้งหลักใหม่ เพื่อที่จะพร้อมในการก้าวเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงหนักแน่น และมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต  เอาเป็นว่าตอบไม่ได้เอาเสียเลย  ในส่วนตัวผู้เขียนแล้วดูตุ้มๆต่อมๆ ลุ้นระทึกอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้น เค้าพูดเรื่องประชาธิปไตยเดียวกันรึไม่ และต่างคนต่างมีอะไรในใจขนาดไหน  คนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั่นแหละ หนำซ้ำยิ่งเรื่องมากๆเข้า คนพวกนี้พาลจะบอกต่อไปอีกว่าไม่อยากรู้เรื่องเข้าไปเสียอีก ในองค์การต่างๆในเมืองไทยก็ไม่ได้ต่างกับสังคมไทยกรอบใหญ่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรออยู่เบื้องหน้าทุกวัน แต่ที่น่าโศกสลดคือ พนักงานในองค์การไม่ได้มองอะไรมากไปกว่าการเอาใจหัวหน้างาน ยิ่งใหญ่โตมากเท่าไร ไม่มีใครกล้างัดข้อ ไม่ต้องเอาแบบเงียบๆหรอก แค่จะคิดยังไม่ค่อยกล้าเลย เพราะกลัวว่าจะโดนเด้ง โดนย้าย ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะระบบ “อำนาจนิยม” แบบไพร่-นายในระบบดึกดำบรรพ์ของไทยที่แฝงไปทุกอณูขององค์การ การรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางจึงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ (บางครั้งผู้เขียนเองก็ต้องเรียนรู้ระบบแบบนี้ด้วย) ในขณะเดียวกันหัวหน้างานก็ต้องสนองความจงรักภักดีเหล่านี้ด้วยการบำเหน็จรางวัล หัวหน้างานหลายคนทนที่จะมีคนไม่เก่ง ไม่เอาไหนอยู่รอบข้างตนเอง เพราะว่าดีกว่าเอาคนเก่งแต่ไม่ก้มหัวให้หัวหน้างานเพราะไม่ชอบโดนท้าทาย ทางสายกลางไม่มี คือไม่มีคนที่รู้บทบาทว่าการเป็นหัวหน้างานที่ดี และลูกน้องที่ดีควรเป็นเช่นไร มีแต่กระบวนการอำนาจนิยม ความเป็นไพร่-นาย และ “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังแน่นจนทำอย่างไรก็แงะไม่ออกสังคมองค์การไทยจึงเต็มไปด้วยการนิ่งอยู่กับที่ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่หัวหน้างานนำเข้ามาหลายครั้งจึงไม่ได้เรื่อง ไม่สำเร็จ เพราะมีการต่อต้านเองในระดับหัวหน้างานและลูกน้อง นอกเหนือจากหัวหน้างานเองที่หลงมัวเมาในอำนาจแล้ว ก็มีบรรดาขุนพลอยพยักคอยเสริมเจ้านายไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ได้ในการเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นคนสนิท เหมือนสุนัขที่เดินเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เพื่อให้มีข้าวกินไปวันๆในเมื่อสังคมขาดการ “ตรวจสอบ” และนโยบายการปฏิบัติงานที่ “โปร่งใส” ในการทำงาน ไม่ว่าสังคมระดับชาติหรือระดับองค์การจึงไปไหนไม่ได้ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ การตรวจสอบเองก็ยังมีการ “ฮั้ว” กันอีก ระบบทั้งหลายทั้งมวลจึงยิ่งตกต่ำไปอีกจนไม่รู้จะทำอย่างไรกันแล้วตอนนี้ได้แต่สงสารคนรุ่นต่อไปในสังคมไทยที่ว่าจะเหลืออะไรให้กินให้ใช้ เพราะคนรุ่นก่อนทำลายไว้จนไม่เหลือซาก ได้แต่มองอย่างเสียดายและถอนหายใจด้วยความรันทดอย่างที่สุด  
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,วิถีแห่งเต๋า พจนา จันทรสันติแปลและเรียบเรียง,สำนักพิมพ์เคล็ดไทย 2535)
ภู เชียงดาว
เย็นลมเหนือพัดโชยผ่านกิ่งไม้ เย็นเยียบเย็นตะวันโผล่พ้นฉายแสงเช้าละมุนอุ่นอ่อนหากชีวิตหลายชีวิตโหยหา หวนหาความงามครั้งเก่าก่อนแม้ผ่านนานหลายนาน กี่เดือนปี ความหลังยังคงกรุ่นกลิ่นหอมนิ่งฟังสิ- -คล้ายยินเสียงนางฟ้าครวญเพลงแว่วมาแต่ไกลยังจดจำภาพเธอติดตาอยู่เสมอนะนางฟ้าเธอผู้มีดวงตาสุกใสในวัยเยาว์ฝันแก้มเธอเปล่งปลั่งดั่งดอกไม้สีชมพูแย้มผลิหวานงามแสนงามในนามของความรักที่เธอโปรยปรายแจกจ่ายให้ทุกคนคราพบเห็นยัง เป็น อยู่ เช่นนั้นใช่ไหม...นางฟ้าจากเช้า สู่บ่าย ล่วงลับเย็นยามตะวันอำลาลับขอบเขาตะวันตก...ในเงียบนั้นเรามองเห็นแสงงามอยู่กลางทุ่งเมฆฝันยังระบำร่ายรำฝันอยู่อย่างนั้นเช่นเดิมอยู่ใช่ไหม...นางฟ้าเหมือนมืออันอ่อนนุ่มของเธอกำลังถือพู่กันระบัดปาดป่ายแต้มแต่งสีระบายทุ่งเมฆพราวหลากสีสันอา...นางฟ้าตัวน้อย... ฉันยังมองเห็นเธอ...นางฟ้าสีขาวผู้ระบายสีแห่งทุ่งเมฆฝัน. หมายเหตุ : ผมอ่านบทกวีชิ้นนี้ในเช้าวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา ณ สุสานหลิ่งกอก ซ.วัดอุโมงค์ เมืองเชียงใหม่เนื่องในวันครบ 7 ปีรำลึกการจากไปของ น้องพอวา รัตนภิมลสนใจ ทดลองฟังบทกวีในเสียงเพลง ชุด ‘นางฟ้าสีขาวกับรอยเท้าพระจันทร์’ของ ‘สุวิชานนท์ รันตภิมล’ สดๆ ร้อนๆ ได้ที่... http://non.banleng.com