Skip to main content
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ดูเหมือนว่า ภูกระดึงจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครๆ หลายคน คิดว่าอยากจะไปเยือนสักครั้งการเดินทาง เป็นเรื่องของการตัดใจ หากทำได้เพียงแต่คิด ทุกสิ่งคงเป็นได้เพียงแค่หมอกควันของอารมณ์ชั่วคราวที่ค่อยๆ บรรเทาเบาบางก่อนจะจางหายไปในที่สุดแต่นั่นแหละกล่าวกันว่า การอ่านเป็นการเดินทางที่ง่ายและถูกที่สุดอย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น…จากหมอชิตเดินทางถึงผานกเค้าในเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าเริ่มสาง ไม่ต้องเป็นกังวลหรือหวาดหวั่น เราจะได้พบเพื่อนร่วมทางมากมาย กลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ เจี๊ยวจ๊าวเต็มคันรถ บันทึกถ่ายทำวีดีโอไปตลอดการเดินทาง กระทั่งพนักงานต้อนรับคนงามต้องบอกว่า“เดี๋ยวพี่จะปิดไฟแล้วน้องต้องเงียบและเตรียมตัวหลับกันได้แล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้น้องๆ ต้องระกำลำบากกันจนลืมไม่ลงทีเดียว” รอยยิ้มของเธอคล้ายกับคุณครูฝ่ายปกครองผู้หวังดีผมได้ยินใครรำพันมาจากข้างหลัง...จากผานกเค้า เราจะต้องเดินทางต่อรถสองแถวแดง(ทำไมต้องแดง อันนี้คงต้องถามกรมขนส่งทางบกประจำประเทศไทย)เพื่อต่อไปยังบริเวณอุทยาน ในอัตราหัวละ 20 บาท รับได้เต็มคันราว 12 หัว บริเวณผานกเค้า เราสามารถกระทำภาระกิจยามเช้า ตั้งแต่ เข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตา โด๊ปการแฟ ไข่ลวกหรือกระทั่งหาข้าวแกงราคากรุงเทพฯ กิน ที่ร้านเจ๊กิมและต้องจองตั๋ววันกลับเดี๋ยวนั้น มิฉะนั้น อาจจะหมดสิทธิ์กลับได้เจ๊กิม แกคงเป็นร้านเก่าร้านแก่ เปิดรอรับนักเดินทางมาตั้งแต่ยุคสมัยไหน ..กล่าวกันว่า นักเดินทางพวกแรกๆ ที่มาภูกระดึงก็เป็นอันต้องใช้บริการเจ๊กิมแล้ว .....ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ลมเย็นๆ พัดผ่าน ผานกเค้าตะหง่านเงื้อม มาคิดๆ ดู มีข้อสันนิษฐานได้ 2 ข้อ ข้อแรก คือ มีนกเค้าอาศัยอยู่มากมาย ข้อสอง หน้าตาของหน้าผาดูคล้ายนกเค้า ซึ่งวันนี้ รอบๆ บริเวณตีนผาบ้านเรือนกลายสภาพเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก มะขามหวาน ผ้าทอพื้นเมือง หมวกกันหนาวและถุงมืออะไรๆ ที่ป้องกันความหนาวได้ ขายหมด“ใครที่ดื่มเหล้า ซื้อตุนไปได้นะครับ บนภูไม่มีขาย” ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างท้วมแบบหุ่นเถ้าแก่ ตะโกนบอกนักท่องเที่ยวที่เดินเข้ามาภายในร้านเจ๊กิม ในความหมายว่า ทางอุทยานไม่อนุญาตให้ขายเหล้าข้างบนซึ่งในภายหลังถึงได้มาเห็นความจริงกับตาตัวเอง เมื่อขึ้นถึงยอดภูกระดึงว่า บน shelf ในร้านค้าบนภู เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์และเหล้าหลากยี่ห้อ ราวกับเซเว่น อีเลฟเว่น มาเองทีเดียวเชียวแหละ...สองแถวสีแดง มาส่งเราถึงหน้าอุทยานแห่งสวรรค์ กล่าวกันว่า ภูกระดึงถูกค้นพบโดยนายพรานระดับชาวบ้านๆ คนหนึ่งจากหมู่บ้านโพธิ์ศรีฐานที่ติดตามรอยกระทิงขึ้นไปตามทางเดินขึ้นภูจากซำแฮ่กถึงซำแคร่ผ่านหลังแป ถึงได้รู้ว่า ภูเขาแห่งนี้มียอดตัดเป็นที่ทุ่งราบกว้างใหญ่ หญ้าระบัดใบเสียดยอดอ่อนขึ้นมาจากผืนดิน เก้งกวางและเล็มอย่างเอร็ด ลูกน้อยยืนประชิดติดแม่ เคี้ยวเอื้องอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกถึงความอบอุ่น ตรงลูกน้อยนี่ผมเติมลงไปเองนะครับเพื่อให้เห็นภาพ จริงๆ ข้อมูลไม่มีบอก แต่คิดว่า คงมีภาพอย่างนี้บ้างแหละน่าหลังจากนั้นนานนับสิบๆ ปี หากพรานคนนี้ยังอยู่ คงได้รับรู้ว่า ภูกระดึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของ คนคน ค่น ค้น ค๊น ค๋น...“พี่กัน ขาตั้งกล้องไปไหน” ยาดาถาม“...” ตายห่ _ ลืมเอาไว้บนรถสองแถวแดงภูมิภาพทุ่งราบกว้าง, ฤดูหนาว ทุ่งกว้างมองเห็นเป็นสีน้ำตาล มองดูแปลกตาไปอีกแบบมองผ่านดอกหญ้าใกล้ๆเมเปิล, สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของภูกระดึงกำลังเปลี่ยนสีน้ำตกดูแดงฉานด้วยใบเมเปิลดอกหญ้าชนิดนี้มองเห็นได้ทั่วไประหว่างทาง, สนสองใบ ทรายละเอียดและพรมใบสนร่วงตามฤดูกาล, งามราวภาพวาดยามเช้าที่ผานกแอ่น, ต้องตื่นแต่เช้า รอเวลาฟ้าสางกระดิ่ง, สัญลักษณ์อีกชนิดของภูกระดึง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
วันหยุดยาวปีใหม่ เรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ ออกเดินทาง ,ท่องเที่ยว ละเลงความมันส์ออกมาจนหยดสุดท้ายหรือกลับไปอยู่กับครอบครัวอันอบอุ่น ..คำอวยพร ..การ์ดและกล่องของขวัญ ,ทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่ๆ ต่างใจจดจ่ออยากจะได้รับ .....เราต่างรอคอย ,ความหวัง
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ  ส่วนแม่วุ่นวายกับการอุดเศษผ้าตามช่องโหว่ของไม้แผ่นหรือหน้าต่างกระดาษ จากนั้นหากหนาวจนนอนไม่หลับ แม่จะ “อ่อม” ฉันเอาไว้ คือหนีบให้หัวซุกอยู่ตรงรักแร้ เอาผ้าคลุม แล้วห้ามดิ้น พลางปลอบใจว่า รีบๆ นอน จะได้ตื่นเช้ามากินข้าวหลามเผา ก่อนนอน แม่ไม่ลืมที่จะแช่ข้าวใหม่เอาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ บ้านเรามีเป็นกอๆ จะเอากี่อันก็ได้3“กินอาหารเช้ากันก่อนนะลูก”แม่คนที่สองเรียกเรา สองสามีภรรยาในวัย 50 ปีกว่า ช่วยกันทำข้าวหนุกงา เขาเลือกข้าวใหม่ที่เพิ่งได้มา เราได้กินก่อนถึงฤดูการทำบุญข้าวใหม่  ข้าวหนุกงาจึงนุ่ม เหนียว ย่อยง่าย ไม่เหมือนข้าวเก่าค้างปี ส่วนงานั้นเก็บมาจากสวนของญาติ ตากเอง ตำเอง คลุกเกลือนิดหน่อย หอมอุ่นลึกเข้าไปถึงข้างใน กัดเข้าไปคำแรกท่ามกลางแววตาปนเปื้อนรอยยิ้มไม่คิดปกปิด  ฉันแทบจะกลืนกินเข้าไปคนเดียวทั้งไห ถ้าไม่อายว่าเพิ่งมาเป็นลูกเขาได้ไม่นาน4“นี่เป็นอาหารต้านโรค”เธอว่า ทั้งที่เพิ่งกินข้าวหนุกงาไปหมาดๆ  เขาเตรียมสำรับประกอบด้วยผักนึ่งที่กำลังร้อนระอุ มีฟักทองผลใหญ่ที่เก็บมาจากสวน ลูกมันโตมาก สีส้มแบบแสงตะวันยังสู้ไม่ได้ รสชาติทั้งหวานทั้งนุ่ม กินกับน้ำพริกน้ำผัก นอกจากนั้นยังมีมะระขี้นก มะเขือพวง มะเขือสีเขียว ถั่วฝักยาว และถั่วแปบ ทั้งหมดนึ่งสุกใหม่ๆ ตามมาด้วย แกงกระด้าง เป็นการเอาหมูมาหั่นใส่พริกไทยกับเกลือ ใส่น้ำ เคี่ยวแล้วตั้งทิ้งไว้ พอแข็งตัวแล้วเหมือนเยลลี่ เธอบอกว่าร่างกายจะได้อุ่น กินทั้งหมดพร้อมกันไปกับปลาย่างอีก 2 ตัว5“ไปเลือกตั้งกันได้แล้วนะลูก”เธอเอ่ยเตือน พร้อมเหลือบดูเวลา ในเมืองที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ เอื่อยเฉื่อย แต่สำหรับเธอการทำตามหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ คนเป็นพ่อเดินมากระซิบถามว่าจะเลือกพรรคไหน ฉันหัวเราะเบาๆ บอกออกไป เขาหัวเราะบ้าง แล้วบอกว่าการเห็นต่างกันไม่ใช่ปัญหา ส่วนเขาตั้งใจจะเลือกอีกพรรค แน่นอน เขามีเหตุผลของเขา โดยรวมแล้วภายในบ้าน เราต่างเลือกไม่เหมือนกัน คนเป็นแม่ตะโกนบอกให้เอาเสื้อกันหนาวไปด้วย พลางถามว่า จะเอาหมวกด้วยไหม ทั้งที่ศูนย์เลือกตั้งเดินข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว ฉันมองออกไปข้างหน้า แสงแดดอุ่นเริ่มมาเยือนแล้ว เสื้อและหมวกคงไม่จำเป็น ฉันเดินตามคนบ้านนี้ไปเลือกตั้ง หยิบกล้อง วางกล้อง คิดว่าจะมีอะไรให้ถ่ายเก็บไว้ไหม แต่ก็อย่าดีกว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นความลับเสียบ้าง“เราไม่ขายเสียงก็พอแล้ว” เธอดูภาคภูมิใจกับคำพูดนั้น6ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว การเลือกตั้ง กินข้าว เยี่ยมญาติ และอวยพรปีใหม่ ผู้ใหญ่สองคนเอาใบไม้จุ่มน้ำมนต์พรมให้บนหัว ฉันยกมือไหว้ พนมมืออย่างตั้งใจ ที่เหลือจากนี้ คนเป็นแม่ตั้งใจทำกับข้าวอีกรอบ คืออาหารที่จะห่อกลับเข้าเมือง ประกอบด้วยตัวหนอนรถด่วน คั่วด้วยเกลือและน้ำ ยำผักใส่สมุนไพร ปลาย่าง น้ำหนัง ห่อนึ่งซึ่งใส่ตับไก่เยอะเป็นพิเศษ และวัตถุดิบประกอบอาหารอีกมากมาย คนเป็นพ่อบอกว่า ในเมืองหาซื้อได้หมด แต่สิ่งที่หาซื้อไม่ได้คือความปลอดภัยและความใส่ใจทำแบบนี้ ฉันซาบซึ้งเสียจนพูดไม่ออกจริงอย่างเขาพูด ทุกวินาทีของเขามีความสุขกับการได้ดูแลคนในครอบครัว ฉันทักท้วงว่าทำอาหารมากไปหรือเปล่า เขารีบโบกไม้โบกมือ บอกว่ามื้อเย็นจะได้ไม่ต้องทำแล้ว นั่งรอลุ้นผลเลือกตั้งก็พอ “บ้านเมืองน่าเป็นห่วง” แต่เราอย่าทำตัวให้น่าเป็นห่วง เขาว่า7ก่อนจะกลับบ้าน ชายชราซึ่งเป็นพ่อจริงๆ ของฉัน ส่งกระดาษมาให้สองแผ่น ในนั้นเขียนเอาไว้ว่า “รับสมัครผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ เพื่อรักษาฟรี” พร้อมไถ่ถามอาการพี่สาวด้วย แววตาแสนห่วงใย ฉันบอกว่าเขาดีขึ้นแล้ว พ่อดูจะไม่วางใจ “หน้าหนาวคนมักจะเป็นหนัก” พ่อรำพึง แล้วสอดจดหมายพร้อมบทกวีที่เขียนไว้ให้ลูกใส่มือ  อ่านแล้วทั้งยิ้มทั้งน้ำตาซึมพอสาย แดดเริ่มอุ่นขึ้น เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ และหมวก ไม่จำเป็นอีกแล้ว หรือแม้กระทั่งชาร้อนๆ ก็ไม่นึกอยากกินอีก ขนมยังเหลืออีกมากมาย ฉันทยอยเก็บใส่ถุงและตู้กับข้าว หลังจากนั้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จากอุ่น เป็นร้อน ความห่วงใยมากมายคล้ายยังแสดงออกไม่หมด ชายชราถอนหายใจ เขาคงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเกินไป เดี๋ยวฉันก็ต้องกลับไปอีกแล้ว “รอรัฐบาลล้ม แล้วมาเลือกตั้งอีกสินะ ถึงได้มา” เขาแซว ฉันหัวเราะ เขาก็พูดเกินไป เราไม่ได้ห่างเกินกันขนาดนั้นสักหน่อย“ยังไม่ได้อวดปลาที่เลี้ยงไว้เลยนะ จะอวดว่ามันตายไป 80 ตัว เพราะพ่อให้มันกินข้าวเหนียวแห้ง”“อ้าว!” แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เอาปลาที่ตายมาผ่าดูไส้แล้ว เต็มไปด้วยข้าวที่ไม่ย่อย จากนี้ไปเขาจะให้แต่อาหารย่อยง่าย  “ปลาก็เหมือนคน นึกว่ามันจะกินอะไรแปลกๆ ได้” เขาว่าแล้วหัวเราะกับตัวเอง ฉันยกมือน้อยๆ ไหว้งามๆ ก่อนจะล่ำลาทุกคน แววตาที่มองตามทำให้หลั่งน้ำตาอยู่ในใจลึกๆ ไม่มีใครเห็นมันหรอก เช่นเดียวกับประโยคที่อยากบอกว่า  ฉันไม่ได้มาเพราะเลือกตั้งหรอก ฉันมาเพราะอยากเจอพวกเขาต่างหากเล่า.                  
โอ ไม้จัตวา
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฉันติดตามหนังสือเล่มนี้มาถึงเจ็ดปี จำได้ว่าวันแรกที่อ่าน รู้สึกอิ่มเอม มีความสุข ไม่อยากไปไหน อยากอยู่ในโลกของคนขี่ไม้กวาด เสกคาถา ในโลกที่ตอบสนองจินตนาการที่ขาดหายไปในวัยเด็กคุยกับเพื่อน ๆ ที่ติดแฮรี่ พ็อตเตอร์ ว่าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานก่อนนอนในวัยเด็ก ความที่หนังสือเล่มหนาทำให้อ่านวันเดียวไม่จบ และความที่เนื้อหาเหมือนขนมอร่อยที่มีจำนวนจำกัด จึงอยากค่อย ๆ ละเลียดกินทีละน้อย  อ่านแล้วไม่อยากให้จบ อยากกลับบ้านไปนอนห่มผ้าอ่านต่อ เป็นแบบนี้มาเจ็ดปี! ปีนี้อ่านจบลงในวันเดียว แล้วรีบโทรไปบอกเพื่อนว่า มันส์เป็นบ้าเลย สู้กันทั้งเรื่อง เพื่อนบอกว่าไม่ต้องเล่า แต่มีพี่บางคนบอกให้เราเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วบอกว่า ม่วนดี! ฉันชอบแก่นเรื่องง่ายดาย ที่พระเอกเกิดจากความรัก เป็นเด็กชายผู้รอดชีวิตมาด้วยความรักของแม่ ที่เวทมนต์อันโหดร้ายไม่อาจกล้ำกรายได้  ขณะที่ตัวร้ายไม่เคยถูกรัก  หนังสือแสดงให้เห็นว่าความรักของแม่ และรวมถึงความรักในครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญ มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ และมนุษย์หรือพ่อมดก็แพ้ชนะกันด้วยพลังแห่งรักอันเป็นฐานสำคัญในหัวใจ อาวุธ เวทมนต์ พลังฝีมือ ล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรม เป็นเครื่องมือในการดำรงกาย หากความรักต่างหากคือ เนื้อหาที่แท้จริงของชีวิต ความเป็นแม่หรือเปล่าไม่รู้ ที่ทำให้เธอเข้าถึงจินตนาการของเด็ก ๆ และเป็นจินตนาการที่ผู้ใหญ่ก็เสพได้อย่างเช่นกัน อ่านจบแล้ว...สุดยอดกระบวนวิชาของแฮรี่ พ็อตเตอร์ ดูคล้าย ๆ กับโกว้เล้ง คือ “กระบี่อยู่ที่ใจ” แต่ใจที่จะบรรจุกระบี่ได้ ต้องผ่านการเทรนมาจากพ่อแม่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ รัก และมีเหตุผล มีวุฒิภาวะอย่างเพียงพอ ที่จะส่งลูกเข้ามาใช้กระบี่ในทางที่ถูกที่ควรได้  เพราะจอมมารในโลกของความเป็นจริงนั้น บางครั้งอาจอยู่ในรูปของโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ร้านโชว์ไม่ห่วยที่ผุดขึ้นรอบบ้าน ความเจริญทางวัตถุที่ลดทอนอำนาจการต่อต้านในหัวใจ เด็กควรจะรู้เท่าทันว่าสิ่งใดคือเวทมนต์ที่กำลังดูดกลืนวิญญาณของตน และชักกระบี่ออกมาต่อสู้กับมันให้ได้ และจอมมาร บางครั้งก็อยู่ในรูปแบบของคนที่เราไม่อาจเอ่ยชื่อได้ อยู่ในภาวะคลุมเครือ สังคมอับทึบ มีรังสีของการบังคับควบคุมและดูดกลืนความสุข ดื่มกินความสิ้นหวังเป็นอาหาร ยิ่งผู้คนสิ้นหวังเท่าไร จนหมดไปจากสังคมได้ จอมมารดูจะยิ่งอิ่มเอมมากเท่านั้นสังคมที่สิ้นหวัง...ฟังดูคุ้น ๆ นะ 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..ผมพยายาม ถ่ายภาพ Panorama ,2 เฟรม 3 เฟรม ..ก่อนอื่นตั้งโจทย์ในใจว่าจะเก็บมุมใดบ้าง ,ด้วยการมองวิวนานกว่า 5 นาที ...ภาพวิว ดูแล้วเหมือนกับภาพที่หาได้ทั่วไป ..ซ้ำๆ แต่เหมาะสำหรับฝึกฝนการถ่ายภาพ(อย่างน้อย ใครคนหนึ่ง ว่าเอาไว้อย่างนั้น)การถ่าย panor ต้องเริ่มด้วยการจัดองค์ประกอบภาพ ..ให้ได้ทุกอย่างครบตามที่คิด..คะเนเอาตามประสบการณ์ ว่าจะต้องถ่ายกี่ช็อต ..หามุมให้ลงตัวกับการเหลื่อมซ้อนของภาพ ก่อนนำมาปะติดปะต่อ ..จุดสำคัญต้องได้แสงสีที่กลมกลืนกันพอดีดังนั้น จึงต้องมีพื้นฐานของการตั้งค่าแสง อย่างสมเหตุผล ..กล่าวกันว่า การถ่ายภาพ panor ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่ที่ประสบการณ์และพื้นฐานการถ่ายภาพขาตั้งกล้อง ความนิ่งและการกวาดเลนส์ไปตามแนวภาพ ..ไม่ยากและไม่ง่าย เกินไปนัก ..((คลิกที่ภาพเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)) ตัวอำเภอคลองสน จ.ตราด ชายแดนเกาะกง ถ่ายลงมาจากมุมสูง บนสะพานพระราม8 วันลอยกระทง ,ภาพนี้มืดเกินไปเพราะพยายามไม่ให้แสงไฟฟุ้ง ปากน้ำปัตตานี เรือประมงและคนมุสลิม ,ภาพนี้ยืนถ่ายบนสะพาน ภูกระดึง ในเช้าที่สายหมอกกระจายฟุ้ง 
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า ฉันหัวเราะคิกคัก แค่เดินฝ่าเข้าไปก็ยากแล้ว   2.ฉันเป็นคนไม่ชอบเหยียบต้นหญ้า  อย่าว่าแต่สนามกว้างๆ ของใครต่อใครเลย  แม้จะข้างถนน ที่มีทางลัดไปยังที่ต้องการได้ใกล้กว่า ฉันจะเดินอ้อมเสมอ เมื่อครั้งไปเที่ยวในอุทยานแห่งหนึ่ง  มีร้านอาหารอยู่ไกลมาก เขาคงทำทางเดินไว้ให้คนออกกำลังกายกระมัง แต่ยามหิว คนคงไม่อยากคิดอย่างอื่น แค่ลัดต้นหญ้าไปเขายังว่าไกล มีฉันคนเดียวที่เดินอ้อมก็ยังถูกหาว่าบ้า “บ้าก็บ้านะ” ฉันยอมรับเสียในตอนนั้นแล้วก็กลับมาพิจารณาดอกหญ้าสีขาวตรงหน้า ชาวสวนมือใหม่ดึงจอบขึ้นสูง ทิ้งน้ำหนักลงไป ต้นเล็กต้นน้อยถูกตัดขาด บางต้นถูกถากออกมาพร้อมราก นี่คงหนักกว่าการเหยียบดอกหญ้าอีก ก็ฆ่ามันให้ตายอยู่นินะ แต่ก็แปลกดีจัง ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย เวลาเหยียบสนามหญ้าทีไรรู้สึกผิดกว่านี้เยอะ หรือเพราะมันมีเจ้าของ เพราะมันเติบโตจากความตั้งใจของคนอื่น มันร้องขอการมีชีวิตที่ควรทะนุถนอมจากแรงงานที่ถ่ายเทลงไป แต่ดอกหญ้าไม่มีสิทธิ์ร้องขอแบบนั้นใช่ไหมนะดูสิ ถางไปเกือบหมดแล้ว!  3. “จบศิลป์เกษตรมาเหรอ”คนข้างๆ แซว ทำเอางงไปชั่วครู่ สมัยมัธยมมีแต่วิชาเลือก ศิลป์-ภาษา และศิลปะ-คำนวณ ฉันทำหน้าเลิกลั่ก“มีด้วยเหรอวิชานี้”“ไม่มีหรอก ก็นึกว่าทำไม่ได้ไง แต่พอหยิบจอบเท่านั้นแหละ ดูสิ นี่มันมืออาชีพชัดๆ ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะ”เขาหัวเราะร่วน ฉันหันไปมองรอบๆ ถางหญ้าไปเยอะแล้ว ไล่เก็บก้อนหินออก จากนั้นก็ขุดดินให้ลึกๆ แล้วพรวนให้ดินร่วน พลิกฟื้นดินสีดำด้านล่างให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน“อ๋อ ตอนเด็กๆ เคยทำน่ะ นึกว่าจะทำไม่เป็นแล้วเหมือนกัน วิญญาณแม่เข้าสิง”ดูคนข้างๆ จะอึ้งยิ่งกว่าเดิม เมื่อฉันเริ่มพลิกดินให้นูน ทำเป็นแปลงๆ วาดดินมากองให้เป็นสามเหลี่ยม จากนั้นก็ทำร่องตรงกลาง เพื่อรดน้ำและใส่ปุ๋ย เป็นไงล่ะ ท่วงท่าไม่น้อยหน้าใครเลยล่ะ“เรายังไม่ต้องใส่ปุ๋ยดีไหม เป็นการทดสอบดิน เราว่าที่ใกล้น้ำแบบนี้ ปลูกอะไรก็ขึ้น ไม่งั้นดอกหญ้าจะงามขนาดนี้เหรอ ว่าปะ”เออออ ห่อหมก เอาเอง แล้วก็วางจอบไปคว้าบัวรดน้ำมารดๆ เอาไว้  เพื่อปรับปรุงความชื้นให้ดิน ทิ้งไว้ไม่นาน เราก็คงจะหยอดเมล็ดพืชลงไปได้แล้ว ผักที่ฉันเลือกปลูกมีคะน้า ผักชีลาว และพาสเลย์ ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย แต่ทำไงได้ล่ะ อยากปลูกนินา  4.ในบรรดาคนชอบกินผักทั้งหลาย ไม่มีใครเกินพี่นก แฟนสาวของเพื่อน เห็นหน้ากันทีไร เธอชวนทำกับข้าวกินเอง หมูกระทะ เอาหมูน้อยๆ ผักเยอะๆ หรือเวลาไปกินข้าวกัน เธอจะบอกว่า ขอผักเพิ่มอีก 1 จาน เสมอๆดูเธอจะตื่นเต้นกว่าฉันอีก เมื่อฉันบอกว่าเริ่มปลูกผักไว้แล้ว“ผักบุ้งปลูกเยอะๆ นะ ขึ้นง่าย ผักกาดขาวอีก พี่ชอบกินมากๆ  คะน้าก็กินได้นะ ว่าแต่มันอายุเท่าไหร่เหรอ ถึงจะโตพอ”“ก็ข้างซองเขาบอกว่า 7 วันก็เห็นต้นแล้วนะ มันโตเร็ว อีก 3  สัปดาห์เราก็น่าจะกินได้”อย่าให้ได้ยินน้ำเสียงของฉันเลย โอ้อวดเสียยังกับเป็นเจ้าของสวนผักขนาดใหญ่ แถมยังอวดอ้างสรรพคุณไปด้วยว่า “เป็นผักปลอดสารพิษ เราจะได้กินสบายใจ นี่ถ้ามันขึ้นเยอะๆ กินไม่ทันนะ ก็จะแบ่งให้ชาวบ้านแถวนั้นมาเก็บได้เลย เราจะได้บอกเขาว่าผักนี้มันดียังไง”“ไม่ขายเหรอ” พี่ผู้หญิงท้วงถาม“เอ่อ ก็ถ้าเขาจะซื้อก็ได้นะ ก็อาจเก็บเงินนิดหน่อย พอซื้อเมล็ดพืชต่อ”ฉันมุ่งมาดไว้แบบนั้น ดวงตาคงปิดไม่มิด ใครต่อใครพากันยิ้มแป้น ให้กำลังใจพร้อมนัดแนะว่าอีก 2 สัปดาห์ เราจะมาปาร์ตี้ผักกินกันที่บ้าน  5. “เธอว่ามันคือคะน้าไหม”ไม่รู้ทำไม คนข้างๆ ทำหูทวนลม เวลาที่ฉันถามเรื่องนี้ ต้นกล้าจำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้ว บนแปลงผักทั้งหมด แต่หน้าตาของคะน้า ผักชี และพาสเลย์ เหมือนกันไม่มีผิด“ตอนมันเด็ก ดูยากว่าเป็นต้นอะไร มันคงขึ้นแล้วแหละ”จากคนที่สบประมาทเอาไว้ ว่าฉันปลูกผักไม่เป็น กลับกลายเป็นคนให้กำลังใจ ฉันเพียรรดน้ำแปลงผักทั้งเช้า และเย็น เอาไม้จิ้มๆ พรวนดินไปตามประสา จนผ่านไปหลายสัปดาห์ ต้นกล้าเหล่านั้นก็ประจานการไม่ใส่ปุ๋ยด้วยการทำตัวแคระแกรนเสียจนน่าสงสาร“ก็มันหมักปุ๋ยไม่ทันนินา เราอยากใช้ปุ๋ยชีวภาพ”“เขาก็มีขายไม่ใช่เหรอ ถุงน้อยๆ คิดว่าอาหารคงไม่พอ ก็โตช้าหน่อย”ฮื่อ นี่เป็นบทเรียนนินะ แปลงผักทดลองออกผลได้ขนาดนี้ก็ดีใจแล้ว เอาล่ะ รดน้ำเข้าไป ปล่อยไว้อย่างนั้น จวบจนเช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ต้นกล้าก็ออกสะพรั่งเต็มแปลงผัก“ดูสิๆๆ มันโตแล้ว มากมาย น่ารักจังเลย ใบมันหยักๆ คงเป็นพาสเลย์ ส่วนต้นโตนี่คงคะน้า”ฉันตื่นเต้น ระหว่างถือบัวรดน้ำที่อยู่ตั้งไกล เดินมารดไปหลายๆ รอบ คนข้างๆ คงสงสาร จึงมีไอเดียว่า เราน่าจะต่อน้ำจากแม่น้ำหลังบ้าน เข้ามารดผัก โดยใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้“ไหนๆ ไปดูท่าน้ำหน่อย ต้องดึงสายมาไกลไหม”  6.พากันฝ่าดงหญ้าที่เหลือเข้าไปในสวน ก่อนจะคำนวณระยะสายยาง และราคาเครื่องสูบนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็น ต้นกล้ากะจิดริดที่งอกงามผลิใบอยู่ริมตลิ่ง“เอ เธอว่าหน้าตามันคุ้นๆ ปะ”ฉันเอียงคอ นั่งยองๆ ลงใกล้ต้นไม้เหล่านั้น“ไม่คุ้น แต่เหมือนเลย เหมือนในแปลงผักเลย”เขาว่า ฉันก็อึ้งๆ ไป“แสดงว่า ในแปลงผัก มันก็คือต้นนี้สินะ มันคือต้นหญ้า”ใช่แล้ว มันคือหญ้าทั้งนั้น ที่เติบโตสวยงามท่ามกลางการดูแลของฉันตั้งแต่เช้าจรดเย็น“อยากปลูกแปลงหญ้าก็ไม่บอก” เขาหัวเราะเบาๆ ฉันไม่หัวเราะตาม ทำหน้าสลดไปชั่วครู่ ไม่สิ ไม่ได้เสียใจ แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังกับการทดลองของตัวเองคนใกล้ชิดเอื้อมมือมาลูบหัว ใบหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที“เคยบอกว่าทุกที่มีครูสอนไม่ใช่เหรอ ปลูกผักแต่ได้ต้นหญ้า แสดงว่ายังไงนะ”เขาเล่นต่อคำอีกแล้ว ฉันหายใจยาวๆ นิดหน่อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาอีกครั้ง“อืม ใช่ เขาสอนเราว่า บางทีปลูกผักก็ได้หญ้า เหมือนอะไรที่หวังผลอีกอย่างแต่ได้อีกอย่าง ก็แบบนี้แหละนะ โลกนี้ใช่มีอะไรตามคาดเสมอไป”ฉันสรุปเสียอย่างดูดี ได้ยินเขาคนนั้นทวนคำย้ำๆ ไปมา“ไม่มีอะไรตามคาดเสมอไป อืมมม”...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ในสายตาของนักเสี่ยงโชค ,เกาะกง หมายถึง แหล่งทำเงินขนาดใหญ่..., หากเทพีแห่งโชคเข้าข้าง, เขาหรือเธอ เหล่านั้น...เชื่อว่า หลายคนคงรู้จักเกาะกงในฐานะแหล่งการพนันแหล่งใหญ่ของประเทศกัมพูชา ณ จุดชายแดนไทย จังหวัดตราด ที่ปล่อยให้มีการเปิดบ่อนเสรี จนรัฐบาลไทยหลายๆ รัฐบาลคิดทำตามอย่าง ..แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีรัฐบาลชุดไหนสามารถแหวกม่านความคิดของสังคมไทยออกไปรอดพ้น...ผมไม่ได้ไปเกาะกงในฐานะนักเล่น (เพราะไม่มีฐานะมากพอ 555) แต่ได้ติดสอยห้อยตามเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งไปสังเกตการณ์ทำข้อมูลเรื่องหญิงชาวกัมพูชาในสถานบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี, ที่อำเภอคลองสนและอำเภอหาดเล็ก จังหวัดตราด .....เกาะกง จังหวัดเล็กๆ จังหวัดหนึ่งของกัมพูชา ,มีเมืองเอกชื่อว่า กรงเกาะกง ..เมืองแห่งความศิวิไลซ์ แสงสีและอารยธรรม ,การเปิดเสรีบ่อนการพนันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ชาวต่างชาติและคนไทยหลั่งไหลกันเข้าไปเสี่ยงโชคอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ สร้างธุรกิจให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่อย่างเป็นกอบเป็นกำ, แต่ดูเหมือนว่า, ประชากรชาวกัมพูชาในจังหวัดเกาะกง ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีฐานะดีไปตามรายได้ที่ไหลเข้าบ่อนการพนัน, ตรงกันข้ามกลับมีฐานะยากจน การศึกษาน้อยและคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับที่เรียกว่า, แย่...บางคนทำงานท่าเรือ, บางคนขายสินค้าบริเวณจุดผ่อนปรน, บางคนเป็นลูกเรือประมง เป็นแรงงาน กรรมกรขนสินค้า, และในบางครั้ง, เขาหรือเธอ อยู่ในสถานบริการ หรือ ซ่อง .....ในเงาสลัวของอำเภอคลองสน เด็กสาวนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าร้าน, บนถนนสายยาวของเทศบาล ทั้งสาย คือ ซ่อง, ความจำเป็นบนชีพจรแห่งการดิ้นรนที่จะมีชีวิตและตอบกันอย่างไม่เหนียมอายศีลธรรมว่า, มันจำเป็นสำหรับลูกเรือประมง, โลกบางโลกจึงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจในความคิดของนักศีลธรรม...คงไม่มีใครอยากขายบริการหรอกพี่ ..หากไม่จำเป็น ..เพื่อนรุ่นน้องผมว่าระหว่าง กระดกเบียร์ในร้านคาราโอเกะ&ซ่องแห่งหนึ่ง, อืม !..ผมไม่กล้า ถ่ายรูปพวกเธอ !ชายฝั่งบริเวณเกาะกง, บ้านที่เห็น คือ ชุมชนชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานฝั่งไทยบรรดาเด็กๆ มาช่วยพ่อแม่ คัดแยกปลา, กล่าวกันว่า ตกกลางคืน เด็กสาวบางคนไปทำงานในสถานบริการรอยยิ้มของเด็กชาวกัมพูชา, สดใส ไม่ว่าโลกจะเป็นสีใดเด็กบางคนได้เรียนหนังสือ, โรงเรียนในฝั่งกัมพูชาภาพหุ่นขี้ผึ้งจำลอง ,แสดงการอพยพหนีภัยสงครามของชาวกัมพูชาในปี 2522 ที่อนุสรณ์สถานเขาล้านแสดงใบหน้าอิดโรยของชาวกัมพูชาอพยพ, คุยกันว่า ผู้อพยพเหล่านี้ถึงกับกินใบไม้ต่างข้าวเช้า, ชาวกัมพูชามาออกันเต็มด่านในวันที่มีตลาดนัดเย็น, ชาวกัมพูชาต่างทยอยกันกลับบ้าน
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ มะพร้าวเผาในถังแช่ถูกมือล้วงผ่านความเย็นเฉียบจับขึ้นมา เจาะรู แล้วใส่หลอด สตอเบอรี่ที่ผ่าแล้วโยนใส่ถังล้าง ไม่นานก็ปรากฏอยู่ในถ้วยโรยน้ำตาลดูน่ากิน ดอกบัวที่มัดติดกับธูปเทียนถูกยื่นไปยังมือผู้ที่มุ่งมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แทบไม่ขาดสายตาจุดพักระหว่างขั้นบันไดขึ้นพระธาตุ จึงมีทั้งคนกำลังขึ้นไปและกลับลง  เหมือนภาพเคลื่อนไหวซ้ำๆ ชักช้า รีบเร่ง สลับกันไป แต่สำหรับฉันแล้ว เมื่อลองหยุดอยู่นิ่งๆ สักพัก ก็มองเห็นได้ว่า ในภาพซ้ำเหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยสักนิด“ขายดีจังนะ”หญิงวัยกลางคนที่ขายเครื่องประดับจากหิน เงยหน้าไปทักทายคนขายมะพร้าวเผา “ตัวก็ขายได้นินา” คนตอบมองไปยังสร้อยคอ แหวน กำไลที่พร่องลงไปจากแผงอยู่บ้าง เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นตอบมา“ขายไม่ค่อยได้หรอก แต่ก็ดีกว่าช่วงก่อนนะ อย่างเราๆ ต้องรอช่วงนี้แหละ ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวเขามีเงินเดือนทั้งปี”แม่ค้าสร้อยรำพึงก่อนจะหันมาสนใจลูกค้าที่กำลังเลือกดูข้าวของ รอยยิ้มอัตโนมัติทำหน้าที่เชิญชวนพร้อมความหวังเรืองรองอยู่ในดวงตา และไม่อาจปิดได้มิดถึงความรู้สึกบางอย่าง ที่คิดว่าตัวเองแตกต่างจากผู้คนข้างหน้า คนที่มีเงินซื้อกล้องราคานับแสน เดินทางได้ทั่วโลก หรือมีนัดกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหารหรูหราด้านล่าง ฉันมองแววตาคู่นั้นอยู่นาน และไม่ได้แตกต่างจากดวงตาอีกหลายคู่บนบันไดพระธาตุ หากแต่ใครจะรู้ว่าบนแววตาของนักท่องเที่ยวบางคน กลับจมนิ่งอยู่กับบรรยากาศการขายของที่ระลึก มีของใช้สอย ของฝากมากมาย ในร้านเล็กๆ บนดอย ที่แวดล้อมไปด้วยอากาศหนาวและแสงแดดอุ่น“อยากออกจากงานจริงๆ นะ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ “อยากมาทำร้านกาแฟ ขายของไปด้วย ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเข้าตอกบัตร”หนุ่มสาววัยทำงานสนทนากัน แล้วหยุดพักเหนื่อยหย่อนตัวนั่งบนขั้นบันได“คนที่นี่น่ารัก มีน้ำใจ พูดเพราะ ยิ้มแย้มตลอดเวลา อยากมาอยู่จริงๆ ปีหน้าออกจากงานดีกว่า อยากมีชีวิตอิสระเสียจริง”แม้ไม่รู้ว่าจริงหรือเล่น หนุ่มสาวกลุ่มนั้นก็ตอบรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แลกเปลี่ยนความฝันและทอดสายตาเป็นประกายแก่เมืองนี้ ก่อนจะรวมตัวกันถ่ายรูปคู่กับพระยานาคบนราวบันได ส่วนฉัน  ปล่อยสายตาผ่านเลนส์ให้ทำงานไปอย่างช้าๆ กล้องเก่าๆ เล็กๆ ยังทำงานได้ดี พอที่จะเก็บสีสันเสื้อผ้า ใบหน้าผู้คน และบรรยากาศเท่าที่จะเก็บได้ พลางสลับกับก้มลงมองพื้น มองแสงเงาที่ทาบผ่าน ทั้งนิ่งงันและเคลื่อนไหว เงาสีดำที่ไม่อาจปรากฏสีหน้า ความงาม หรือราคาเครื่องประดับอยู่บนนั้น เงาที่ไม่อาจปรากฏถึงดวงตาแห่งการคาดเดา ว่าคนที่เดินผ่านกันไปบนที่แห่งนี้ ใครจะมีความสุขมากกว่า หรือชีวิตที่ดีกว่ากันและสุดท้ายฉันก็คิดเล่นๆ ว่า ในความปรารถนาเหล่านั้น บางที คนที่รู้ได้ดีที่สุด ก็คือเงาของตัวเราเองที่ปรากฏอยู่บนเงาแดดกับเราคนเดียวเท่านั้น. 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เปล่า! แม่น้ำสงครามไม่ได้เป็นชื่อที่พ้องกับการสงครามของใคร ..หากโลกใบนี้ได้เพียรสร้างสรรค์ผลงานที่น่าอัศจรรย์...น้ำสงครามมีต้นกำเนิดบนสันภูผาเหล็ก อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอำเภอหนองหาน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ก่อนจะย้อนลงมาที่ อำเภอบ้านม่วง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จึงมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย วกลงอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ทะลักล้นเข้าอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม แล้วไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ไชยบุรี อำเภอท่าอุเทนนับระยะทาง 420 กิโลเมตรและลำน้ำสาขานับร้อยสาย คือ ทุ่งน้ำขนาดกว้างใหญ่ถึง 6 แสนไร่ ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ นครพนม สกลนครและหนองคาย......ทุกๆ ฤดูมรสุม เดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน ท้องทุ่มป่าทามที่มองเห็นเป็นพื้นดินแห้งจะกลายเป็นผืนน้ำ พื้นดินสีน้ำตาลไหม้ที่ใครหลายคนเคยมองว่าไร้ประโยชน์ กลายเป็นแหล่งอาศัยอันชุกชุมของพันธุ์ปลาพื้นบ้านและพันธุ์ปลาที่มุ่งหน้าเข้ามาจากลำน้ำโขงคนแห่งลุ่มน้ำสงครามต่างรอคอยช่วงเวลาเหล่านี้อย่างใจจดจ่อ...มื้อเย็นจะมีปลาดุกตัวเขื่องเอาไว้แกงสำหรับลูกเมีย...เปล่า! แม่น้ำสงครามไม่ได้เป็นชื่อที่พ้องกับการสงครามของใครแต่เป็นความอัศจรรย์ ..เพื่อทุกชีวิตบนโลก ชีวิตคนริมน้ำสงคราม, สาวน้อยกางร่มช่วยพ่อหาปลาลีลาพรานปลาผลิตผลจากสายน้ำปลาน้อย, เหยื่อล่อปลาตัวใหญ่กว่าปลาจำลอง, อบต.บ้านข่า แชมป์หลายสมัยในการแข่งขันประกวดปลา กลไกที่เห็นทำให้มันขยับได้น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก, ทว่า หนองน้ำแห่งนี้ยังเป็นของควายด้วยดูกันใกล้ๆพระอาทิตย์ฤดูหนาวที่บ้านข่า สวยเศร้าอย่างนี้
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้ ผิดก็แต่ว่าเวลานี้ฉันต้องการแสงแดดมากกว่าร่มเงา จึงลุกจากแคร่ไม้ไปยืนผิงแดดอยู่ริมถนน“ลุงคะ รถจะออกกี่โมง” ฉันถามโซเฟอร์เจ้าของรถ เขากวาดสายตาไปซ้ายทีขวาที ก็หันมาบอกด้วยแววตาเคร่งขรึม“ถ้าคนครบ 10 คนเมื่อไหร่เราก็ออกเมื่อนั้น แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเลย ลุงจะพาไปตอน 11 โมง”“อ้อ ค่ะ”อุทานตอบ แล้วก็เหลือบไปมองนาฬิกาอีกครั้ง ขณะนั้นเพิ่ง 9 โมงกว่า มีผู้โดยสารเพียง 2 คน คือฉันและชายหนุ่มคนนั้นฉันคว้ากระเป๋าเตรียมออกเดิน ก็เวลา 2 ชั่วโมงนั้นมีอะไรให้ทำมากกว่าจะนั่งรออยู่ที่เดิม“จะไปไหนหรือ”ชายแปลกหน้าถามอีก ฉันตอบสั้นๆ “ไปเดินเล่นค่ะ”ว่าแล้วก็หอบกล้องถ่ายรูปเดินจากมา เมืองลำปางยามที่ร้านรวงค่อยๆ ทยอยเปิดกิจการ ถนนเลียบแม่น้ำ ทะลุไปยังสะพานสีขาวชื่อรัษฎาภิเศก เป็นถนนเล็กๆ ที่ยังคงสภาพบ้านเรือนไม้แบบโบราณเอาไว้ บางคนก็ออกมานั่งผิงแดด ตะโกนคุยกันข้ามถนน เมื่อไปหยุดขอถ่ายรูป เขาก็ยิ้มแย้มมีไมตรีและทักทายอย่างเป็นกันเอง จากที่เดินเร็วๆ ฉันก็เดินช้าลง จากที่รอว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลารถออก ฉันปล่อยตัวเองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกที เวลาก็ใกล้ 11 โมงแล้ว“ชอบถ่ายรูปเหรอ”ชายแปลกหน้าถามฉันอีก ฉันอมยิ้ม เขาคงเห็นฉันสะพายกล้องเดินไปมา ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มทยอยกันมา ลุงโชเฟอร์เรียกพวกเราให้ไปขึ้นรถ ทั้งแปลกใจในความบังเอิญ เมื่อชายแปลกหน้าหย่อนก้นลงอีกครั้งข้างๆ ฉัน“ไปเที่ยวเหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ค่ะ” ฉันตอบ แล้วพิจารณาตัวเอง การมีกระเป๋าใบโตมาด้วยคงทำให้เขาเดาไม่ยาก ฉันเริ่มมองข้าวของของเขาบ้าง เขาก็มีกระเป๋าใบโตๆ มาด้วยเหมือนกัน“ไปเที่ยวเหมือนกันหรือเปล่าคะ”“เปล่าฮะ ผมกำลังจะกลับบ้าน”แววตาขณะตอบเปลี่ยนไปแล้ว เขามองไปยังนอกกระจกขณะรถโดยสารสีฟ้าที่เก่าจวนผุพัง ค่อยๆ แล่นตัวออกจากสถานีแห่งนั้น “อ่อ เป็นคนลำปางเหรอคะ” ฉันตอบรับการสนทนาของเขาบ้าง“ครับ แต่ผมจากบ้านไปนานแล้ว นานมาก หลายปี ตั้งแต่เด็ก ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน แล้วก็เพิ่งลาออก”“อ้อ ค่ะ” ฉันต่อบทสนทนาไม่ถูก ได้แต่พยักหน้า ดูเขาคงรู้สึกได้ จึงเปลี่ยนเรื่องที่จะถาม“ตะกี้ไปถ่ายรูปอะไรมาเหรอ”“อ๋อ ก็ภาพทั่วๆไป อยากดูไหม”ฉันกดเปิดกล้องดิจิตอลให้เขาดูภาพไปด้วย แววตาเป็นประกายกลับมาอีกครั้ง ดูเขาตื่นเต้นที่จะเห็นเมือง ผู้คน สายน้ำ และสะพานในบ้านเกิดของเขาเองมากกว่าที่ฉันเป็นเสียอีก “สวยดีจัง” เขาว่า“ใช่ น่ารักมาก ชอบนะ ไม่เคยเดินเล่นเหรอ”“ก็เคยนะ นานมากๆ ตั้งแต่อายุสัก 10 ขวบได้”“อืม กลับมาอยู่บ้านแล้วนี่ อีกหน่อยคงเห็นจนชินแหละนะ”ฉันบอกเขาอย่างที่คิด แต่แล้วก็กลับพบแววตาที่แปลกออกไปอีกเขาเหม่อมองไปยังนอกกระจกอีกครั้ง เอามือถูกันไปมา ฤดูหนาวคงทำให้เขาเป็นหวัด นอกจากจามฮาดชิ้วๆ ติดๆ กันแล้ว เขาก็ยังขยับตัวหันไปมาตลอดเวลา“อาทิตย์หน้าผมจะไปอยู่ฝรั่งเศสแล้ว เป็นการไปครั้งแรก ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”เขาเอ่ยขึ้น ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย ฉันยิ้มให้เขาแล้วก็นิ่งเงียบ จากที่คิดว่าตัวเองเป็นนักเดินทาง ยังต้องไปอีกไกล และชายตรงหน้ากำลังจะได้กลับบ้าน แท้จริงแล้วการเดินทางของเขาคงยาวไกลกว่าฉันมากมายนักเราปล่อยให้รถแล่นไปเรื่อยๆ สลับกันมองข้างทาง ดูผืนฟ้าและต้นไม้สูงใหญ่ ถนนคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามถนนหนทาง ที่ห่างออกจากเมืองไปเรื่อยๆ“เดินทางให้สนุกนะครับ”เขาบอกฉัน เมื่อเราใกล้ถึงจุดหมายที่ต่างกัน ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วยิ้มให้ อยากบอกเขาว่า ขอให้เขามีความสุขในการกลับบ้านครั้งนี้ และการเดินทางอีกหลายพันกิโลเมตรของเขา “โชคดีเช่นกันนะ” เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันบอกเขา ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่ฉันบอกตัวเองเสมอๆ ในการกลับบ้านและเดินทางไกลเช่นเดียวกับเขาเวลานี้.
โอ ไม้จัตวา
เทศกาลโคมลอยผ่านไปอย่างท้าทายภาวะโลกร้อนที่คนทั้งโลกต่างพากันหวั่นวิตกอยู่ในขณะนี้ ประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทงของคนไทยเพิ่งผ่านไป...เมืองเชียงใหม่มีโคมลอยเป็นเอกลักษณ์  และเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของประเพณีนี้ จนคนทั่วประเทศนำการปล่อยโคมไปใช้ในงานต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ภาพโคมนับร้อยนับพันที่ปล่อยขึ้นฟ้า แสงไฟระยิบระยับ เป็นความงามอันต้องตาต้องใจผู้คน เป็นภาพประทับใจนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นจุดขาย  ปีนี้มีการปล่อยโคมที่ข่วงประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ พันห้าร้อยลูกเพื่อถวายพ่อหลวง  ยังไม่นับการปล่อยทุกปีที่แม่โจ้ และตามถนนหนทางต่าง ๆ แม้แต่ถนนนิมมานเหมินท์ จากวิถีชีวิตของชาวบ้านกลายเป็นวิถีชีวิตของการท่องเที่ยว  ปีที่แล้วฉันขายโคมลอยได้เงินมามากอย่างไม่น่าเชื่อ และพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมืองเชียงใหม่ตกอยู่ในภาวะหมอกควันพิษ จาการเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ ที่ตามมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งควันเหล่านั้นมาจากโคมลอยด้วย เนื่องจากพื้นที่เชียงใหม่เป็นแอ่งกระทะ ควันลอยขึ้นไปยังไม่ทันพ้นเมือง ก็โดนมวลอากาศเย็นกดทับลงมา ควันพิษจึงลอยไปไหนไม่ได้ เดิมชาวเหนือปล่อยโคมลอยเพื่อนมัสการพระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์  ลอยกระทงเพื่อบูชาพระแม่คงคา บนพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำจึงมีปล่อยโคมลอยแทน  การปล่อยโคมของชาวบ้านนั้น เพื่อนชาวเหนือเล่าว่า เขาจะแบ่งเขตในหมู่บ้าน แต่ละเขตจะร่วมมือร่วมใจกันทำโคมขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วร่วมกันปล่อยโคมบูชาฟ้า  ไม่ได้ปล่อยเป็นบ้าเป็นหลังบูชาการท่องเที่ยวอย่างทุกวันนี้  ปีนี้ฉันไม่ซื้อโคมมาขาย เพราะตระหนักถึงภาวะโลกร้อน ที่ควรเป็นภาวะแห่งโลก และทุกคนควรตระหนักอย่างยิ่ง แต่จุดขายทางการท่องเที่ยวก็ยังชนะเหมือนเดิม ถ้าเรารักโลก โลกก็รักเรา  การปล่อยโคมลอยปีนี้มีสัญญาณเตือนจากฟ้ามาถึงผู้บริหารเมือง เมื่อนายกเทศมนตรีสาวปล่อยโคมลอยซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษจากการจัดขึ้นเพื่อให้เป็นจุดเด่นในพิธีกรรมทางการท่องเที่ยว ภาพข่าวที่ควรจะสวยสดงดงาม เป็นการเปิดฤดูการท่องเที่ยวไฮซีซันปีนี้  จึงกลายเป็นภาพขึด (อัปมงคล) เมื่อโคมยักษ์นั้นลอยขึ้นไปไม่ถึงไหนก็ร่วงตกลงมาโดนยอดเจดีย์ขาว เจดีย์คู่เมืองเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่หน้าเทศบาลหักลงมา สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับชาวบ้านยิ่งนัก หรือนี่คือเสียงเตือนจากผีบ้านผีเมือง จากฟ้า ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณควรจะหันกลับมามองความเป็นจริงตรงหน้า  มองชาวบ้านที่หลับตาลงอย่างหวาดกลัวกับเทศกาลยี่เป็ง กลัวว่าโคมลอยจะตกลงหลังคาบ้าน (เฉพาะวันที่ 24 พ.ย.50 ไฟไหม้จากเหตุโคมลอย 17 จุด ในเมืองเชียงใหม่) ไฟไหม้บ้านทีก็ไม่รู้จะจับมือใครดม ทั้งที่เป็นอาญาแผ่นดิน ไม่นับเสียงประทัดใหญ่น้อยที่ดังจนกลายเป็นเชียงใหม่ในสงคราม หมาแมวนอนสะดุ้งกันทุกคืน ประเพณีบูชาฟ้า บูชาน้ำอันงดงามของชาวเหนือหายไปไหนหมด ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องปิดเสียงการท่องเที่ยวลงบ้าง และหันมามองดูโลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้.ภาพประกอบ  ดูในนี้ค่ะ http://www.cm108.com/news2web/yeepeng.php
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ตอนที่ 3 พระธาตุสีขาว หากมานครพนมแล้วไม่ได้ถ่ายภาพพระธาตุพนมคงดูจะกระไรๆ  ..พระธาตุพนมอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร บนภูที่เรียกว่า ภูกำพร้า ริมถนนชยางกูร หมู่บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่น่าสนใจ คือ ภายในพระธาตุได้บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาตั้งแต่ พ.ศ.8...รอบบริเวณจะมีตลาดขายสินค้าที่ระลึก อย่างเช่น โปสการ์ด รวมถึงร้านอาหารตามสั่งและสินค้าบุญ อย่างเช่น นก ปลาและเต่า ให้เอาไปปล่อยในสระโบราณกลางพระธาตุผู้ศรัทธาแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ ก่อนออกพรรษาจะมีการมาทำบุญเพื่อทะนุบำรุงวัดและพระธาตุ จนลานจอดรถเต็มไปด้วยรถราคับคั่ง ,เสียงบอกบุญดังออกมาจากไมโครโฟน เชิญชวนให้ทำบุญอย่างต่อเนื่อง ,หากมองจากถนน องค์พระธาตุจะสูงเสียดฟ้า โดดเด่นจากจากกำแพงวัดเป็นสีขาวสลับทองลออตา..ศรัทธาปสาทะ จากมวลศาสนิกที่เคร่งครัด.....คุณยายขายบุญร้องเรียกผมให้เข้าไปดูสินค้า“ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ถุงละ 30 จ้ะ” แกร่ำร้อง เมื่อเห็นผมสนใจ“ถุงละ 30 ทุกชนิดหรือครับ” แกมองกล้องในมือผม ก่อนโปรยยิ้ม เป็นเชิงตอบคำถามผมอึ้ง ยืนมองดูปลาไหลในถุงขดเป็นวงๆ มันยังเด็ก ท้องสีน้ำตาลถึงยังไม่เป็นสีน้ำตาลเต็มที่“ทำไมต้องปลาไหล”“เป็นตัวแทนของพญานาคที่ปกปักรักษาเมืองจ้ะ” แกว่า“เหรอ” ผมคิด กล่าวกันว่า นครพนมมีพญานาคปกปักรักษาเมือง...เปล่า ผมไม่ได้ซื้อปลาไหลของแก ...แค่มองดูปลาไหล(สินค้าบุญ)สลับกับพญานาคริมบันไดวัดหมุน...หมุนตามแรงลม สินค้าอีกชนิดที่ขายริมกำแพงวัดสินค้าบุญ!พระธาตุสีขาวสูงเสียดฟ้าพระธาตุอีกมุมมองพระพุทธรูป ริมพระธาตุ ศรัทธาศาสนิกภายในบ้านโฮจิมินท์ สถานที่ลี้ภัยทางการเมืองของท่านตามป้ายครับเย็นย่ำ ..