Skip to main content
กิตติพันธ์ กันจินะ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพิ่งจบลงเมื่อวานนี้ ตอนค่ำ ผลสรุปจากการกากบาทลงคะแนนให้กับคนที่รัก พรรคที่ชอบ ได้ผลออกมาอย่างไม่เป็นทางการ บางคนอาจถูกใจ บางคนอาจไม่ถูกใจหลังจากลงคะแนนเสียงเสร็จ ผมได้เดินทางไปยังเขตชายแดนอำเภอแม่สายกับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ศูนย์เพื่อน้องหญิง เพื่อจับจ่ายซื้อของและเดินเล่นไปมาตามประสาคนที่อยากพักผ่อนเที่ยวท่องให้คล่องใจเวลาในการเดินทางไป การเดินทางจับจ่ายซื้อของ และการเดินทางกลับ เริ่มจากตอนสาย จนถึงตอนหัวค่ำ ระหว่างที่อยู่เขตอำเภอแม่สาย ผมแยกตัวจากพี่ๆ เจ้าหน้าที่อีก 4 คน เดินเล่นเองคนเดียว เพียงเพื่อจะหาร้านกาแฟสดดีๆ ที่มีหนังสืออ่านและมีเพลงฟัง ผมเดินไปทั่ว สองข้างทางมีของขายวางเรียงรายไปหมด ทั้งอาหาร ขนมกิน เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนอน เสื้อผ้า ฯลฯ พ่อค้าแม่ค้าทั้งคนไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างหวังจะขายของของตนให้ได้มากที่สุด ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลย นอกจากมุ่งเดินตามหา ร้านหนังสือ-ร้านกาแฟ เพื่อพักผ่อนและนั่งสงบตามลำพัง, เวลา 2 ชั่วโมงผ่านไป ผมยังไม่เจอร้านหนังสือและร้านกาแฟที่ปรารถนา จนเมื่อเดินกลับไปยังจุดจอดรถ ที่เรียกว่า “สายลมจอย” ก็พบร้านกาแฟร้านหนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากกัน และเมื่อพบผมก็เข้าไปยังร้านสั่งกาแฟสดคาปูชิโน พร้อมกับหยิบโปสการ์ดและหนังสือขึ้นมาอ่านและเขียนสลับกัน“ที่จริงร้านกาแฟพี่น่าจะมีโปสการ์ดขายด้วยนะครับ” ผมเสนอกับพี่ผู้ชายที่ชงกาแฟสดให้ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน และบอกอีกว่า “ผมเดินไปทั่วแม่สายไม่เห็นร้านกาแฟสดเลย ไม่มีร้านค้าขายโปสการ์ดด้วย บางคนที่เดินทางท่องเที่ยวอาจจะอยากซื้อของตามวิธีปกติแต่บางคนก็เลือกที่จะเขียนโปสการ์ดส่งให้คนที่ตัวเองคิดถึงหรือเขียนไปที่ไหนสักแห่งก็ได้นะครับ”พี่ผู้ชายไม่ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าแล้วส่งถ้วยกาแฟให้ผมสำหรับผมแล้ว ท่ามกลางความวุ่นวายของฝูงชนที่เดินจับจ่ายซื้อของไปมาตามบริเวณเขตชายแดนแห่งนี้ ยังมีจุดเล็กๆ อีกหลายแห่งที่เราไม่ค่อยได้คิดคะนึงถึง เช่น ความเรียบง่ายของการนั่งพัก ร้านค้านั่งจิบชา กาแฟ ฟังเพลงเพราะๆ หรือแม้แต่บนสะพานข้ามชายแดนที่มีเด็กน้อยวิ่งเข้ามาขอเงินจากผู้เที่ยว เป็นต้นท่ามกลางเข็มนาฬิกาที่หมุนไป เราต่างสนใจสิ่งใหญ่ๆ ใกล้ตัวจนหลงลืมไปว่ามีสิ่งเล็กๆ ที่สำคัญปรากฏอยู่ แต่เราเผลอใจให้กับเรื่องบางอย่างที่คนส่วนมากสนใจ จนเราก็สนใจตามกระแสไปกับเขาเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมอยู่เสมอ....บ่อยครั้งที่ผมสนใจเรื่องการเลือกตั้ง จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวบ่อยครั้งที่ผมสนใจการทำงานเชิงนโยบายระดับชาติ จนลืมการขับเคลื่อนงานนโยบายระดับพื้นที่บ่อยครั้งที่ผมพูดเรื่องงานจนลืมไปว่าคนในครอบครัวยังไม่พร้อมที่จะพูดฟังหรือสนทนาบ่อยครั้งที่พรรคการเมืองสนใจการได้มาซึ่งอำนาจจนลืมนึกถึงนโยบายสำหรับคนที่ด้อยโอกาสในสังคมบ่อยครั้งที่สื่อนำเสนอเรื่องเยาวชนเป็นปัญหา จนลืมนำเสนอเยาวชนที่ทำดีเพื่อสังคม ฯลฯ อีกมากมาย ที่เราหลงลืมไป แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือได้รับความสนใจแต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญและมีคุณค่า ทว่าอาจยังไม่ได้เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปก็เป็นได้ร้านกาแฟเล็กๆ ในแม่สายอาจไม่สามารถอยู่ได้ หากผู้คนที่มาเพียงหวังจะเดินทางมาซื้อของราคาถูกๆ แล้วเดินทางกลับ โดยที่ไม่ได้พักนั่งนิ่งฟังลมฟ้าอากาศสิ่งเล็กๆ อุปมาคล้ายดั่งเช่นเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่มักหลงลืมหรือมักคิดคำนึงถึงเป็นอันดับท้ายๆ ทั้งๆ ที่หลายคนบอกว่าเด็กสำคัญแบบนั้น เด็กสำคัญแบบนี้ แต่การกระทำแล้ว กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงเขาบอกว่าต้องมีสื่อเพื่อเด็ก แต่รายการทีวียังหาเงินกับเด็กอย่างไม่หยุดนิ่งเขาบอกว่าต้องให้เด็กมีส่วนร่วม แต่ผู้ใหญ่ยังให้เด็กๆ ทำกิจกรรมได้เท่าที่ผู้ใหญ่ต้องการเขาบอกว่าปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นสำคัญ แต่ไม่เห็นมีนโยบายป้องกันและให้ความรู้อย่างแท้จริงเขาบอกว่าต้องมีวาระเพื่อเด็ก แต่ไม่รู้ว่าเด็กได้มีส่วนร่วมจัดทำมากเพียงใดเขาบอกว่าเยาวชนเป็นวิกฤติสังคม แต่ไม่มีหนทางการพัฒนาเยาวชนในเชิงบวกแม้แต่นิดคำพูดที่ยิ่งใหญ่กับการกระทำที่เล็กน้อย ตรงข้ามกันเช่นนี้นั้น ที่ผ่านมาถือว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ร่ำไป (บางครั้งเด็กๆ เองก็หวังกับผู้ใหญ่มากจนเกินไป เรียกร้องผู้ใหญ่จนเกินไป แต่ไม่ได้มองถึงศักยภาพตัวเองที่มีอยู่ว่าแท้จริงแล้วไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรมากมาย เพียงแต่เราอาจจะเริ่มต่อสู้ด้วยตัวเอง พัฒนาตนเอง เรียนรู้จากตัวเอง ฝึกคิด ฝึกทำด้วยตนเอง จะหวังพึ่งพิงผู้ใหญ่อย่างเดียวก็คงทำได้ยากนัก)ปีที่ผ่านมานี้ เกิดเรื่องราวมากมายกับเยาวชน ทั้งที่เรียนหนังสือ ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นคนที่ถูกละเมิดสิทธิ เป็นคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม เป็นคนที่ยังเข้าไปถึงสวัสดิการพื้นฐาน เป็นคนที่สุขภาพไม่ได้ และอื่นๆ อีกมากนั้น ยังคงได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย เพราะผู้ใหญ่ โดยเฉพาะรัฐนั้น สนใจแต่เรื่องใหญ่ๆ สนใจแต่การขจัดขั้วอำนาจเก่า สนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ อำนาจ จนลืมนึกถึงคนตัวเล็ก ลืมเด็ก ลืมเยาวชนไป ของขวัญสำหรับปีใหม่นี้ ผมคงไม่ขออะไรมากครับ – เพียงแต่ว่าหากจะคิดถึงเรื่องอะไรที่มันใหญ่โตแล้ว ขอให้คิดถึงทรัพยากรของแผ่นดินอย่างเช่นพวกเรา เด็กและเยาวชน เพียงรับฟังเสียงเราอย่างแท้จริง สนับสนุนการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ปกป้องคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง และคิดคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่พวกเราจะได้รับด้วย ก็น่าจะเพียงพอ ไม่ได้ขอจากดวงจันทร์ไม่ได้ขอแก้วแหวนเงินทองแต่ขอร้องมายังผู้ใหญ่ทุกคนหมายเหตุ:เนื่องจากผมสนใจเรื่องใหญ่ๆ มามากจนลืมนึกถึงเรื่องเล็กของตัวเองไป จึงได้ให้ของขวัญตัวเองด้วยการหยุดพักจากการทำงานต่างๆ ในระหว่างท้ายปีปีนี้และต้นปีหน้า ด้วยมุ่งจะพักจิต ชำระใจ ด้วยการเจริญสติวิปัสสนา ทั้งนี้หากที่ผ่านมาผมได้ล่วงเกินพี่ๆ ผู้อ่านด้วยวาจา ข้อเขียน และความคิดใดๆ ก็ตาม ผมขออโหสิกรรมมา ณ โอกาสนี้ และขอให้ทุกๆ ท่าน มีความสดชื่น สมหวัง อยู่อย่างมีความสุขทุกลมหายใจ อยู่อย่างมีความหมายกับชีวิตที่งดงาม
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป และเขาก็ไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่า “ที่ร้านเกม มีเด็กร้อยพ่อพันแม่ ยังไงแม่ก็อดที่จะเป็นกังวลใจไม่ได้หากลูกอยู่ที่ร้านเกมนาน” แต่ถ้าเป็นที่บ้าน สายรุ้งนั่งเล่นได้ข้ามวัน ข้ามคืน โดยมีเด่นมาเล่นเป็นเพื่อนด้วย เด็กทั้งสองเอาจริงเอาจังอย่างมากราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เกม พวกเขามีอารมณ์ร่วมไปกับเกม ทั้งหัวเราะ ไม่พอใจ โวยวาย บ่นงึมงำ คุยกับจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับว่ามันมีชีวิต “นายต้องเอากุญแจที่อยู่กับตัวประหลาดมาให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นนายก็จะต้องเดินไปที่ประตูขุมทรัพย์ที่มีแมงมุมดำเฝ้าอยู่” สายรุ้งบอกเด่น“ฉันจะจัดการยังไงกับตัวประหลาด” “นายไม่จำเป็นต้องฆ่าก็ได้ เพียงแต่แย่งกุญแจมา”บางครั้งขณะทานอาหาร สายรุ้งก็คิดถึงการต่อสู้กันในเกม การขยับขึ้นในระดับตำแหน่งที่สูงกว่าหากเอาชนะคู่ต่อสู้ หรือการเข้าใกล้ขุมทรัพย์หากกำจัดตัวแมงมุมดำที่เฝ้าอยู่ตรงปากประตูได้ แต่การจะกำจัดแมงมุมดำนั้นต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องหาทางล่อหลอกให้มันเผลอซึ่งเป็นไปได้ยาก“จุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหนครับแม่” เขาถามแม่ ความคิดเขาวนเวียนอยู่แต่เรื่องของเกม“แม่ว่าลูกเพลา ๆ ลงก็ดีนะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ลูกไม่ควรอดหลับอดนอนเพื่อเล่นเกม ควรจะเล่นเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น”“นานๆ ครั้งเท่านั้นเอง” สายรุ้งอุทธรณ์ “แม่รู้ไหมว่าเด่นนะ นอนเกือบสว่างเวลาที่ได้เล่นเกม”“เด็กๆ ไม่ควรนอนดึก ร่างกายจะอ่อนเพลีย” แม่พูด ประเด็นเรื่องสุขภาพของลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ส่วนประเด็นเรื่องความรุนแรงที่เด็กอาจเลียนแบบมาจากเกมอย่างที่มีการรณรงค์ของหน่วยงานทางวัฒนธรรมบางหน่วยงานนั้น ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนักเพราะคิดว่าสามารถอบรมกล่อมเกลาให้สายรุ้งเป็นเด็กที่อ่อนโยนได้ และที่ผ่านมาสายรุ้งก็ไม่เคยแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรงให้เห็นเลย  “แล้วจุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหน” สายรุ้งไม่ลืมคำถามที่ถามไว้ตั้งแต่แรก เขาอยู่กับความคิดที่จะหาวิธีไปสู่ขุมทรัพย์ให้ได้แม่หัวเราะกับท่าทางจริงจังของสายรุ้ง แม้ว่าจะไม่สนับสนุนให้ลูกหมกหมุ่นกับเกมแต่เมื่อเห็นว่าลูกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เธอจึงบอกสั้นๆ ว่า “ไม่รู้สิจ๊ะ แม่ไม่ชอบแมงมุม ลูกน่าจะถามตามากกว่า” สายรุ้งทานอาหารไป ขบคิดไป เขาเข้าใกล้จุดสำคัญของเกมนี้แล้ว แต่หลังจากพยายามอยู่หลายหน เขาก็ไม่อาจผ่านประตูสู่ขุมทรัพย์ได้สักทีแม่ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูกับความเอาจริงเอาจังของสายรุ้ง และมองในแง่ดีว่า เกมจะมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการการเติบโตของเด็กหากเล่นอย่างพอเหมาะ และขึ้นอยู่กับเกมด้วยว่าเป็นอย่างไร สร้างสรรค์เหมาะสมแค่ไหนแม่คิดว่าคอมพิวเตอร์และโลกอินเตอร์เน็ตมีสิ่งดี ๆ มากมายหากใช้งานอย่างถูกต้อง ดังนั้น หลังจากที่สายรุ้งรบเร้าอยากได้คอมพิวเตอร์หลายครั้ง แม่จึงยอมซื้อให้และต่ออินเตอร์เน็ตให้เรียบร้อยโดยคิดว่าลูกคงจะได้รับความเพลิดเพลินใจ และได้ค้นคว้าความรู้อย่างกว้างขวางถ้าเขาต้องการ  ยิ่งเมื่อตระหนักว่าสายรุ้งไม่เหมือนเด็กคนอื่น วันเวลาของสายรุ้งแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดขวางความต้องการของเขาอย่างไรก็ตาม โลกอินเตอร์เน็ตที่สื่อสารกันได้อย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดนั้นมีทั้งคุณและโทษ แม่จึงพยายามดูแลการท่องเข้าไปในโลกอินเตอร์เนตที่อาจพบเจอคนแปลกหน้า และไม่เก็บคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องนอนของสายรุ้งแม่ไม่เคยห้ามว่าเว็บไซต์แบบไหนที่สายรุ้งไม่ควรเข้าไป สายรุ้งจะรู้แก่ใจดีว่าเขาควรจะเข้าไปหรือไม่ แม่เพียงแต่แนะนำเวบไซต์ที่คิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับสารคดี “แม่ครับ ผมเข้าไปในห้องเก็บขุมทรัพย์ได้แล้วครับ” สายรุ้งบอกแม่ในวันหนึ่ง“แล้วพบอะไรบ้างล่ะ”“พบดาบเพียงเล่มเดียว เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์” “ลูกจะเอาดาบไปทำอะไร” แม่ถาม“ดาบต้องใช้ในการเล่นอีกขั้นสูงขึ้นไป แต่ผมเบื่อเกมนี้แล้ว มันยากไปหน่อย  เอ่อ วันเสาร์นี้ แม่จะไปซื้อหนังสือที่ศูนย์การค้าใช่ไหมครับ ผมว่าจะไปหาซื้อแผ่นเกมใหม่ๆ ด้วย” สายรุ้งพูดยิ้ม ๆ “ได้สิ” แม่ตอบ พลางคิดว่า อย่างน้อยเกมต่าง ๆ ที่สายรุ้งเล่น  ได้ผ่านสายตาและการเลือกสรรของแม่แล้ว.   
Music
นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยวันแรกๆ ชุดยูนิฟอร์มถูกระเบียบกับตำราเรียนเล่มใหญ่ๆ หอพักในมหาวิทยาลัยที่ทำให้พานพบกับผู้คนมากหน้าหลายตา ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ต่างไปจากตอนเรียนในโรงเรียนมัธยม คือความรู้สึกว่า ที่นี่ ฉันจะมีเสรีภาพมากขึ้น มีชีวิตที่หลากหลายกว่าเก่า และพื้นที่ทางความคิดที่จะปลดปล่อยฉันจากกรงขังอันแปลกแยกของโลกใบเดิมได้แต่แล้วก็ได้พบว่า สิ่งที่คาดหวังเอาไว้มันเป็นความจริงเพียงแค่บางส่วน นอกนั้นเป็นมายาภาพที่ฉันนึกฝันเอาเองใช่ๆ ฉันเคยถูกเสี้ยมสอนเช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนว่าผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ สิ่งที่พวกเขามอบให้เราต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ในเมื่อผู้คนล้วนผ่านประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ของใครบางคนอาจจะช่วยสอนสิ่งที่ดีกับเราได้ แต่กับบางคนอาจจะไม่ สิ่งที่เลวร้ายสำหรับฉันคือการยัดเยียดสิ่งต่างๆ ให้พวกเราโดยอ้างความเป็น ‘ผู้ใหญ่มีประสบการณ์' โดยที่ไม่เคยถามเราเลยว่า เราคิดอย่างไร"Don't do this and don't do thatWhat are they tryin' to do ?Make a good boy of you,Do they know where it's at?Don't criticise they're ols and wiseDo as they tell you to,Don't want the devil to,Come and pull out your eyes.""อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้พวกเขาพยายามจะทำอะไรกันแน่ปั้นให้เธอกลายเป็นเด็กดีพวกเขารู้หรือไม่ว่ามันอยู่หนใดอย่าได้วิจารณ์ เพราะพวกนั้นแก่และมีประสบการณ์ทำตามที่พวกเขาสั่งซะเถอะเธอคงไม่อยากให้ปีศาจมาควักลูกตาเธอ"- Schoolวง Art rock ยุค 70's ที่ชื่อ Supertramp เคยเขียนเพลงเกี่ยวกับระบบการศึกษาไว้สองเพลงคือ School กับ The Logical Song เพลง School นั้นพูดถึงการถูกสอนให้เชื่อฟัง ‘ผู้ใหญ่' เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นแบบเดียว พิมพ์เดียวกับพวกเขา ผลิตซ้ำมนุษย์รูปแบบเดิม ๆ ไม่ให้สังคมหันหน้าไปสู่ทิศทางอื่น นอกจากทิศทางที่ถูกครอบงำมาแล้วเท่านั้นฉันได้เจออะไรพวกนี้บ้างในห้องเรียน ฉันยอมรับว่าผู้ใหญ่บางคนก็ใจกว้างพอจะเปิดรับอะไร ๆ ที่ไม่ตรงกับทัศนะของเขา แต่ ‘ผู้ใหญ่' อีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ฉันระอามาตั้งแต่เริ่มมหาวิทยาลัยมาจนบัดนี้ อย่าให้ฉันได้บอกเลย พวกเขาคือ ‘ผู้ใหญ่' ตัวจริงที่มีอำนาจควบคุมมหาวิทยาลัย (และเผลอ ๆ จะรู้วิธีสืบทอดอำนาจเสียด้วย)คนพวกนี้คิดว่ามหาวิทยาลัยเป็นแค่ของพวกเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใช่ ๆ พวกเขาทำทีเป็นเรียกตัวแทนนักศึกษา (2-3 คนหรืออาจจะมากกว่านี้อีกไม่เกินหลักหน่วย) ไปหาข้อตกลงเวลาจะทำอะไร แต่จริง ๆ แล้วพวกเขามีพรรคนักศึกษาบางพรรคไว้ในอุ้งมือ นักศึกษาบางคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิมีเสียงจะคัดค้านอะไรมาก เหมือนแค่ไปรับฟังอะไร ๆ แล้วยอมรับมันเท่านั้นนี่คือสิ่งที่ฉันเรียนรู้มาสำหรับความตอหลดตอแหลของ ‘ผู้ใหญ่' บางกลุ่ม แล้วพวกเขาก็รักษาความตอหลดตอแหลนี้มาจนถึงบัดนี้ ในช่วงเวลาที่ฉันได้แต่คอยมองน้อง ๆ ต่อสู้กับอะไรแบบเดียวกัน ฉันเองก็จนปัญญา บางครั้งฉันเห็นน้องพวกนี้เสียกำลังใจ พวกเขาแปลกแยก อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าใจ เป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองแต่กลับเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ไอ่คำว่า ‘หัวรุนแรง' นี้เองเป็นคำที่พวกบ้าอำนาจใช้อ้างความชอบธรรมในการข่มเหงคนที่คิดต่างมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขณะที่คนที่เชื่อง ยอมเชื่อฟังและคล้อยตาม จะได้ชื่อว่าเป็น ‘คนน่านับถือ'"Now watch what you say or they'll be calling you a radical, liberal, fanatical, criminal.Won't you sign up your name, we'd like to feel you'reacceptable, respectable, presentable, a vegetable""ระวังหากเธอจะเอ่ยสิ่งใด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเรียกเธอว่า พวกหัวรุนแรง, เอาแต่ใจ, บ้าคลั่ง, อาชญากรเธอจะไม่เลือกมาสักชื่อหนึ่งหรือ แต่พวกเราน่ะ อยากให้เธอเป็นที่ยอมรับ, น่านับถือ, ไม่อายใคร และเหมือนเป็นเพียงผักปลา"- Logical Songและเรื่องที่เป็นประเด็นมายาวนานจนมาบูมอีกครั้งไม่นานมานี้คือเรื่องที่มหาวิทยาลัยจะออกนอกระบบ ซึ่งพวกผู้ใหญ่ได้ทำสิ่งที่น่าสงสัยมากคือการพยายามผลักดันให้ร่างกฏหมายฉบับที่จะทำให้เกิดการแปรรูปมหาวิทยาลัยให้ผ่านร่างทั้งสามวาระก่อนจะถึงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาฯ ผู้ใหญ่บางคนอ้างว่าเขาพยายามดันเรื่องนี้ 10 ปีมาแล้วแต่ไม่ว่าจะ 10 ปีหรือ 10 นาที การลักลอบกระทำกันในแต่พวกเบื้องบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับสังคมประชาธิปไตย และที่น่าสงสัยไปกว่านั้นคือการที่ผู้ใหญ่บางคนมีที่นั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติฯ ซึ่งหมายความว่า เขาจะทำการร่างเอง ให้ผ่านเอง ชงเอง กินเอง เสร็จสรรพ ซึ่งไม่ว่าเขาจะอ้างความชอบธรรมมาจากการแต่งตั้งยังไงก็ตาม แบบนี้พอได้รู้แล้วมันชวนให้คลื่นเหียนไหมสิ่งที่พวกเขาอ้างกันมาตลอดก็คือเรื่องของคุณภาพอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นคำลอยๆ จับต้องไม่ได้ ไม่มีอะไรมารับประกัน เรื่องค่าเล่าเรียนก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้มีข้อบังคับใดๆ ที่จะรับประกันว่าค่าเล่าเรียนจะไม่ขึ้นเกินเท่านี้ๆ ในกฏหมายที่พวกเขาร่างเลย และพอฉันถามเขาถึงเรื่องหลักประกัน เขาก็ไล่ให้ฉันไปทำประกันชีวิตเสียอีก บ้าหรือเปล่า! ผู้ใหญ่ที่ตอบคำถามอย่างเด็กอมมือเยี่ยงนี้มีความน่านับถืออยู่หรือไม่นอกจากเรื่องค่าเล่าเรียนที่พูดกันปาวๆ ไม่รู้จบแล้ว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าแต่น้อยคนจะได้รับรู้เพราะเป็น agenda แอบซ่อนของเหล่าผู้บริหารคือ การที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จตรวจสอบไม่ได้ เอาแค่อยู่ในระบบมันก็แอบซุกแอบซ่อน ทำนั่นทำนี่กันโดยไม่เคยถามนักศึกษา (มีแต่ถามตัวแทนนักศึกษาบางพรรคที่เป็นขี้ข้ามัน) พอมีปัญหาขึ้นมาก็จะออกมาตอบวกวนแบบขอไปที แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า พอออกนอกระบบไปแล้ว สภาพมหาวิทยาลัยที่กลายเป็นเหมือนรัฐเผด็จการคณาธิปไตยขนาดย่อมจะน่ากลัวแค่ไหนหรือจริงๆ แล้วพวกผู้บริหารมันไม่เคยเห็นนักศึกษาเป็นคน พวกนี้อาจจะเห็นนักศึกษาเป็นชิ้นส่วนการผลิตบางอย่างที่ไม่ควรจะมีสิทธิมีเสียง พร้อมที่จะประกอบแปรรูปชิ้นส่วนเหล่านี้ให้เข้าไปสู่ระบบที่ใหญ่กว่า (เผลอๆ จะไม่มีอะไรรับประกันพวกเขาด้วยว่า พวกเขาจะสามารถยอมเข้าไปเป็นชิ้นส่วนเหล่านั้นเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองได้จริงๆ) โดยไม่ได้เห็นเลยว่านักศึกษามีเจตจำนงค์อิสระ มีมิติชีวิตในด้านอื่นๆ นอกจากการศึกษาตามตำรา มีความหลากหลายทางความเชื่อ ทัศนคติและวิถีชีวิตสภาพแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงมิวสิควีดิโอ Another brick in the wall ที่ตัดมาจากภาพยนตร์ "Pink Floyd - The Wall" (เป็นเพลง The happiest day of our life กับ Another Brick in the Wall (Part 2) ต่อกัน) มิวสิควีดิโอฉายภาพระบบการศึกษาแบบเปรียบเปรยว่า นักเรียนเป็นเสมือนชิ้นส่วนการผลิตที่ค่อย ๆ ถูกลำเลียงลงไปสู่เบ้าหลอมเดิม ๆ ครูอาจารย์ (อยากรวมผู้บริหารไปด้วย) กลายเป็นผู้มีอำนาจ ผู้คุมปัจจัยในการผลิตมนุษย์ เพลงที่ติดหูที่สุดในอัลบั้ม The Wall เพลงนี้ ก็มีเนื้อเพลงประท้วงระบบการศึกษาที่ไร้เสรีภาพอย่างชัดเจน อำนาจในการควบคุมระบบการศึกษากลายเป็นอิฐอีกก้อนบนกำแพง"We don't need no educationWe dont need no thought controlNo dark sarcasm in the classroomTeachers leave them kids aloneHey! Teachers! Leave them kids alone!All in all it's just another brick in the wall.All in all you're just another brick in the wall.""พวกเราไม่ต้องการให้การศึกษามาบีบเค้นเราพวกเราไม่ต้องการการครอบงำทางความคิดไม่อยากให้มีคำเย้ยหยันหม่นมืดในห้องเรียนผู้บริหารทั้งหลาย อย่าได้มาจุ้นจ้าน!เฮ้ย! ได้ยินไหม! บอกว่าอย่าจุ้นจ้าน!ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มันก็แค่อิฐอีกก้อนบนกำแพงทั้งหมดทั้งมวลแล้ว พวกคุณก็แค่อิฐอีกก้อนบนกำแพง"- Another Brick in the Wall (Part 2)คิดต่อไปอีกว่า หลังจากที่พวกท่านทั้งหลายได้อำนาจเบ็ดเสร็จตรวจสอบไม่ได้ แทรกแซงไม่ได้ ไปแล้วนั้น หลักสูตรการศึกษาจะเป็นเช่นไร คงจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่เขาใช้ประกอบชิ้นส่วนพวกเรา ละเลยความเป็นมนุษย์ ความหลากหลาย มิติชีวิตด้านอื่นๆ ของพวกเรา ตัวเรียนในสายสังคม วัฒนธรรม ปรัชญา คงจะกลายเป็นส่วนเกินสำหรับพวกผู้ใหญ่ใจแคบเหล่านี้ ไม่พักต้องพูดถึงกิจกรรมที่มีแต่การสนับสนุนกิจกรรมสร้างภาพให้มหาวิทยาลัยและตัวพวกผู้บริหารเองเท่านั้น องค์กรนักศึกษาก็เหมือนเพียงทำงานตามใบสั่ง ไม่อาจให้ความเป็นธรรมแก่นักกิจกรรม หรือแม้กระทั่งนักศึกษาทั่วไปได้ไม่พักต้องพูดถึงการตัดขาดจากสังคมภายนอก จริงอยู่ที่ภาพของนักศึกษาในปัจจุบันนี้ก็เหมือนเป็นอภิสิทธิชนผู้ตัดขาดตัวเองจากปัญหาของสังคม แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นักศึกษาที่ยังไม่ตัดขาดตัวเองออกจากสังคมโดยสิ้นเชิงก็ยังมีอยู่ แต่พวกเขาจะหลงเหลือพื้นที่ให้ได้ออกมาเรียกร้องอะไรเพื่อสังคมที่เขาอาศัยอยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อขนาดเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ไอ่พวกผู้บริหารใจแคบก็รับฟังไปเพียงผ่านๆ หูการพัฒนาเป็นสิ่งที่ดี แต่การพัฒนาไปด้วยการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จจำนวนไม่กี่คนนั้น มันไม่คับแคบไปหน่อยหรือ พวกท่านจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่ละเลยความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ละเลยมิติชีวิตด้านอื่นๆ ไม่ละเลยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ละเลยผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา ฯลฯถ้าหากพวกท่านยังคงอยากเดินดุ่มต่อไป ผมก็จะเลิกพูดกับคนหูทวนลมเช่นพวกท่าน แล้วหันมาให้กำลังใจน้องๆ ทั้งหลายว่า"ไปเถิด ไปยืดอำนาจจากพวกผู้ใหญ่ใจแคบเหล่านี้แย่งชิงไป กลับมาคืนให้กับพวกเราทุกคน!""The present curriculumI put my fist in ‘emEurocentric every last one of ‘emSee right through the red, white and blue disguiseWith lecture I puncture the structure of liesInstalled in our minds and attemptingTo hold us backWe've got to take it backHoles in our spirit causin' tears and fearsOne-sided stories for years and years and yearsI'm inferior? Who's inferior?Yeah, we need to check the interiorOf the system that cares about only one cultureAnd that is whyWe gotta take the power back""หลักสูตรในทุกวันนี้ฉันสอยหมัดใส่พวกมันพวกมันเผยความรู้แบบรวมศูนย์ทั้งนั้นมองผ่านเส้นสีลวงๆ ของพวกมันได้เลยด้วยการเรียนรู้ฉันทิ่มแทงโครงสร้างแห่งความโป้ปดที่ติดตั้งเข้าไปในความคิดพวกเรา แล้วก็คอยดึงพวกเรากลับหลังพวกเราจะต้องนำมันกลับคืนมารูโหว่ในจิตวิญญาณของพวกเรานำมาซึ่งน้ำตาและความกลัวรับรู้เรื่องราวจากความข้างเดียว มาเป็นปี หลายปี หลายๆ ปีฉันคือชนที่ด้อยกว่าหรือ? ใครกันที่ด้อยกว่าใคร?ใช้เราต้องคอยดูเรื่องความด้อยกว่าของระบบที่สนใจแค่วัฒนธรรมหนึ่งเดียวเท่านั้นและนั้นคือสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องยืดอำนาจกลับคืนมา"- Take the Power BackTake the Power Back เป็นหนึ่งในเพลงประท้วงระบบการศึกษา มาจากวง Rage against the Machine วงที่นำเอา Rap Rock มาผสมกับดนตรี Alternative Metal เนื้อเพลงนี้พูดถึงการครอบงำเนื้อหาในระบบการศึกษา ที่สร้างวาทกรรมครอบงำจากฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่สนใจวัฒนธรรมหรือแนวคิดอื่นที่แตกต่าง ฝังหัวให้ผู้คนเชื่อในอะไรบางอย่าง ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อการสืบทอดอำนาจของพวกเขาเองหมายเหตุ (1) : เขียนจากประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับสถานการณ์ ม.นอกระบบ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ (ไม่รู้เล้ยยย) ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันหมายเหตุ (2) : การแปลเนื้อเพลงในครั้งนี้จงใจดัดแปลงให้เข้ากับเหตุการณ์ ยุคสมัย และบริบททางสังคม
กิตติพันธ์ กันจินะ
“อากาศหนาวๆ เย็นๆ อย่างนี้ หากได้หาใครสักคนมาอยู่ข้างกายก็คงจะดี” เพื่อนรุ่นพี่พูด บอกเสมือนจะสื่อให้ผมหาใครสักคนมาอยู่ข้างกาย เพื่อเป็นเพื่อนคุย แต่ผมคิดว่านัยยะของคำพูดนี้ น่าจะสะท้อนความคิดบางอย่าง ว่าการที่จะมีใครสักคนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เราในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ แน่นอนว่าจะช่วยทำให้เราอุ่นกายและอุ่นใจได้พร้อมๆ กันผมครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่ หลายวัน พลันกับได้ยินเรื่องราวเรื่องการคัดค้านมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือ ‘มอ’ นอกระบบ  ก็ทำให้นึกถึง ความรักนอกระบบ ไปด้วย ความรักนอกระบบ กับ ‘มอ’ นอกระบบ แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ความต่างของทั้งสองเรื่องก็น่าจะทำให้เรามองเห็นความเป็นไปของสังคมมนุษย์ได้อย่างเท่าทันมหาวิทยาลัยนอกระบบ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “จุดจบ” บางอย่างของชีวิตนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องหลักประกันทางการศึกษา ฯลฯ ซึ่งผมมองว่า การนำมหาวิทยาลัยภายใต้รัฐแปรรูปไปสู่การอยู่ในกำกับ จะสามารถสร้างความอิสระของสถานอุดมศึกษาในการบริหารจัดการต่างๆ แต่นั้นอาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีต่อนักศึกษาผู้เล่าเรียนและแสวงหาเท่าใดนักเนื่องเพราะทุกวันนี้ การอุดหนุนค่าใช้จ่ายทางการศึกษาและการกำหนดเพดานสนับสนุนงบลงทุนเพื่อการศึกษานั้น รัฐอุดหนุนค่อนข้างจะพอดีต่อความจำเป็นของแต่ละสถานที่ และหากออกนอกระบบไปแล้วเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการยกเลิกเพดานการศึกษาและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากรัฐอย่างเพียงพอและทั่วถึง นั่นจึงทำให้มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบต่างจัดการหาทุนมามากขึ้นส่วนความรักนอกระบบ ในที่นี่ผมจะกล่าวถึง ความรักระหว่างคนกับคน หรือระดับปัจเจก ซึ่งมีนัยระหว่างคู่กับคู่นั่นเองแหละครับ – ความรักนอกระบบ นั้น เป็นความรักที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับของคนในสังคมมากกว่า “ความรักตามระบบ” เนื่องเพราะความรักที่เป็น “ความรักของคนรักเพศเดียวกัน” – เช่น ชายรักชาย หญิงรักหญิง, “ความรักของคนอายุน้อย” – เช่น เยาวชน วัยรุ่น เด็กๆ, “ความรักนอกสมรส” - ไม่ได้แต่งงานแล้วดันมีรักหรือมีเซ็กส์กันก่อนแต่ง หรือ “ความรักของคนหลายใจ” – พวกที่แบบไม่ได้รักเดียวใจเดียว ความรักต่างๆเหล่านี้เป็นความรักนอกระบบ ที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับทางสังคมทำไมจึงเป็นเช่นนั้น, ผมเองก็ไม่ทราบนะครับทั้งนี้ เมื่อความรักนอกระบบ นำไปสู่ “เซ็กส์” ด้วยล่ะก็ ไม่ต้องพูดเลยว่าจะได้รับการยอมรับแค่ไหน เพราะสังคมยังคงเมินเฉย และไม่ยอมรับต่อเซ็กส์ที่ไม่ใช่เซ็กส์ของผู้ใหญ่ เซ็กส์ของคนรักต่างเพศ เซ็กส์เพื่อสืบทายาท เซ็กส์กับคนๆ เดียว และเซ็กส์พร้อมกับพิธีกรรมแต่งงาน ฉะนั้นแล้ว เซ็กส์ของเด็ก เซ็กส์ของคนรักเพศเดียวกัน เซ็กส์เพื่อความบันเทิง เซ็กส์กับคนหลายๆ คน และเซ็กส์ก่อนแต่งงาน ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมเป็นแน่แท้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้, ผมเองก็ไม่ทราบนะครับทว่าเมื่อได้รับฟัง พี่ๆ บางคนเล่าให้ฟังเรื่องว่าความรักและเซ็กส์สัมพันธ์ของคนไทยแต่เดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร หลายคนยกตัวอย่างเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เรื่องลิลิตพระลอ ขึ้นมาเปรียบให้เห็นสังคมไทยสมัยแต่เดิมดั้งว่า แท้แล้ว เรื่องเพศเป็นเรื่องเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีไว้เพื่อสืบพันธุ์ หรือเพื่อจรรโลงศีลธรรมอันดีงาม ต่อเมื่อไทยรับเอาอิทธิสมัย “วิคทรอเรีย” เข้ามาใช้ อาทิเช่น การแต่งตัวของหญิง การครองเรือน หรือแม้กระทั่งการรักนวลสงวนตัว ก็เกิดในยุคนี้ ซึ่งเท่าที่ทราบคือได้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5นับตั้งแต่นั้นมา ความรักแบบในระบบ จึงถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อทำให้เป็น “บรรทัดฐาน” ของสังคม กลายเป็นจารีตประเพณีที่หยั่งลึกลงไปในสังคม ทำให้พื้นที่ของคนที่มีความรักแตกต่างออกไปจากบรรทัดฐานของสังคม ไม่ได้รับการยอมรับและเข้าใจ กลับกลายเป็นของแปลกแยกในสังคมไปโดยปริยายเมื่อทราบประวัติศาสตร์แล้ว ใช่จะหมายความว่าเราจะต้องยอมรับเรื่องเพศนอกระบบทันทีก็คงไม่ใช่เพราะประวัติศาสตร์คงทำให้เราได้เห็นถึงที่มาของเรื่องบางเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมรับในประวัติศาสตร์เลย อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่า เวลามีคนบอกว่า แบบนี้เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย เราจะได้บอกได้ว่า วัฒนธรรมไทยแท้แล้วเป็นแบบไหนกันแน่ส่วนเรื่องการจะยอมรับหรือไม่นั้น ประวัติศาสตร์อาจช่วยทำให้เรามองสังคมมองเรื่องเพศเรื่องความรักอย่างเข้าใจมากขึ้น อันจะนำไปสู่การ “รื้อสร้าง” วิธีคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ต่อเรื่องเพศวิถีของคนที่กว้างขึ้น เข้าใจและยอมรับความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นในใจผมจริงๆ แล้ว อยากให้เรามองความรักนอกระบบด้วยความเข้าใจ และยอมรับในวิถีชีวิตทางเพศของคนที่แตกต่างจากเรา แม้ว่าเขาจะเลือกมันหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อเขามีวิถีแบบนั้นแล้ว เราน่าจะมองเขาด้วยความเอื้ออารีและไม่ตีตราหรือต่อว่าต่อขานกับทางเลือกชีวิตของคนนั้นๆ ตราบเท่าที่ทางเลือกนั้นไม่ได้ไปเบียดเบียนหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่นส่วนเรื่อง มหาวิทยาลัยนอกระบบ ไม่ว่าใครจะเอาบทเรียนจากต่างประเทศมาพูดคุยสรรพคุณว่าดีแบบนั้น แบบนี้ ผมว่ามันดูจะเป็นการพูดที่ไม่เข้าใจเลยว่าบริบทวัฒนธรรมการศึกษาของบ้านเราเป็นแบบไหน (การศึกษาก็เริ่มปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นเดียวกับการสถาปนารักในระบบ) แม้ว่าทุกวันนี้ระบบการศึกษาจะมุ่งไปที่การแข่งขันทางการตลาดก็ตาม ผมว่าระบบการศึกษาควรจะแก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ มากกว่าการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนะครับ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การเข้าถึงการศึกษาของคนยากจน เป็นต้นทั้งนี้ จุดหนึ่งที่ผมว่ารักนอกระบบยังดีกว่ามหาวิทยาลัยนอกระบบนั้นก็คือ ความรักนั้นย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความปลอดภัย ความสุข ความรับผิดชอบ และยินยอมพร้อมใจของคนสองคน ทว่าการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น ไม่มีทั้งความปลอดภัย ความสุข ความรับผิดชอบ และความยินยอมพร้อมใจของคนที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิด...
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ ต้นไม้ส่ายยอดโอนเอนรับน้ำฝน พื้นดินแข็งถูกน้ำซึมเซาะจนอ่อนนุ่ม บริเวณกอกล้วยมีไส้เดือนตัวสีดำโผล่ออกมาคืบคลานอย่างเริงร่า ในขณะที่สัตว์บางชนิดหลบเข้าไปอยู่ในรูอันปลอดภัย  เด่นกับสายรุ้งหลบเข้าไปอยู่บ้านของตา ม่านฝนเป็นโค้งสีขาวเคลื่อนไหวไปตามแรงลมที่พัดกระหน่ำ สายฝนตกกระทบหลังคาฟังเหมือนเสียงดนตรีที่มีท่วงทำนองอันไม่เคยซ้ำก่อนที่จะไหลสู่รางน้ำ มีตุ่มรองรับน้ำฝนอยู่ข้างล่างเด่นถอดเสื้อออก “ฉันว่าฉันจะเล่นน้ำ” “ฉันเล่นด้วย” สายรุ้งว่า “นายต้องบอกแม่ก่อน” “จะบอกได้ยังไง ฉันติดฝนอยู่อย่างนี้ ถ้าฉันวิ่งไปบอกแม่ ฉันก็เปียกฝนอยู่ดี” สายรุ้งอ้าง“แล้วแต่นายก็แล้วกัน” สายรุ้งถอดเสื้อออก สายลมพัดมาต้องผิวกายให้ความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่อากาศอบอ้าวมาตลอดหลายวันเด่นกระโจนลงจากชานบ้าน สายรุ้งกระโดดตาม ทั้งคู่วิ่งไปยังชายคา บริเวณที่สายฝนไหลมารวมกันที่รางน้ำก่อนจะตกลงมา เด่นปล่อยให้น้ำตกลงบนศีรษะ แผ่นหลัง เขากระโดดขึ้นลงอย่างสนุกสนาน แล้วสายรุ้งก็ทำตาม  “เขาว่าน้ำฝนบริสุทธิ์” เด่นอ้าปากออกเพื่อรับน้ำฝนที่หล่นมาจากฟ้า สายรุ้งรู้สึกขำเพราะมันทำให้เขานึกถึงจระเข้ที่อ้าปากค้างไว้อย่างนั้นเป็นชั่วโมงซึ่งเขาเคยเห็นในสารคดี“ไม่บริสุทธิ์หรอก เพราะมันมีฝุ่น”“นายรู้ได้ยังไง”“ครูที่โรงเรียนบอก”เด่นวิ่งนำสายรุ้งไปยังต้นละมุด และต้นมะม่วงซึ่งมักจะหล่นลงมาเวลามีฝนตกหรือลมพัดแรง ถ้าพวกเขาไม่เก็บ เด็กคนอื่นก็จะเก็บไป“โอ้โห!” เด่นอุทานเมื่อเห็นผลละมุดเกลื่อนกระจายอยู่บนลานหญ้า “ฉันว่าเอากองไว้ก่อนแล้วค่อยเอาถุงมาใส่”จากนั้นทั้งคู่วิ่งไปยังบ่อเลี้ยงปลาซึ่งปลามักจะกระโดดขึ้นมาเล่นน้ำอยู่บ่อย ๆ เวลาที่มีฝนตก ระดับน้ำในบ่อเบี้ยงปลาไม่ลึกมาก แค่เพียงหน้าอกของสายรุ้งเท่านั้น  แต่บ่อค่อนข้างกว้าง ผักกะเฉดแผ่เลื้อยทอดยอดอยู่รอบ ๆ ตลิ่ง“ดูสิ” สายรุ้งว่า “ปลาช่อน ปลากระดี่กระโดดออกมา”“ปลากระดี่มาจากไหน ตาไม่ได้เลี้ยงปลากระดี่นี่”“มันคงมาเอง”รอบบ่อเลี้ยงปลามีตาข่ายกันไว้ กันไม่ให้ปลากระโดดหนีแต่ปลาก็ยังเล็ดรอดออกมาได้ ตาข่ายยังช่วยป้องกันงูที่เข้ามากินปลาได้ด้วย บางทีมีงูตายค้างอยู่ที่ตาข่ายเพราะพยายามจะเข้าไปในบ่อเพื่อหาปลา“กลับกันเถอะ” สายรุ้งชวน “ฉันหนาวแล้ว” ทั้งคู่วิ่งกลับไปบ้านตา สายรุ้งจัดการอาบน้ำ น้ำประปาอุ่นสบายเมื่อเทียบกับน้ำฝน แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี“นายห้ามป่วยนะ” เด่นว่า “ไม่งั้นได้อดเล่นน้ำฝนกันอีกแน่ ๆ”“ท่าทางฉันเหมือนคนขี้โรคหรือ” สายรุ้งตอบ ท่าทางยียวน“กลับบ้านไปเจอแม่แล้วจะรู้” เด่นพูดฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่าย ๆ ด้วยความเป็นห่วง แม่มาตามสายรุ้งที่บ้านของตาและพบว่าสายรุ้งหนาวสั่นเหมือนลูกนกอยู่ภายใต้ผ้าขนหนู โดยที่ไม่ต้องรอให้แม่ถาม สายรุ้งชิงออกตัวเสียก่อนเลยว่า“ผมเล่นน้ำฝนครับแม่” แม่เช็ดตัวให้สายรุ้งทั้งที่เขาเช็ดจนทั่วแล้ว “หนาวไหม หวังว่าพรุ่งนี้คงจะไม่ป่วยนะ” “ผมไม่ป่วยง่าย ๆ หรอกครับแม่”“แม่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”  “ถ้างั้นแม่ก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ผมเล่นน้ำฝน”“ไม่ว่าอะไรหรอก เพียงแต่แม่อยากให้ลูกบอกแม่เสียก่อนเท่านั้นเอง”“ครับแม่” สายรุ้งพูด แล้วซุกศีรษะกับอกอุ่นของแม่
กิตติพันธ์ กันจินะ
ความรักไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าวัย-อาชีพ-เพศ-ชนชั้น-เชื้อชาติใด ความรักย่อมมีอยู่ในทุกที่ ดั่งเช่นความรักของคนทำงานเรื่องเพศในการทำงานเรื่องเพศ หลายคนมองว่าอาจยากต่อการทำความเข้าใจกับคู่ของตัวเอง เมื่อเราเป็นผู้หญิงและคู่ของเราเป็นผู้ชาย แล้วให้เราเริ่มคุยเรื่องเพศก่อน ก็อาจถูก ‘คู่’ ที่คบหาตกใจ หรือมองเราในมุมที่ไม่ค่อยดีก็เป็นได้ แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ปัจจุบันผู้หญิงหลายคนเริ่มคุยเรื่องเพศของตนมากขึ้น และผู้ชายเองก็ไม่ได้มองผู้หญิงมุมลบๆ อย่างเดียว หากมองว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่ได้รับฟังเรื่องของคนที่ตัวเองคบอยู่ มีประสบการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งจากเรื่องของเธอ – รุ่นพี่ที่ทำงานในเรื่องเพศมาเป็นระยะเวลานานหลายปี รุ่นพี่สาวเล่าว่า “ในคู่ของตัวเอง เวลามีหรือไม่อยากมีอะไร พี่ทำงานด้านนี้ แต่คู่ไม่ได้ทำ แรกๆ กลัวเหมือนกัน แต่พอคุย ก็รู้ว่าเขาเข้าใจง่าย เวลาเราอยากมีหรือไม่อยากมี เราก็คุยกัน พี่ไม่ได้กลัวเรื่องไม่ไว้ใจ ก็กังวล ก็ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็คุย เขาก็ฟังเรา เขาก็รู้ว่าทำไมเราคิดแบบนี้” “อย่างความสุขทางเพศ พี่ก็คุยเรื่องถ้าเรามีแบบไม่ป้องกัน พี่ก็ถามว่า ใช้กับไม่ใช้อะไรรู้สึกดี เขาก็บอกว่า ไม่ใส่ดีกว่า แล้วพี่ก็ถามกลับว่าทำไม เขาบอกว่ามันไม่ได้แนบเนื้อ พี่ก็ถามว่าจริงเหรอ เค้าก็บอกว่าเวลาใส่ก็เสร็จเหมือนกัน มันเป็นเรื่องความรู้สึก” แล้วเวลาคุยแบบนี้ เขามองเราอย่างไร? - ผมถาม“ไม่นะ พี่ว่าเรื่องแบบนี้ต้องคุยกัน คุยตั้งแต่ไม่เคยมีอะไรกัน คุยมาตลอด ยกตัวอย่างคนรอบข้าง อย่างบางทีเขามองชายกับชายภาพลบ พี่ก็จะคุยกับเขา อย่างเวลาไปไหน ก็จะคุยกับเขา เวลาเขาเห็นคู่ไหน เวลาที่พี่คิดว่าจะเติมก็เติมตลอด” รุ่นพี่บอกสำหรับผู้หญิง, แน่นอนว่า เพื่อนชายของคู่เราหลายๆ คนอาจมองในด้านลบ แต่การได้เริ่มคุยกับคู่ของตัวเองก็ทำให้สามารถขยาย ไปกับคนอื่นต่อได้ อย่างความคิดของเธอ ที่มองว่า เราอาจไม่ใช่คนสุดท้ายของเขา ที่เราทำไปเพื่อวันหน้าถ้าเขาคบคนใหม่ เขาก็ไม่ได้ดูหมิ่นใคร เขาก็ไม่เบียดเบียนคนอื่นๆ มีความเข้าใจในคู่ของเขา เราไม่คิดว่าจะคบกับคนนี้ไปตลอด เป็นการเริ่มต้นคุยเรื่องเพศจากคนใกล้ตัวทว่าการคุยแบบนี้บางครั้งกับบางคนก็อาจไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ตรงกันข้ามบางคนที่ได้คุยด้วยก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด “พี่ว่า เขาดีขึ้น เวลาเห็นคนอื่นก็เป็นห่วงสุขภาพคนอื่นมากขึ้น เช่นเอาถุงยางให้เพื่อน สอนน้องชายเขา ก็คุย เรื่องการป้องกัน เรื่องความเสี่ยง เขาก็ช่วยเรื่องแจกถุงยาง เพื่อนที่รู้จักเวลาไปเที่ยวอาบอบนวดเขาก็คุยกับเพื่อน” เธออธิบายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากคู่ของตัวเอง และยังมองว่า “เวลาเห็นเขาเปลี่ยน จะรู้สึกดี ไม่ได้ช่วยสังคมทั้งหมด แต่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ก็ดีแล้ว ได้ช่วยเพื่อนๆ ปลอดภัยดี”ในรายละเอียดบางเรื่อง กว่าที่จะทำให้คู่เปลี่ยนทัศนคติได้ แน่นอนว่าการพูดคุยอาจมีทั้งเรื่องลึกและเรื่องตื้น คละกันไปตามกาลเวลา – อย่างเรื่องท่วงท่าหรือลีลาการร่วมเพศ....เธอ เล่าอย่างตั้งใจว่า “พี่จะคุย ส่วนใหญ่ จะถาม อย่างเวลาดูหนังโป๊ ก็ลองมาทำ แบบนี้ใช่ ไม่ใช่ ชอบไม่ชอบ ในความคิดของเขาอาจมี แต่เขาไม่กล้า พี่ว่าเซ็กส์ของคนกับในหนังต่างกันมาก คนเราจริงๆ ไม่ได้ร้องแรงๆ โอเวอร์ๆ หรือข้ามกันไปมา เหมือนในหนังที่ผู้หญิงต้องร้องครวญครางอย่างดุเดือด ผู้ชายต้องทำแรงๆ ในความเป็นจริง พี่ว่ามันไม่ได้รุนแรงเหมือนในหนัง คือเรานึกถึงความรู้สึกของคู่มากกว่า”“อย่างท่า เราก็คุยว่าแบบนี้ แรงไป เบาไป เราก็คุยว่า ควรจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยนพี่บอกเขาว่าไม่ชอบโลดโผน มันก็ช่องเดียวกัน พี่คุยตลอด เพราะรู้ว่าต้องเริ่มจากคู่เราก่อนที่จะไปบอกกับคนอื่นๆ เวลาเราไปบอกคนอื่นๆ แล้วไม่ได้เริ่มจากตัวเอง มันมีความรู้สึกบางอย่าง อย่างคู่หรือคนที่รู้จัก พี่ก็จะคุยกับคนทุกคน ทั้งใกล้ตัว อย่างเพื่อน สนิทไม่สนิท” นอกจากการคุยเรื่องเพศจากคนใกล้ตัวแล้ว การคุยกับคนรอบข้าง เพื่อขยายความเข้าใจ หรือสร้างพื้นที่ในการคุยเรื่องเพศก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันด้วยประสบการณ์ของแต่ละคน“พี่ว่าเรื่องเพศ ไม่ใช่เรื่องลามก เรื่องเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบตั้งแต่จับไปจนถึงสอดใส่ มันไม่ใช่ลามก แต่มันอยู่ที่ ‘คำพูด’ และ ‘กาลเทศะ’ พี่ไม่เคยโดนว่า ว่าลามก แต่พี่ดูว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนก่อน อย่างเวลาคุยก็ต้องค่อยๆ คุยจากเรื่องไกลตัวมาใกล้ตัว อย่างรุ่นน้องบางคนก็ไม่ได้ถามตรงๆ แต่คุยอ้อมๆ แล้วค่อยเข้าเรื่อง” ใช่, การคุยอาจไม่จำเป็นต้องคุยแบบตรงอย่างขวานผ่าซาก แต่เราสามารถที่จะคุยอย่างอ้อมค้อม แต่เมื่อถึงจุดสำคัญแล้วก็ต้องคุยเรื่องเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อม ไม่วกวน แต่ต้องเข้าถึงเรื่องอย่างเปิดเผย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการคุยเรื่องเพศทั้งนี้ การคุยด้วยท่าที ที่เป็นมิตร เพื่อสร้างให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยในการคุย ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อ การคุย เพราะอย่างประสบการณ์ของเธอ ก็มองว่า “เรื่องไหนที่ใช่ ไม่ใช่เราก็จะบอก บางครั้งอาจดุ บางครั้งไม่ดุ เรามีเจตนาดีเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว คือคุยด้วยความเป็นมิตร เป็นมิตรมันอธิบายไม่ได้ แต่มันสัมผัสได้” การคุยเรื่องเพศจากมุมของตัวเอง กับคู่หรือคนรอบข้าง, ความเป็นมิตร คือหัวใจที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันอย่างปลอดภัยและนำไปสู่การมองชีวิตของตัวเองในด้านอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เพียงเราเริ่มคุยเรื่องต่างๆ จากมุมของเรา ด้วยความเข้าใจและยอมรับในกันและกันเหมือนอย่างที่ใครคนหนึ่งบอกไว้ว่า – หากจะรู้จักรักก็ต้องรู้จักปลอดภัยด้วยจริงไม่จริง เราเท่านั้นแหละ, ที่รู้ดีกว่าใคร
กิตติพันธ์ กันจินะ
เมื่อหลายวันก่อน ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมเวที “เพศศึกษาเพื่อเยาวชน” ของโครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ องค์การแพธ ร่วมกับมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และพันธมิตรอีกหลายองค์กร จัดงานระดับภาคตะวันตกและภาคตะวันออกขึ้น โดยการจัดครั้งนี้เป็นการครั้งแรกของภาคดังกล่าวภายในงานมีเยาวชนจากหลายโรงเรียนและหลายกลุ่มเข้าร่วม พร้อมๆ ทั้งผู้ใหญ่จากหน่วยงานภาคการศึกษาและหน่วยงานภาคประชาสังคม เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งธีมหลักๆ ของเวทีนี้คือ “ร่วมกันชี้โพรงให้กระรอกเข้าอย่างปลอดภัย” ทำไมต้องชี้โพรงให้กระรอก ในเมื่อกระรอกรู้ว่าโพรงนั้นต้องเข้ายังไง – ใครคนหนึ่งถามผมขึ้นมาเมื่อรู้ว่าธีมหลักของงานคือเรื่องทำนองสอนให้วัยรุ่นมีเซ็กส์อย่างปลอดภัยเพราะกระรอกรู้ว่าโพรงนั้นเข้ายังไง แต่เขาเข้าอย่างไม่ปลอดภัยยังไงล่ะ พวกเราจึงต้องชี้โพรงอย่างปลอดภัยให้กับกระรอก – ผมตอบ, พร้อมอธิบายอีกว่า “ผู้ใหญ่มักมองเยาวชนเป็นกระรอกและเมื่อเราคุยเรื่องเพศแล้ว เขาทั้งหลายมักมองว่าการพูดคุยเรื่องเพศนั้นเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นเยาวชนสามารถเข้าโพรงได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่หรือใครมาชี้ด้วยซ้ำ” เรื่องการเข้าโพรง อาจอุปมาเปรียบดั่งการมีเซ็กส์ก็เป็นได้ ทำไมผมคิดเช่นนี้ ก็เพราะพวกเราหลายคนมักคิดกันเช่นนี้ ดังนั้นผมเลยต้องคิดแบบนี้ด้วย หากใครจะอุปมาเป็นอย่างอื่นก็ไม่ว่ากัน แต่บริบทนี้ผมขอกล่าวถึงการเข้าโพรงโดยนัยยะของการมีเซ็กส์นะครับกล่าวสำหรับเรื่องการมีเซ็กส์นั้น ตอนนี้เรารู้กันอย่างทั่วไปว่า วัยรุ่นมีเซ็กส์กันในอายุที่น้อยลง ดูจากการวิจัยล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขก็ชี้ให้เห็นว่าเยาวชนชายอายุ 15 ปี และเยาวชนหญิง อายุ 16 ปี โดยเฉลี่ยนั้นเริ่มมีเซ็กส์ครั้งแรก และครั้งนั้นๆ ล้วนเกิดขึ้นโดยเขาและเธอไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย (มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้รับการสำรวจและตอบแบบสอบถาม)เมื่อพูดถึงเซ็กส์ครั้งแรกแล้ว – อยากชวนให้คนที่ “เคยมี” ประสบการณ์ด้านนี้ ลองคิดถึงครั้งนั้นของตนว่ามีที่ไหน บริบทที่เกิดขึ้นเป็นยังไง ความรู้สึกตอนนั้นเป็นแบบใด ฯลฯ หรือหากใครที่ยัง “ไม่เคยมี” แล้วคิดอยากจะมีลองคิดสิครับว่าจะมีตอนไหน อายุเท่าไหร่ พร้อมมากน้อยเพียงใดต่อการมีเซ็กส์ครั้งแรก ฯลฯ แล้วหากใครที่ยัง “ไม่เคยมี” และ “ไม่ขอมี” เลย หรือขอมีตอนพร้อมจริงๆ นั้น ก็ลองถามตัวเองว่า จะมีอย่างไรให้ปลอดภัย มีความสุข รับผิดชอบ ฯลฯเรื่องจังหวะและเวลาของการมีอะไรกันครั้งแรกนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่งครับท่านๆ  เพื่อนที่รู้จักกัน ที่เคยมีเซ็กส์หลายๆ คน ต่างบอกโทนเสียงคล้ายกันว่า “ครั้งแรก” ของเขาและเธอนั้นเกิดจากความไม่ตั้งใจ ไม่พร้อม แต่เมื่อได้มีกับคนรักหรือแฟนหรือคู่นอนแล้ว ต่างก็พร้อมที่จะมี อย่างไม่อาจปฏิเสธต่อรองได้ (ผมไม่ได้ถามต่อว่าเพราะอะไร) ดังนั้นส่วนมากครั้งแรกของพวกเขาจึงไม่ได้เกิดจากการวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือกำหนดว่าอีกสามสี่เดือนจะมีเซ็กส์เดือนนี้ จะมีวันนี้ จะมีชั่วโมงนี้ แต่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุ ปัจจัย เงื่อนไข เฉพาะหน้ามันอำนวยแบบไม่ตั้งตัวเสียมากกว่าส่วนที่ใครจะนัดกันว่า “นี่เธอเดี๋ยว วันลอยกระทงเรามีเซ็กส์กันเถอะ” หรือ “เรารักกันมาก เรารอไปมีตอนวันวาเลนไทน์ดีกว่า” หรือ “อืม...ฉันขอมอบความรักให้เธอเป็นของขวัญตอนวันเกิดนะ” – แบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครคุยกันบ้าง ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้าม แน่นอนว่าบางคู่ที่ไม่คุยกัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจ้องรอคอยวันสำคัญๆ เพื่อครั้งแรกของเขาและเธอก็ได้ หรือทำนองเดียวกัน เขาและเธออาจอยากให้วันแรกของครั้งแรกเป็นที่จดจำในห้วงความทรงจำของเขาและเธอก็เป็นได้ ทีนี้หากเขาเลือกที่จะมีเซ็กส์ในวันต่างๆ เหล่านี้มันจะเกิดผลอะไรตามมา จะท้องหรือ จะแท้งหรือ จะติดเชื้อเอชไอวีหรือ จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือ แล้วหากเขาและเธอ มีเซ็กส์ในวันสำคัญ เทศกาลเด่นๆ นั้นๆ โดยใช้ถุงยางอนามัยล่ะ เขาและเธอ จะท้องหรือ จะแท้งหรือ จะติดเชื้อเอชไอวีหรือ จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือ แล้วมันจะเสียหายอันใดมิทราบ (ประเด็นนี้ผมหมายถึงทุกคนไม่เว้นว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่นะครับ)ทีนี้ เนื่องในวันสำคัญ เทศกาลเด่นที่คนออกมาตะโกนว่า “เด็กๆ จะมีเซ็กส์กันแล้ว” เรารีบมาห้าม มาปราม มาปราบกันหน่อยนั้น จะสามารถป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่จะตามมาได้จริงหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจ (และคิดว่าคนประเภทนี้ชอบมายุ่งปริมณฑลส่วนตัวของวัยรุ่นมากเกินไป) เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว หากใครจะมีอะไรกับใครนั้น เราจะไปรู้ได้ตลอดหรือไม่ แล้วคิดว่าเขาจะมีแค่วันสำคัญหรือเทศกาลเด่นๆ เท่านั้นเองหรือประเด็นเรื่องว่า จะชี้โพรงให้กระรอกเข้าอย่างปลอดภัยนั้น ทำได้ และต้องจำเป็นต้องทำทุกๆ วันเช่นกัน ไม่ใช่แค่วันสำคัญหรือเทศกาลเด่นๆ เท่านั้น - จริงๆ แล้ว ผมกลับมองว่าถ้าจะออกมากระตุ้นให้วัยรุ่นมีเซ็กส์อย่างปลอดภัย หรือใช้ชีวิตทางเพศของตัวเองอย่างรับผิดชอบนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ ต้องทำทุกๆ วัน ไม่ใช่แค่วันสำคัญ หรือเทศกาลอย่างใด อย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น พอถึงวันลอยกระทง – วันวาเลนไทน์ – วันเกิด – หรือวันอะไรอีกก็ตามแต่ ผู้ใหญ่ที่ชอบเข้ามาล่วงล้ำปริมณฑลส่วนตัวของวัยรุ่นดีนัก จะได้ไม่ต้องออกมาตีโพยตีพายแบบที่เป็นอยู่...
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น กลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างออกรสชาติของเด็กบางคนสายรุ้งประหลาดใจมากที่เด็กนักเรียนบางคน กระซิบกระซาบกันอย่างน่าสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้พ่อของเพื่อนนักเรียนคนนั้นป่วย“พ่อเขาเป็นโรคร้าย” “ไม่มีทางรักษา”“พ่อเขาชอบเที่ยวผู้หญิง”“งั้นแม่ของเขาก็อาจติดโรคด้วย”สายรุ้งไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้เลย แน่ละ จากสถานการณ์ สายรุ้งรู้ว่าพ่อของเพื่อนนักเรียนป่วยด้วยโรคร้ายแรงซึ่งอาจจบลงด้วยการสูญเสีย แต่เท่าที่สายรุ้งรู้ก็คือ โรคทุกชนิดสามารถรักษาได้หรืออย่างน้อยก็อาจยืดชีวิตออกไปได้นาน แม่บอกสายรุ้งอยู่เสมอว่าโรคทุกชนิดสามารถรักษาได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วทำไมพวกเด็ก ๆ จึงพากันพูดแบบนี้ ถ้าเพื่อนนักเรียนคนนั้นได้ยินเข้าคงจะเสียใจไม่น้อยสายรุ้งถามแม่ว่า “แม่ครับ มีคนบอกว่าโรคบางโรครักษาไม่ได้จริงไหมครับ” อันที่จริงสายรุ้งเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อกลับมาถึงบ้าน บ้านอันอบอุ่นที่ความกังวลใจจะไม่มาแผ้วพานสายรุ้งหยิบการบ้านขึ้นมาทำ วันนี้มีการบ้านสองวิชา  พอสายรุ้งนึกถึงการบ้าน เขาก็นึกถึงเพื่อนที่ไม่มาโรงเรียน แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ได้ยิน“เรื่องนี้แม่เคยบอกสายรุ้งแล้วนี่”  แม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว“ครับ แม่เคยบอกผมแล้ว ผมจำได้” แล้วสายรุ้งก็เล่ารายละเอียดให้ฟังแม่จึงบอกว่า “โรคทุกโรครักษาได้ เพียงแต่อาจไม่หายขาด อย่างเช่นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ถึงแม้ไม่หายขาด เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับโรคที่อยู่ในร่างกายของเราได้ เพียงแต่เราต้องระมัดระวังไม่ให้มันลุกลาม” แม่อธิบายต่อไปว่า“มนุษย์ทุกคนมีโรคอยู่ในตัวทั้งนั้น เราจึงต้องดูแลตัวเองไม่ให้โอกาสโรคที่อยู่ในตัวกำเริบออกมา เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดื่มน้ำเยอะ ๆ”“ครับแม่ ผมเข้าใจแล้วครับ”“แต่เด็กพวกนั้นไม่เข้าใจหรอก” แม่พูด “เอ่อ คนที่มีประสบการณ์หรือคนที่สนใจเรื่องพวกนี้อย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะรู้” วันรุ่งขึ้น เพื่อนนักเรียนคนนั้นมาเรียนตามปกติ แต่เขานั่งซึม ดูอ่อนเพลียมาก บางครั้งเขานั่งหลับตา พอถึงเวลาพักเที่ยง เขาก็ยังนั่งอยู่ในห้องเรียน ไม่ไปกินข้าวในโรงอาหารเหมือนเด็กคนอื่น สายรุ้งจึงเดินเข้าไปหา “นายไม่หิวข้าวเหรอ” สายรุ้งถาม เด็กคนนั้นสั่นศีรษะ เขาหลบหน้าแล้วก็หันหน้าไปทางหน้าต่าง ใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก เขาคงมีความทุกข์ใจอย่างหนักสายรุ้งอยากปลอบใจเพื่อน แต่เพื่อนคงไม่อยากให้ใครรบกวน ดังนั้นสายรุ้งจึงเดินถอยออกมา“พ่อฉันไม่สบาย” เพื่อนนักเรียนพูดขึ้น “ฉันรู้ว่าหลายคนพูดถึงพ่อฉันในทางไม่ดี แม้แต่ครูก็ยังพูด”   สายรุ้งพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด “ไม่ว่าพ่อฉันจะเป็นอย่างไร ฉันก็รักพ่อ เพราะพ่อดีกับฉันเสมอ” พอพูดจบประโยค เขาก็น้ำตาไหล  สายรุ้งรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เหมือนกัน “แม่บอกว่าโรคทุกชนิดสามารถรักษาได้” สายรุ้งพูด“แต่มันสายเกินไปแล้ว สำหรับพ่อของฉัน” เขาสะอึกสะอื้นสายรุ้งหันหน้าไปทางอื่น เขาไม่อยากเห็นเพื่อนร่ำไห้ เขาไม่สบายใจเลยที่เพื่อนมีอาการอย่างนั้น“เย็นนี้นายไปเที่ยวบ้านฉันมั้ย” สายรุ้งชวน สายรุ้งคิดว่าแม่จะมีวิธีพูดที่ทำให้เพื่อนคลายความทุกข์ลงไปได้“ฉันต้องกลับไปดูแลพ่อ”“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปเยี่ยมพ่อนายได้ไหม” เพื่อนนักเรียนมองสายรุ้ง ก่อนตอบว่า “ฉันดีใจที่นายไม่รังเกียจพ่อฉันเหมือนคนอื่น ๆ” เขาหยุดร้องไห้แล้ว“ทำไมต้องรังเกียจด้วยล่ะ” สายรุ้งว่า “แม่สอนฉันให้รักตัวเองและไม่ให้รังเกียจคนอื่น” เขายิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของสายรุ้ง.
กิตติพันธ์ กันจินะ
รายงานข่าวเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า มียอดเด็กที่กำพร้าจากพ่อแม่ที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนหลายพันคน ซึ่งภาครัฐยังคงต้องหาแนวทางการดูแลเด็กที่เผชิญกับปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องการเข้าถึงการศึกษา และการดูแลคุ้มครองปกป้องสวัสดิภาพของเด็ก ทว่าอย่างไรเสีย  แม้ว่าเรื่องราวความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าว จะยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เสมอทั้งหน้าจอโทรทัศน์หรือหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ แล้ว ยังมีเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ระหว่างคนในพื้นที่กับคนนอกพื้นที่ที่ได้ลงไปปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในพื้นที่เกิดเหตุ ตามบทบาทหน้าที่ต่างๆ อาทิ หมอ ทหาร ครู เรื่องราวที่ “ไม่ค่อยปรากฏ” ออกมาเป็นข่าวในแง่ด้านอื่นๆ เช่นเรื่องการ “พบรัก” ของคนสองคน หรือมิตรภาพที่มีแก่กันนั้น ยังไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนเท่าใดนักและเรื่องที่จะเล่านี้ ก็เป็นหนึ่งในหลายกรณีของการพบรักที่เกิดขึ้นในที่เกิดเหตุเรื่องนี้เป็นเรื่องของ “แนน” – เธอเป็นวัยรุ่นหญิงและเป็นคนในพื้นที่ยะลา และยังเป็นแกนนำในการทำกิจกรรมของกลุ่มเยาวชนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่เกิดเหตุความไม่สงบ เธอเล่าว่า ตั้งแต่มาเข้าร่วมกระบวนการกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศ สิ่งที่เกิดกับตัวเองคือความเปลี่ยนแปลงจากเดิมคือ อย่างแรก รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่นการอบรม กล้าที่จะพูด การกล้าแสดงออก เธอบอกว่าส่วนใหญ่เด็กทางใต้จะไม่ค่อยพูด อยู่คนเดียวก็เงียบๆ ไม่กล้าคุยให้เพื่อนรู้“อย่างเราคือแรกๆ ก็เงียบๆ พอมาอยู่กับพี่ๆ ก็มีอาการ ... อาการคือกล้าแสดงออก จะอยู่เงียบๆ ไม่ได้ มีอะไรก็จะถามไปเลย” เธอเล่าย้อนอดีตให้ฟัง “อย่างเวลาคุยเรื่องเพศ ก็นึกถึงว่า เวลาท้องขึ้นมาจะคุยกับใคร จะปรึกษาใคร อย่างที่เราไปคุยกับพี่ๆ ได้ เพราะเราเคยมีแฟนแล้วท้อง เราก็ถามเขา ถามว่าทำยังไงไม่ให้เพื่อนรู้ ไม่อายเพื่อน คือเราไม่อยากให้เพื่อนรู้ เราคุยกับพี่ของเราดีกว่า ไม่กล้าบอกให้ที่บ้านรู้ กลัวเขามองเราว่าเป็นคนไม่ดี”เธอยกตัวอย่างต่อว่า “ถ้าจะคุยคนอื่นๆ ก็ไม่กล้า เพราะกลัวเขาเอาไปเล่าต่อ บอกต่อๆ กันไป พี่เราที่อยู่ในกลุ่ม เขาสามารถเก็บความลับของเราได้ อย่างเพื่อนเราบางคนก็มีแบบเข้ามาคุยกับเรา อย่างตอนเรียน มีเพื่อนที่เขามีแฟน เขาเสียตัว ไปอยู่กับแฟน เราก็ถามเขา คุยกับเขา เขาก็บอกว่าเขากลัวเราไปฟ้องคนอื่นๆ แต่พอเราได้อธิบายกับเขาจนเขาไว้ใจเรา เพราะเราเก็บความลับของเขาได้ เวลาคุยกับพี่ๆ ก็ไม่ค่อยอึดอัด โล่งสบาย รู้สึกปลอดภัย ไม่อึดอัด ไม่มีผลกระทบอะไรที่จะกระทบกับเราอีกต่อไป แฟนเราบางทีก็หึง เวลาเขาหึง เราก็บอกว่าเราไปไหนมา บอกให้ไปถามพี่ในกลุ่มดู”เธอเล่าถึงเรื่องแฟนว่า ตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว และก็สามารถคุยกับแฟนได้หลายเรื่อง เช่น เรื่องที่มีความไม่สบายใจ เรื่องอะไรก็จะถามแฟนว่าอะไรที่ควรทำ อะไรไม่ควรทำ  เวลาคุยเรื่องเพศกับแฟน, เธอบอกว่า เธอไม่เคยคุยกับแฟนเรื่องถุงยาง เรื่องท่าทาง ไม่เคยพูดในเชิงลึก แต่เธอจะถามพี่ๆ ในกลุ่มมากกว่า ว่าท่าไหนดี “เราไม่กล้าคุยกับแฟน เพราะเขาจะหัวเราะใส่เรา ถ้าเกิดอยากบอกให้แฟนรู้ก็ไม่กล้าบอก เดี๋ยวเขาว่าเราเป็นคนชอบมีเซ็กส์ บางครั้งเราก็อยากคุยกับแฟน มีอะไรเราก็ถาม เขาก็ตอบมา คือแฟนเราจะชอบถามว่าแบบนี้ยังไงๆ เราก็ตอบไม่ได้”เธอเล่าเรื่องที่เกิดกับตัวเองอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอมีรอยยิ้มที่โผล่ออกมา “คิดว่าเขาเป็นคนรักเดียวใจเดียว ถามว่ารู้ได้ไง คือเราก็สืบมาก่อน ว่าเขาเคยมีแฟนมั้ย เพื่อนๆ ก็มาเล่าให้ฟัง คือเขาเป็นคนต่างจังหวัด มาทำงานแถวบ้าน เราสืบเขาก่อนว่าเป็นคนอย่างไร ตอนรู้จักกันก็ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ก็คุยกันมาตลอด”แล้วยังไงต่อ? – ผมเอ่ยถาม“อย่างเราไม่เคยมีความรักกับใคร เราไม่ชอบคนขาว ชอบคนเข้มๆ อย่างเขาถูกใจเรา เป็นแบบที่เราชอบ เขาชอบเรา เราก็ชอบเขา ก็ติดต่อกันเรื่อยๆ จนมาเป็นแฟนกัน เวลาเขากลับบ้านต่างจังหวัดเราก็ไปหา เราไม่ได้กลัวว่าเขาจะมีแฟนใหม่นะ เพราะเราเชื่อใจเขา เรารักเขา”น้ำเสียงซื่อๆ ของเธอบอกให้ผมรับรู้ว่า เธอจริงจังกับแฟนหนุ่มอย่างยิ่งผมถามเธอว่า “อย่างนี้จะบอกได้ไหมว่าความไม่สงบทำให้เกิดความรักขึ้น” เธอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะส่วนผมเองก็มีรอยยิ้มจากการรับฟังเรื่องของแนน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งเรื่องราวของคนในพื้นที่ที่ได้พบรักกับคนนอกพื้นที่ที่มาทำงาน อันที่จริงแล้ว ยังมีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้น ทว่าผมก็ไม่เคยได้ยินใครหรือได้คุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับการคุยกับแนนเลยเรื่องราวของแนน, ฟังดูก็น่ารัก น่าชังทว่า ในความน่ารัก น่าชังนี้ ย่อมเกิดจากความรู้สึกข้างในจิตใจของเธอต่อชายคนรักสำหรับผมแล้ว, แม้ว่าเรื่องราวของเธอจะมีมากมายจนไม่สามารถจะซึมซับมันเข้ามาในโสตประสาทได้  แต่สิ่งที่ผมสนใจอย่างยิ่งคือเรื่องที่เธอ ‘กำลังบอก’ กับฉัน และ ‘ท่าที’ ในการเล่าเรื่องของเธอมากกว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการเปิดใจ เรียนรู้ เรื่องราวชีวิตทางเพศของเราแต่ละคน ให้เกิดสัมพันธภาพและความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ท่ามกลางความต่างกันทางศาสนาและวัฒนธรรมและนำไปสู่การเปิดดวงใจของเราให้รับฟังเพื่อนที่เล่าเรื่องราวของตนอย่างตั้งใจและไม่มีอคติต่อกันเหมือนที่ใครคนหนึ่งบอกว่า การได้คุยเรื่องเพศของตนในบรรยากาศที่ปลอดภัย ถือเป็นการทบทวนบทเรียนชีวิตและเรียนรู้ภาวะด้านในของตนอย่างมิอาจประเมินค่าได้ ซึ่งผมเชื่อว่าแนนเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของเพื่อนวัยรุ่นที่ได้เริ่มเรียนรู้ในเรื่องเหล่าอย่างมีความสุข
กิตติพันธ์ กันจินะ
ในสภาวการณ์ใกล้มรสุมช่วงนี้, คนสูงวัยมากมายเหล่านั้นต่างขะมักเขม้นทั้งกายและใจ กับการหาเสียงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงเพื่อการเข้าร่วมหรือจัดตั้งทางการเมืองครั้งใหม่อย่างสุดกำลังตัวเสริมที่พวกเขานำมาป่าวประกาศเพื่อให้ประชาชนเลือกนั้นคือ “นโยบาย” ของแต่ละพรรค (ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลมาเกี่ยวข้อง – ซึ่งมีมากจนไม่อาจกล่าวในที่นี่ได้) เช่นนี้แล้วเรามาดูกันที่นโยบายของพรรคการเมืองกันดีกว่าว่าได้กล่าวไว้อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะเลือกหรือไม่เลือกใคร หลายนโยบายของพรรคการเมืองต่างมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปทางการเมือง โดยเฉพาะการมุ่งหวังไม่ให้อำนาจเก่าได้กลับมามีอำนาจอีกและยังมีนโยบายต่างๆ ที่เน้นทางด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน เป็นตัวจักรสำคัญมากกว่าการดำเนินการนโยบายทางด้านสังคมโดยเฉพาะเรื่องของเด็กและเยาวชนหากนับระยะเวลาให้หลังไปไม่กี่เดือนหรืออาจเป็นปีกว่าๆ (ที่จริงมันมีทุกวันและครับ) ที่สถานการณ์ของวัยรุ่นนั้นได้ถูกมองว่าเป็นสถานการณ์เด่นทางสังคมที่คนวิพากษ์วิจารณ์ถึงมากที่สุด ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตทั่วไป จนถึงวิถีชีวิตทางเพศ ซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เยาวชนล้วนแต่ถูกมองว่าเป็น “ปัญหา” และเป็น “วิกฤต” สังคมอยู่เสมอ จนทำให้หลายฝ่ายออกมาให้การตอบรับในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง (และทำตามกระแสแบบผ่านๆ)ดังรูปธรรมหนึ่ง ที่รัฐบาลได้ประกาศวาระแห่งชาติด้านเด็กและเยาวชน 5 ด้าน เมื่อต้นปี 2550 ได้แก่ หนึ่ง ด้านการสร้างสื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว สองด้านกลไกกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา สามด้านสถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาลที่มีคุณภาพ สี่ด้านการสร้างจังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็กและเยาวชน และห้าด้านกฎหมายครอบครัวการดำเนินการตามวาระแห่งชาติดังกล่าว ที่ผ่านมาภาครัฐได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน และแกนนำเยาวชน เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ชุดรัฐประหาร) นี้ และยังมีทิศทางว่าจะดำเนินได้ดีต่อไปในอนาคต หากมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทว่า แนวโน้มที่บ่งชี้ว่า วาระแห่งชาติด้านเด็กและเยาวชนทั้งห้าเรื่องนี้จะได้รับการสานต่อจากรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่นั้น เราอาจต้องศึกษาถึงนโยบายด้านเด็กและเยาวชนของพรรคการเมืองต่างๆ ที่กำลังจะเข้าสู่ถนนแห่งการเลือกตั้งอีกไม่กี่วันนี้ แต่ขอโทษครับ, พรรคการเมืองทั้งหลายแหล่ไม่มีนโยบายที่กล่าวถึงด้านเด็กและเยาวชนโดยตรงเลยแม้แต่นิด ทว่าพวกเขายังมุ่งนโยบายประชานิยม (แบบใหม่-ที่เขาบอกว่าไม่เหมือนทักษิณ) นโยบายลด แลก แจกแถมเพื่อให้พรรคการเมืองของตนได้รับเลือกเข้าสู่อำนาจทางการเมืองนโยบายพรรคการเมืองต่างๆ เหล่านี้กำลังบอกถึงอนาคตของการเมือง-สังคม และโดยเฉพาะอนาคตของการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งปัจจุบันมีเยาวชนถึง 25% ของประชากรทั้งประเทศ แต่ไร้ซึ่งผู้ใหญ่ พรรคการเมือง ที่สนใจ ตระหนักในการส่งเสริม สนับสนุนด้านเด็กและเยาวชนอย่างแท้จริงที่ผ่านมา บทเรียนการทำงานกับภาครัฐ พบว่า “เมื่อผู้บริหารเปลี่ยน นโยบายก็จะเปลี่ยน” นั่นหมายถึงนโยบายเยาวชนที่ถูกผลักดันได้ดีนั้นเกิดจากการที่ผู้บริหารของรัฐบาลมีความสนใจ ตระหนักในการป้องกันและแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง แต่พอเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่แล้วนโยบายกลับหันเหเป็นเรื่องอื่นแทน แล้วในที่สุดก็ไม่มีใครสานต่อนโยบายเดิม (ที่ทำได้เพียงนิดเดียว) อีกต่อไป จนผลสุดท้าย งานหรือนโยบายนั้นๆ ก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เพียงเพราะนักการเมืองที่อยู่ในรัฐบาลเหล่านั้นมัวแต่เล่น “เก้าอี้ดนตรี” จนลืมไปว่ามีเด็กและเยาวชนหลายคนมุ่งให้นโยบายนั้นๆ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดหาย แต่ยังไงเสียกรณีเยี่ยงนี้นั้นย่อมสะท้อนถึงความคิด-ทัศนคติ-ความใส่ใจ ต่อเรื่องเด็กและเยาวชนของคนการเมืองได้เป็นอย่างดีมาถึง ณ ตรงนี้ ผมคิดว่าพรรคการเมืองต่างๆ ต้องกำหนดนโยบายด้านเด็กและเยาวชนให้ชัดเจนเลยว่ามีอะไร อย่างไร และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรเพื่อเด็กและเยาวชนบ้าง นอกจากจะรอให้มีกระแสก่นด่า วิพากษ์เยาวชนทีหนึ่งก็ค่อยสนใจทีหนึ่ง ตามทฤษฎี “วัวหายล้อมคอก” ที่พวกท่านๆ ชำนาญหรือหากพรรคการเมืองใด คิดนโยบายด้านเด็กและเยาวชนไม่ออก ผมเสนอว่าลองให้โอกาสเยาวชนได้เข้าไปเสนอ-แสดงความคิดเห็นบ้างเถิดว่าพวกเราเยาวชนต้องการอะไรและอยากให้รัฐบาลชุดต่อไปผลักดันเรื่องไหนบ้างหากพรรคการเมืองไหนคิดว่าเรื่องเด็กและเยาวชนนั้นไม่จำเป็น ก็ไม่เป็นไรครับ, เพราะผมเชื่อแน่ว่าพอเลือกตั้งเสร็จ - พอมีกระแสปัญหาเยาวชน – พอมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ - เหมือนเมื่อปีที่แล้วและหลายปีที่ผ่านมาที่ผู้ใหญ่มักชอบทำด้วยอ้างความชอบธรรมนั้นแล้ว พวกเขาคนสูงวัยเหล่านั้น, พรรคการเมืองที่เตรียมลงสนามเลือกตั้งวันนี้ ก็จะสนใจใคร่ตระหนักเรื่องเด็กและเยาวชนขึ้นมาในบัดดล...
กิตติพันธ์ กันจินะ
 ลมฟ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนแปรไปตามสภาพ ฝนตกเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ลมหนาวเยือนมาพัดผ่านท้องทุ่งจนต้นข้าวโยกเอียง บ้างล้ม บางตั้งตระหง่าน ตอนเช้าๆ อากาศแถวบ้านผม, จังหวัดเชียงราย อำเภอพาน ตำบลแม่อ้อ บ้านแม่แก้วเหนือ อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ ชีวิตของผมทุกวันนี้ไม่เหมือนห้าเดือนก่อนที่ผ่านมา เพราะต้องย้ายสำมะโนครัวจากเชียงใหม่ กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย ซึ่งตลอดระยะเวลาสี่ปีที่อยู่เชียงใหม่ ผมได้พบเจอเรื่องราวหลายเรื่อง ทั้งการงาน ความรัก ชีวิต ความสัมพันธ์ เพื่อน ฯลฯ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่อยู่บ้านที่เชียงรายอย่างมากสภาพอากาศ ความสงบ การดำเนินชีวิต สามอย่างเบื้องต้นคือความต่างที่ได้เห็นและสัมผัส เปรียบเทียบกับสองจังหวัดนี้ -ไม่มีเสียงเพลง แสงสี ยามค่ำคืน ที่เชียงราย หากมีเพียงท้องทุ่ง ลมเย็น กลิ่นรวงข้าว ดาวสีขาว พระจันทร์นวลเหลือง บางวันมีหิ่งห้อยตัวน้อยๆ บินมาเยี่ยมเยียน สลับกับเสียงของจิ้งหรีด เรไร ร้องไปมาชีวิตในเชียงใหม่ ไม่ได้ค่อยได้สัมผัส บรรยากาศแบบเชียงรายเท่าไหร่หรอกครับ วันหนึ่งๆ มีเพียงแต่ทำงาน หรือเที่ยวไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะผับ เธค - เรื่องยาวๆ ที่ชื่อ "บัวสีเทา" ก็เป็นผลอย่างหนึ่งที่ผมได้นำเรื่องจริง มาเขียนผสมกับงานแต่งอีกนิดน้อย เพื่อให้เรื่องราวเข้าถึงคนได้ง่ายอีกนิด เพราะหากจะเอาข้อมูลดิบๆ วิชาการมาให้ใครอ่าน คงจะยากต่อความเข้าใจสักนิด ซึ่งจริงๆ แล้ว บัวสีเทา เป็นเรื่องราวมาจากการศึกษาวิถีชีวิต องค์ความรู้ ของเพื่อนๆ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มที่คนเรียกว่า "แก๊ง" ซึ่งทาง วิทยาลัยการจัดการทางสังคมหรือ วจส. สนับสนุนทรัพยากรในการดำเนินงานอย่างที่บอกไว้ครับ ว่าเดิมทีก็ผมเพียงแค่จะทำงานแบบเก็บข้อมูลมาเขียนๆ แล้วก็จบ แต่พอทำไปทำมา ก็ได้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ พี่น้อง - การทำงานเลยกลายเป็นการใช้ชีวิตไปโดยปริยายและเป็นไปโดยผมไม่มีความสงสัยในความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาเขียนบัวสีเทานานหลายเดือน และผมเองก็ไม่เคยได้เขียนเรื่องราวอะไรยาวขนาดนี้ เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่ผมได้เขียน - เขียนมาจากความรู้สึกและเนื้อหาจากงานบางส่วนที่มี เลยออกมาเป็นอย่างที่หลายๆ คนได้อ่านกันมาอย่างยาวยืดนั้นแหล่ะครับอันที่จริงแล้วช่วงระหว่างที่ทยอยนำ "บัวสีเทา" ขึ้นประชาไทนั้น ได้มีหลายเรื่องเข้ามาในชีวิต เข้ามากระทบมากมาย ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กแก๊ง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ของเยาวชนที่สังคมวิพากษ์ ทั้งเด็กที่แต่งตัวโป๊ เด็กที่ไม่ใส่กางเกงใน เรื่องถุงยางอนามัย เรื่องการศึกษา การเมือง ฯลฯ - หลายเรื่องผมพยายามคิดและวิเคราะห์ว่าจะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างไร แต่พอพื้นที่ "หนุ่มสาวสมัยนี้" แห่งนี้ ได้เป็นที่สถิตของบัวสีเทาเสียแล้ว จึงทำให้ผมไม่ได้เขียนเรื่องร้อนๆ ที่เป็นประเด็นทางสังคม ทีนี้พอไม่ได้เขียนก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมก็ได้ บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราได้เฝ้ามองปรากฏการณ์นั้นให้ผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา เพราะมันก็เปลี่ยนไป เมื่อได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้ว เรื่องนั้นๆ ก็จบลง จางหายไป เป็นไปตามหลักอนิจจัง หากเราดูให้ดีแล้ว การได้นิ่งไม่ตอบโต้ก็เหมือนเป็นการ "ฟังเสียงข้างใน" ของตัวเอง และก็ได้เห็นคนที่ต้องทุกข์กับปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งผมมองว่าคนที่ทุกข์ใจนั้น หาใช่เยาวชนหรือคนหนุ่มสาว หากแต่เป็น ผู้ใหญ่เสียมากกว่า ที่ออกมาเต้นผาง ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์เด็กๆ ด้วยความคิดของผู้ใหญ่ บางครั้งเป็นคำเตือนที่มีความหมาย บางครั้งเป็นคำด่า สบถที่รุนแรง แต่ก็ถือเป็น "ความหวังดี" ของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่นและสังคมแต่คิดดูให้ดีแล้วความหวังดีนั้น อาจกลายเป็นการทำลายคุณค่าในชีวิตของวัยรุ่นหลายคนเลยก็ได้ผมไม่รู้ว่า พวกเรา, วัยรุ่นหลายคน จะอยู่กันอย่างไร ในสภาพที่สังคมและผู้ใหญ่ มองพวกเราด้วยสายตาและท่าทีหรือความไม่เข้าใจแบบนี้ และนั่นไม่แปลกหรอกครับที่คนรุ่นผมหลายคนจะมองผู้ใหญ่แบบตัดสิน แบบที่ไม่เข้าใจ เหมือนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการพื้นที่ของตนเอง ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นจึงไม่น่าแปลกเท่าใด ที่ผู้ใหญ่จะเป็นทุกข์มากกว่าวัยรุ่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงวัยรุ่นน่าจะเป็นทุกข์หรือมองเห็นทุกข์ได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องเพราะ "ที่ปลดทุกข์" ของวัยรุ่นมีมากกว่าผู้ใหญ่ไงครับ ไม่ว่าจะเป็นผับ เธค อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ นิตยสารต่างๆ ล้วนกลายเป็นแหล่งสร้างสุข สร้างพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ตัวตนของพวกเรามากกว่าสังคมจริงๆ แห่งนี้ ที่ผู้ใหญ่ปกครอง สังคมที่วัยรุ่นออกแบบจึงเป็นสังคมที่ไม่เป็นทุกข์ มีแต่ความเข้าใจและยอมรับซึ่งกัน และข้อสังเกตของผมก็คือเป็น "สังคมสีเทา" ที่ไม่มีขาวดำ ไม่มีการตัดสิน ตีตรา คนอื่นด้วยมาตรฐานความดีงามตามบรรทัดฐานสังคมที่คนส่วนใหญ่มีและกำหนดกันขึ้นมาสังคมของผู้ใหญ่ มีแต่ความทุกข์ มีขาว ดำ ไม่มีการให้โอกาส ไม่มีความสมานฉันท์ ไร้ซึ่งความเมตตา ต่อกัน เพราะผู้ใหญ่สมัยนี้ลืมรากเหง้าของตัวเอง ไม่เท่าทันสังคมโลกาภิวัตน์ และน่าสงสารยิ่งนักที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งของชนชั้นปกครอง จนซึมเข้ากับตัวเองทุกอนูความรู้สึกที่กล่าวมานี้เพราะผมสงสาร, ทั้งผู้ใหญ่และก็ตัวเองด้วย, ชีวิต คนเรายิ่งมีแต่ทุกข์ ทุกชั่วโมงยาม มีเรื่องราวมากมายให้ได้ค้นพบ มีหลายวิธีที่จะทำให้คนได้รับความสุขที่แท้จริง แต่คนกลับมองไม่เห็น หรือไม่ค่อยได้แสวงหาเท่าใดนัก หรือนั้น อาจเป็นเพราะเราเกิดมาในสังคมขาว-ดำ เกิดมาในสังคมที่อ่อนแอ เยี่ยงสังคมแห่งนี้!?อย่างไรก็ตาม, อีกเรื่องที่ผมพบกับตนเอง ในช่วงหลังๆ มานี้ คือผมไม่ค่อยอยากรับรู้เรื่องราวทางสังคมนี้เท่าไหร่เลย ผมเสมือนกลายเป็นคนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อันเนื่องเพราะสองข้างทางบ้านผมนั้นมีแต่ไร่กับนาจริงๆ ผมจึงพบว่าอันที่จริงแล้ว "สังคมขาวดำ" ที่เรารับรู้หรือรู้สึกอยู่นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริงเลย เพราะเราเพียงแต่ "ถูกทำ" ให้เข้าใจว่า สังคมนี้เป็นแบบนี้อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งแท้แล้ว สังคมย่อยๆ อีกหลายแห่งมีความหลากหลายที่แตกต่างกัน และไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ หรือสีเทาๆ เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายแบบ หลายแง่มุมให้สัมผัสและเรียนรู้เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เข้าถึงแบบอื่นๆ เท่านั้นเอง เพราะสังคมที่เราอยู่แห่งนี้ ไม่มีพื้นที่ให้ความแตกต่างอื่นๆ ได้มีพื้นที่ของตัวเองเลยแม้แต่นิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่แปลกที่วัยรุ่นสีเทาๆ จะถูกมองไม่ดีจากคนในสังคมสีขาว-ดำ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่น่าจะทำได้ ต่อเรื่องสังคมขาวดำ หรือเทา ก็คือ นั่งเงียบๆ ฟังเสียงข้างในของตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากขึ้น และยอมรับกับสภาวะจิตใจของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละชั่วขณะ หรืออาจหาที่เงียบๆ สงบๆ ลมเย็นๆ อากาศดีๆ นอนหลับให้เต็มอิ่มเพื่อไปสู่พื้นที่ดีๆ มีความสุขในความฝัน ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครา เพื่อพบกับ "ความจริง" อันแสนจะปวดหัว.....
นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “อยู่โรงเรียนเดียวกับเราด้วย”สายรุ้งเลี้ยงบอลด้วยเท้าซ้ายและขวาอย่างคล่องแคล่ว เขามีความถนัดทั้งขวาและซ้ายพอกัน   เวลาทำการบ้าน เมื่อเขาเขียนหนังสือด้วยมือขวาจนเมื่อยแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นเขียนด้วยมือซ้ายแทนบอลหลุดจากเท้าซ้ายไปยังเท้าขวาของสายรุ้งไม่มีพลาด เขาครองบอลอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อหลบหลอกคู่ต่อสู้ได้แล้ว สายรุ้งก็จะส่งให้เด่น เด่นจะใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายบังฟุตบอลเอาไว้ และคอยหมุนหนีไปเรื่อย ๆ เด่นแข็งแรงประเปรียว  ใช้ไหล่เบียดไหล่และไม่ยอมให้ใครแย่งบอลจากการครอบครองไปได้ง่าย ๆ   ขณะที่เด่นกำลังครองบอลอยู่นั้น มีใครคนหนึ่งเข้ามาเบียดแย่งบอล แต่เด่นใช้ไหล่กันไว้ เด็กคนนั้นเลยใช้ไหล่กระแทก เด่นจึงใช้ไหล่กระแทกกลับไป กระแทกไป กระแทกมา เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์ว่า ”เล่นอย่างนี้มาต่อยกันดีกว่า!”พอเด็กคนนั้นพูดขาดคำ เด่นก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าอย่างว่องไวราวกับนักมวยอาชีพ เป็นผลให้เด็กคนนั้นล้มทั้งยืน  สายรุ้งไม่เคยเห็นเด่นดูน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย พอเด็กคนนั้นล้มลง เด่นทำท่าจะเข้าไปเตะซ้ำ แต่สายรุ้งห้ามไว้ ทันใดนั้นเองที่เพื่อนของเด็กคนนั้นปราดเข้ามาต่อยเด่น โดยที่เด่นไม่ทันระวังตัวเด็กคนที่ล้มลงลุกขึ้นในฉับพลันทันที และวิ่งเข้าใส่เด่นอีกคน เด่นจึงถูกรุม ล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเด็กสองคน เป็นเด็กสองคนที่เพิ่งย้ายมาใหม่  พวกผู้หลักผู้ใหญ่ไม่มีใครคิดจะห้ามเลย ดูเหมือนพวกผู้ใหญ่อยากเห็นเด็กชกต่อยกันสายรุ้งจึงเข้าไปช่วยเด่น เขาพยายามแยกไม่ให้ต่อยกัน สายรุ้งกระโดดเข้าไปขวาง แต่ไม่มีใครหยุด ทั้งสามคนกำลังโกรธ สายรุ้งพยายามจะช่วยเด่นโดยการผลักเด็กคนหนึ่งออกไป เด็กอีกคนหนึ่งจึงต่อยสายรุ้งทันที สายรุ้งเซถลาราวนกปีกหัก เขาไม่เคยโดนใครต่อยมาก่อนเลย  เมื่อเห็นดังนั้น เพื่อนที่เล่นอยู่ด้วยกันทั้งหมดจึงกรูเข้าไปช่วยสายรุ้งเพราะสายรุ้งเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน เด็กสองคนนั้นยอมแพ้ในที่สุด หน้าบวมเป่ง ริมฝีปากมีเลือดไหล แต่เด่นกับสายรุ้งก็สะบักสะบอมไม่น้อยเหมือนกันสายรุ้งและเด่นพากันกลับบ้านในสภาพสะบักสะบอม มีเพื่อนบางคนเดินมาส่ง พวกเขาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นด้วยความตื่นเต้น สายรุ้งเองก็ตื่นเต้น เขาไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนกล้าหาญหรือเปล่า เขาเพียงแต่ทนไม่ได้ที่เห็นเด่นถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา“แม่ของนายต้องดุฉันแน่” เด่นว่าสายรุ้งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าแม่จะต้องเสียใจที่เห็นเขาเจ็บปวดและแม่จะต้องเจ็บปวดมากกว่าที่เขาได้รับ แต่ที่จริงเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย เขาแค่โดนต่อยเท่านั้นเอง และคนที่ต่อยเขาก็ถูกคนอื่นรุมต่อยจนยอมแพ้ไปแล้ว ที่จริงน่าเห็นใจเด็กหน้าใหม่สองคนนั้นด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีเพื่อน“เสียดายที่โอเว่นไม่มาด้วย” เด่นพูด “ไม่งั้นสองคนนั้นจะโดนงับจนจมเขี้ยวแน่”“ไม่มาน่ะดีแล้ว” สายรุ้งว่าแม่ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสภาพของสายรุ้ง ริมฝีปากด้านหนึ่งของเขาบวมผิดรูป ดวงตาคล้ำเพราะแรงกระแทก  “ลับตาแม่นิดเดียว ก็เกิดเรื่อง” เธอพูด“ผมผิดเองครับ” เด่นว่า“เล่าให้ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น” เด่นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด “เป็นความผิดของผมเอง” เด่นพูดอีกครั้ง“ผมไม่เป็นไรหรอกแม่” สายรุ้งพูดแม่ทำแผลให้สายรุ้งและเด่น เด่นดูยับเยินกว่าสายรุ้ง มีเลือดไหลออกมาจากจมูกเขาด้วย รอบดวงตาเขาบวมเป่งไม่น้อย“แม่ไม่สบายใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”“ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” เด่นรับคำ“ผมก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครับ” สายรุ้งรับคำด้วยเช่นกัน