Skip to main content
Hit & Run
  [^_^]/ระเบิด (bomb) [n.] คือวัตถุที่ทำให้เกิด ‘การระเบิด' จะบรรจุ ‘วัตถุระเบิด' หรือสารที่ทำให้เกิด ‘การระเบิด' ไว้ภายใน00025 เมษายน 2551 เวลา 6.30 น.วัดแสนฝาง ถนนท่าแพ จ.เชียงใหม่นายนที อนันทปัญญสุทธิ์ อายุ 45 ปี พ่อค้าขายเสื้อผ้า กำลังรถไปจอดภายในบริเวณวัดแสนฝาง เขาพบกล่องพัสดุสีขาวไม่ระบุชื่อผู้รับ วางอยู่หน้าทางขึ้นศาลาวัด  นายนทีหยิบกล่องนั้นขึ้นมารู้ว่ามีน้ำหนัก คิดว่าเป็นของมีค่าอยู่ภายในจึงได้แกะดูพร้อมกับเดินไปตามถนนเพื่อเข้ามาเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่ตลาดวโรรสหรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่า ‘กาดหลวง'แต่พอใกล้ถึงร้านเขาเปิดฝากล่องออกมาดูพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องจริงๆ มีสายพันและแบตเตอรี่ขนาด 9 โวลต์พ่วงสายออกมา เขาตกใจมาก โยนกล่องนั้นทิ้งลงถังขยะที่ตรงมุมถนนท่าแพ ปากทางเข้ากาดหลวงด้านตรอกเล่าโจ๊ว เยื้องกับห้างตันตราภัณฑ์เก่า และรีบไปแจ้งตำรวจสายตรวจที่ผ่านมาพอดีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรแจ้งกับ พ.ต.ต.วิสูตร วงศ์ใหญ่ สารวัตรเวร สภ.เมืองเชียงใหม่ ให้เดินทางมาทำการตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยดังกล่ว เมื่อถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้กันผู้คนที่อยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวออกนอกพื้นที่เกรงจะระเบิดจนได้รับความเสียหายจากนั้นจึงได้ประสานไปยังชุดเก็บกู้ระเบิดจาก ตชด.ที่ 33 อ.สันทราย จ.เชียงใหม่เบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบว่า วัตถุต้องสงสัยดังกล่าวเป็นกระป๋องสีสเปรย์สีขาวน้ำเงินขูดยี่ห้อข้างกระป๋องออกจนหมด และตัดหัวออก มีการต่อสายวงจรไฟฟ้าและใช้แบตเตอรี่เป็นตัวจุดชนวน25 เมษายน 2551 เวลา 9.00 น.ถนนท่าแพ ปากทางตรอกเล่าโจ๊ว จ.เชียงใหม่เวลานี้รถติดไปทั้งเมือง เพราะถนนท่าแพซึ่งเป็นถนนสายหลักเข้าสู่กลางเมืองเชียงใหม่และย่านธุรกิจ ย่านพาณิชยกรรมเป็นอัมพาต มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดหัวปิดท้ายถนนสายนี้เกือบทั้งสาย ใครที่ข้ามสะพานนวรัฐเพื่อจะเข้าเมือง แทนที่จะตรงไปเหมือนเคย ก็ต้องเลี่ยงเลี้ยวซ้ายไปทางถนนช้างคลาน แถวไนท์บาร์ซาร์อันเป็นย่านการค้าสำคัญของเมืองแทนร้านรวงพากันปิดไปหมดช่วงที่มีการกู้ระเบิด ธุรกิจในย่านนั้นหยุดชะงักไปหมดราวกับฝากผลประกอบการไว้กับระเบิด และเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด ที่ต่างแข่งกันว่าใครจะทำงานสำเร็จก่อนกัน ระเบิด หรือ เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดหากอย่างแรกทำงานสำเร็จ ไม่ต้องนึกถึงความสูญเสียชีวิต ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ความมั่นใจต่อการลงทุนและบรรยากาศท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ คงจะพังพาบไปพร้อมกับความสำเร็จของระเบิดลูกนั้นระหว่างที่รอว่าใครจะทำงานสำเร็จก่อนกันอย่างใจจดจ่อประกอบกับแดดระอุบนถนน ทำให้ผมนึกถึงหนังสือบางเล่ม ... ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวกัน แต่ก็พอจะเทียบเคียงกัน... เมื่อกลับไปพลิกอ่านรีวิวของ ประจักษ์ ก้องกีรติ กับหนังสือที่มีชื่อว่า ยานยนต์ของนายบุดา: ประวัติศาสตร์ย่อของคาร์บอมบ์ (Buda's Wagon: A Brief History of the Car Bomb) เขียนโดย ไมค์ เดวิส (Mike Davis) ศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เออร์วิน ตีพิมพ์ในปี 2550 ไมค์ สรุปคุณลักษณะพื้นฐานของคาร์บอมบ์คือ มันเป็นอาวุธในการก่อร้ายในพื้นที่เขตเมือง วัตถุประสงค์หลักๆ ของการใช้คาร์บอมบ์มีอยู่สี่ประการ คือ การสังหารชีวิตศัตรู การทำลายวิถีชีวิตประจำวันอันเป็นปรกติสุขของผู้คนในสังคม สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และสุดท้ายเพื่อโฆษณาหลักการหรือข้อเรียกร้องของขบวนการให้สาธารณชนรับรู้ในวงกว้างในฐานะการเป็นอาวุธในการก่อการร้าย คาร์บอมบ์มีคุณลักษณะพิเศษอยู่ 7 ประการที่ทำให้มันแตกต่างจากยุทธวิธีอื่นๆ บางประการจาก 7 ข้อนั้น เช่น ต้นทุนของมันถูกอย่างน่าใจหายเมื่อเทียบกับความเสียหายที่มันสร้างขึ้น มันทำงานดุจเครื่องบินทิ้งระเบิดเพราะเป็นอาวุธที่ไม่แยกแยะเป้าการสังหารระหว่างศัตรูกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ทั่วไป จึงมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในกรณีที่กลุ่มก่อการเล็งพลเรือนเป็นเป้าหมาย ต้องการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในวงกว้าง และทำให้สังคมที่ตกเป็นเหยื่อของการระเบิดเกิดอาการขวัญเสียและคาร์บอมยังเป็นอาวุธที่เพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับขบวนการต่อสู้ทางการเมืองที่ด้อยอำนาจทั้งหลาย เพราะแม้แต่กลุ่มที่สมาชิกเพียงไม่กี่คน มีงบประมาณจำกัด หรือขาดฐานมวลชนอันกว้างขวางสนับสนุนก็สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจการเมืองอันมหาศาลในสังคมหนึ่งๆ ได้ องค์กรที่กระจัดกระจายไร้ฐานมวลชนของกลุ่มเซลล์ย่อยๆ ทั้งหลาย ที่มีคาร์บอมบ์โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เนทเป็นโครงสร้างพื้นฐาน จึงไม่จำเป็นต้องการมีการจัดตั้งองค์กรอย่างเข้มแข็งหรือมีโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ชัดเจนอีกต่อไปแบบยุคปฏิวัติมวลชน เป็นต้น25 เมษายน 2551 เวลา 11.00 น.ถนนท่าแพ ปากทางตรอกเล่าโจ๊ว จ.เชียงใหม่ผ่านแนวรั้วกันรถราของตำรวจมาที่ถนนท่าแพ บัดนี้กลายเป็นถนนปลอดยานยนต์ไปเกือบทั้งเส้น มีคนที่ทำงานในย่านเศรษฐกิจนั้นออกมามุงบริเวณที่มีวัตถุต้องสงสัยเป็นจำนวนมาก บ้างเอากล้องถ่ายรูป กล้องติดโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่สนุกสนาน ระคนไปกับความไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหากเป็นระเบิดและระเบิดขึ้นมาขณะนั้นจะเกิดความสูญเสียอย่างไรเวลายิ่งผ่านไปนานเข้าคนที่รู้ข่าวกู้ระเบิดกลางเมืองยิ่งมากันมากเข้าๆต่อมา ร.ต.อ.สมศักดิ์ ศิริเวช หัวหน้ากลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด กก.ตชด.33 ตัดสินใจนำหุ่นยนต์เข้าเก็บกู้วัตถุต้องสงสัย แต่เนื่องจากจุดทำลายตั้งอยู่ในย่านชุมชนและร้านค้า หากยิงทำลายในที่ดังกล่าวเกรงว่าบ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนจะได้รับความเสียหาย ดังนั้นตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดจึงตัดสินใจใช้วิธียิงตัดสายชนวนระเบิดออก แล้วนำระเบิดไปกำจัดที่อื่นตำรวจเริ่มไล่ไทยมุงให้ออกห่าง ตามมาด้วยการประกาศ"ยิงทำลายวัตถุระเบิด เข้าที่กำบัง สาม... สอง... หนึ่ง...""ปุ๋ง"...... เสียงอัดอากาศดัง ‘ปุ๋ง' เล็กๆ ทำเอาคนที่มุงแถวนั้นตื่นเต้นกันใหญ่ ตอนนี้ยังไม่มีการระเบิดใดๆ เป็นเพียงการปลดชนวนระเบิด แต่ตำรวจ ตชด. ในชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดสภาพคล้ายมนุษย์ต่างดาว ยังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงจุดเกิดเหตุ โดยเขาหยิบกระป๋องเหล็กที่คาดว่าจะเป็นวัตถุระเบิดขึ้นรถย้ายไปทำลายที่ข่วงประตูท่าแพ ซึ่งห่างจากบริเวณเก็บกู้ 500 เมตรการยิงทำลายวัตถุต้องสงสัยเกิดขึ้นที่ประตูท่าแพ ซึ่งมีบริเวณกว้างและปลอดคนกว่าย่านเศรษฐกิจอย่าง ถ.ท่าแพ คราวนี้เสียง ‘ตูม' จริงๆ แน่นๆ ก็ดังขึ้น แต่ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะนี่เป็นขั้นตอนกำจัดวัตถุระเบิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่อง วัตถุระเบิดหนัก 500 กรัม อยู่ในกระป๋องดีดีที ภายในบรรจุดินเทา มีเศษขวดแก้วเป็นสะเก็ดระเบิด และใช้ใส้ในของหลอดไฟ 2 ตัวสำหรับเป็นตัวจุดชนวนโดยระเบิดดังกล่าวแม้มีอำนาจทำลายล้างต่ำ (Low - Explosive) มีคลื่นกระแทก (shock wave) ที่เกิดจากการระเบิด มีความเร็วในการแล่นผ่านตัววัตถุระเบิดน้อยกว่า 1,000 เมตรต่อวินาที แต่ถ้าหากเกิดระเบิดขึ้นจริงจะมีรัศมีทำลายล้างโดยรอบในวงกว้างไม่ต่ำกว่า 300 เมตร!ร.ต.อ.สมศักดิ์ ศิริเวช หัวหน้ากลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด กก.ตชด.33 เปิดเผยว่า ระเบิดที่พบครั้งนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับที่คนร้ายนำมาวางไว้สำหรับปล้นแบงก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยถนนราชดำเนินเมื่อเดือนก่อน แต่ครั้งนี้มีความซับซ้อนกว่า และเป็นระบบไฟฟ้า หากกดรีโมทก็จะทำงานทันที เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของมืออาชีพที่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างดีระเบิดดังกล่าวนับเป็นลูกที่ 2 ในรอบเดือนนี้ของเชียงใหม่โดยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา มีเหตุชายสวมแว่นดำ สวมเสื้อยีนส์และกางเกงยีนส์ คล้องกระเป๋าเป้สะพายสีดำ บุกปล้นธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยท่าแพ ต.ศรีภูมิ อ.เมืองเชียงใหม่ โดยใช้ปืนจี้และขู่พนักงานธนาคารว่าในกระเป๋ามีระเบิด ให้พนักงานส่งเงินให้รวม 1.5 แสนบาท ก่อนทิ้งกระเป๋าเป้และหลบหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่นำกระเป๋าออกมาทำลายด้านนอกโดยใช้ปืนแรงดันน้ำยิงทำลาย ซึ่งเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง รัศมีทำลาย 15 เมตรส่วนคนร้ายก็ขับจักรยานยนต์หลบหนีไป และจนบัดนี้มีการตั้งรางวัลนำจับ 50,000 บาท แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ตัวคนร้ายเช่นเดียวกับที่หามือระเบิดลูกล่าสุดยังไม่พบ!000แม้เหตุวางระเบิดที่เชียงใหม่จะไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็เป็นภาพจำลองเหตุการณ์ระเบิดแทบจะรายวันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดีคงทำให้คนที่อยู่ทางเหนือ นึกถึงหัวอกคนทางใต้ที่ต้องใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่รู้ชะตากรรมชีวิตของตัวเองเป็นอย่างดี คงนึกถึงสิ่งที่รบกวนปรกติสุขของชีวิตที่ชื่อว่า ‘ความกลัว' ภายใต้เคอร์ฟิวส์ ภายใต้กฎอัยการศึกในพื้นที่เหล่านั้นและคงพอนึกถึงหัวอกคนอิรัก ที่ต้องเผชิญสงครามอันเนื่องมาจากการเข้าไปทำในสิ่งที่สหรัฐอเมริกาเรียกว่าเป็นการ ‘ปลดปล่อย' และ ‘คาร์บอม' รายวันในประเทศของตนเอง ได้บ้าง!ย้อนกลับไปที่งานรีวิวประวัติศาสตร์คาร์บอมของประจักษ์ ซึ่งตบท้ายการสู้กับคาร์บอมไว้ว่า ... "เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสในไอร์แลนด์เหนือคนหนึ่งซึ่งรับมือกับคาร์บอมบ์มาอย่างหนักหน่วงโชกโชนมากกว่าใครๆ  ตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่าสนใจตั้งแต่ 12 ปีที่แล้วว่า คาร์บอมบ์ "ไม่ใช่ประเด็นทางการทหาร มันเป็นประเด็นทางการเมือง ความเสียหายและความตายส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น... มาจากระเบิดซึ่งคนที่มีความรู้ทางเคมีแค่ระดับประถมก็สามารถผลิตได้ คนสองคนกับเครื่องมือง่ายๆ ก็สามารถผลิตระเบิดขนาด 500 กิโลกรัมได้สบายๆ... เราไม่มีความสามารถที่จะไปสู้กับอาวุธแบบนี้ได้หรอก การปลดชนวนความคิดและจิตใจของผู้ก่อการต่างหากที่ควรเป็นเป้าหมายของเรา"  หากจะเอาชนะกับการก่อการร้ายที่มีคาร์บอมบ์เป็นอาวุธ หนทางทางการทหารจึงไม่ใช่คำตอบ มีแต่การปฏิรูปทางสังคมและเศรษฐกิจ บวกกับจินตนาการใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างสถาบันทางการเมืองเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอาวุธมีชีวิตที่ไร้หัวใจนี้ได้"ก็ไม่รู้ว่าเชียงใหม่ ภาคใต้ หรือที่ไหนก็ตามในโลกจะพบกับระเบิด คาร์บอม ลูกสุดท้ายเมื่อไหร่ คำถามนี้ราวค้นหาแสงสว่างในปลายอุโมงค์อ่านประกอบประจักษ์ ก้องกีรติ, รีวิวหนังสือโดย ประจักษ์ ก้องกีรติ : ว่าด้วย ‘คาร์บอมบ์': อาวุธมีชีวิต, ประชาไท, 21/3/2551  
Hit & Run
  พืชผักผลไม้ในท้องตลาด เสี่ยงต่อการมีสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างจากการผลิตแบบเกษตรเชิงพาณิชย์ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิตดังนั้นจึงมีเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งแสวงหาทางเลือกใหม่ หนึ่งในทางเลือกนั้นคือการทำ ‘เกษตรอินทรีย์'พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) และสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน (ISAC) จัดกิจกรรมผู้บริโภคสัญจรไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ ที่ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้พบกับเกษตรกรผู้ผลิตพืชผักอินทรีย์ สร้างความเข้าใจร่วมกันถึงกระบวนการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ดังกล่าวหนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกสตรอเบอรี่อินทรีย์ที่ได้ไปเยี่ยมเยียนกันคือ สิงห์แก้ว แสนเทชัย หรือพะตี ‘ชีแนะ' ชาวบ้านปกาเกอะญอ หมู่ 4 ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่พี่ชีแนะ เล่าให้ฟังว่า ทำสวนตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา เคยปลูกพืชผักเมืองหนาวมาหลายอย่าง ทั้งกาแฟ ถั่วแดง สตรอเบอรี่ โดยมีนายทุนจากเพชรบุรีเอาพันธุ์ เอาปุ๋ยเคมี เอายากำจัดศัตรูพืชมาให้ แต่ต้องขายพืชผลให้กับเขาเท่านั้น บางปีได้ผลผลิตมาก บางปีได้ผลผลิตน้อย บางปีเป็นโรค ขายได้ราคาดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้สารเคมีมากขึ้น และอันตรายขึ้น ทำมา 20 ปี เป็นหนี้สะสมกว่า 150,000 บาทพี่ชีแนะบอกว่ากระบวนการเพาะปลูกพืชปัจจุบัน ทั้งผู้ปลูก ผู้บริโภคต่างมีโอกาสได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายทั้งนั้น"ถึงชาวบ้านไม่ปลูกสตรอเบอรี่เอง ก็ไปรับจ้างเก็บสตรอเบอรี่ ถางหญ้า ยังไงก็ต้องสัมผัสสารเคมี เพราะท้องร่องสวนเขาพ่นยาฆ่าหญ้าตลอด เวลาเข้าสวนต้องสวมรองเท้าบูท เดินเท้าเปล่าไม่ได้""พ่นวันนี้ พรุ่งนี้เก็บก็มี พ่นวันนี้ เย็นวันนี้เก็บก็มี อันตรายมาก"วันหนึ่ง พี่ชีแนะเจ็บป่วย ต้องผ่าท้อง หมอบอกว่าถ้ายังใช้สารเคมี หมอรักษาให้ไม่ได้แล้ว"ผมเลยอยากหาทางออกที่ยั่งยืน"วันหนึ่งหลังจากมีโอกาสอบรมเรื่องทำเกษตรอินทรีย์ที่ ต.แม่ทา กิ่ง อ.แม่ทา จ.เชียงใหม่ พี่ชีแนะจึงเริ่ม ลด ละ เลิก ใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 5 ปี จากการทำเกษตรที่ใช้สารเคมี หันมาเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ด้วยวิธีโบราณแบบที่คนรุ่นพ่อทำโดยปี 2550 นี้ เป็นปีแรกของการเริ่มปลูกสตรอเบอรี่อินทรีย์เต็มรูปแบบของพี่ชีแนะ พร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 1 หลัง ทำให้เป็นบ้าน 2 ครอบครัวแรก จากทั้งหมด 20 หลังคาเรือน ที่เริ่มต้นชีวิตเกษตรกรใหม่ด้วยเกษตรอินทรีย์"เริ่มแรกก็มีปัญหา ก่อนหน้านี้ลูกเมียไม่เชื่อ ผมเลยบอกว่าใช้ยาแล้วไม่ดี" พี่ชีแนะพูดถึงอุปสรรคแรกของการปลูกสตรอเบอรี่แบบเกษตรอินทรีย์จาก ‘ทางบ้าน' แต่ก็ผ่านไปได้ เพราะหลังๆ มาครอบครัวเริ่มเข้าใจ000พี่ชีแนะกับไร่สตรอเบอร์รี่อินทรีย์จากบ้านพี่ชีแนะ พวกเราเดินทางขึ้นเขาลงห้วย ทั้งทางรถทางคน ก็มาถึงไร่สตรอเบอรี่ของพี่ชินะ เป็นเนินอยู่ริมลำธารเล็กๆ กลางหุบเขา พื้นที่ประมาณ 2 งาน สภาพเหมือนแปลงสตรอเบอรี่ทั่วไป ผิดกันตรงที่แทนที่จะใช้ยาฆ่าหญ้ากำจัดวัชพืชที่คลุมแปลงสตรอเบอรี่ ไร่สตรอเบอรี่แห่งนี้เลือกใช้ใบตองตึงมาเรียงๆ กันแทนเพื่อคลุมคันดินกันวัชพืช ใช้ปุ๋ยหมักที่ผสมวัสดุเอง ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งดอก เร่งผล และไม่ใช้ยากำจัดศัตรูพืชใดๆพี่ชีแนะ เชิญชวนผู้บริโภคจากเมืองใหญ่ที่มาเยือนไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ของเขา ให้หยิบชะลอม แล้วไปเลือกเก็บสตรอเบอรี่ตามอัธยาศัยหนาวนี้พี่ชีแนะ เริ่มปลูกสตรอเบอรี่ตั้งแต่เดือนตุลาคม เมื่อปลูกสตรอเบอรี่จนได้อายุ 60 วัน ก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงปลายเดือนมีนาคมหรืออาจถึงต้นเดือนเมษายนจึงจะหมดรุ่น โดยผลสตรอเบอรี่จะค่อยๆ ออกผลมาเรื่อยๆ ไม่พร้อมกันพี่ชีแนะจะเก็บผลสตรอเบอรี่ 1 ครั้งต่อสามวันไปเรื่อยๆ เมื่อเก็บแล้วจะฝากรถสองแถวสายสะเมิง - เชียงใหม่ ลงมาขายที่ตลาดนัดและคลังเกษตรอินทรีย์ในเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นร้านกระจายสินค้าเจ้าประจำ และก็มีบางเที่ยวของการเดินทางที่สตรอเบอรี่จากสวนพี่ชีแนะเดินทางไปถึงร้านค้าเกษตรอินทรีย์ที่กรุงเทพฯสวนของพี่ชีแนะเก็บสตรอเบอรี่ได้ครั้งละ 4-5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าให้ผลผลิตต่อเนื้อที่น้อยลงเมื่อเทียบกับไร่สตรอเบอรี่ที่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่สตรอเบอรี่อินทรีย์ก็ให้ราคาดีถึงกิโลกรัมละ 150 บาท ผลเล็กผลใหญ่ไม่แยกเกรด กิโลกรัมละ 150 บาทเท่ากันหมด ราคาดีกว่าสตรอเบอรี่ทั่วไปถึงเท่าตัว ยิ่งกว่านั้นราคาสตรอเบอรี่สวนอื่นยังขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางกำหนด หรือกำหนดราคามาแล้วจากนายทุนที่มาจ้างปลูก ตั้งแต่ผลสตรอเบอรี่ยังไม่ออก000แขกจากเมืองใหญได้สตรอเบอรี่มาคนละชะลอม สองชะลอม ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปกับไร่สตรอเบอรี่ กับเจ้าของไร่สตรอเบอรี่ บ้างลองชิมสตรอเบอรี่สดที่เพิ่งเด็ดมา พี่ชีแนะให้ความเชื่อมั่นว่าสตรอเบอรี่สวนของเขาไม่มีสารเคมีแน่นอน"ถ้าเป็นสตรอเบอรี่ที่ใช้ยา กินดูก็รู้จะขมลิ้นขมปากไปหมด" พี่ชีแนะเปรียบเทียบที่จริงผลสตรอเบอรี่ของสวนพี่ชีแนะ ก็มีผลผลิตบางส่วนที่ยังไม่สวยนัก บางผลที่เด็ดมาที่ผิวมีจุดสีดำๆ ทำให้สีของผลสตรอเบอรี่คล้ำ นี่คือผลที่เป็นโรค ‘ไรดำ'"ให้น้ำน้อยจะทำให้สตรอเบอรี่เจอไรดำ แต่ถ้าให้น้ำมากไปผลสตรอเบอรี่จะเน่า นอกจากนี้หากในไร่สตรอเบอรี่ยังปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปลูกแต่สตรอเบอรี่ โอกาสที่จะเจอศัตรูพืชก็มีมาก ต้องปลูกพืชให้หลากหลายชนิดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกแมลงทำลายพืชผล" แสงทิพย์ เข็มราช ผู้จัดการคลังเกษตรอินทรีย์ สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน (ISAC) สะท้อนปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาโรคพืชในสวนของพี่ชีแนะ"ไรด่าง ไรแดง ไรต่างๆ ยังแก้ไม่ได้ แต่จะใช้วิธีที่อุ๊ยสอนคือไปหาสมุนไพรในป่า" พี่ชีแนะคิดหาทางแก้ปัญหา"ลองชิมดู อร่อยดี" อาจารย์กนกวรรณ อุโฆษกิจ เจ้าหน้าที่องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) แนะนำว่าให้ลองเอาผลที่เป็นไรดำมาชิม น่าแปลกที่สตรอเบอรี่ผลนี้กลับหวานกว่าสตรอเบอรี่ผลที่ไม่เป็นโรคแสงทิพย์ เข็มราช สะท้อนอุปสรรคของการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ว่ามีสองประการ คือ ความมั่นใจของชาวบ้าน และแรงกดดันของเพื่อนบ้าน"หนึ่ง ชาวบ้านเองยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าทำเกษตรอินทรีย์จะสามารถลดหนี้ได้ไหม ผลผลิตออกมาจะสวยไหม ถ้ามันไม่สวยจะไปขายที่ไหน จะขายได้ไหมในตลาด เพราะตอนใช้สารเคมีต้องสวยๆ พ่อค้าถึงจะรับ แต่กับเกษตรอินทรีย์ คลังเกษตรอินทรีย์มีนโยบายให้ชาวบ้านทำตลาดเอง ไม่พยายามสร้างความสัมพันธ์อีกชั้นหนึ่ง พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคให้มากที่สุดสองคือ ภาวะแรงกดดันของเพื่อนบ้าน เพราะในหมู่บ้านมีคนทำเกษตรอินทรีย์ไม่เยอะ ชาวบ้านที่หันมาทำ จะถูกหาว่าเป็นบ้าหรือเปล่า คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น ทำเกษตรอินทรีย์จะไหวหรือ จะรอดไหมหนอ เกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์จะเจอแรงกดดันของเพื่อนบ้าน พวกบริษัทขายสารเคมีก็กดดัน เพราะเขาเข้ามาในหมู่บ้านพยายามขายสารเคมีให้ได้ บอกชาวบ้านว่าเกษตรอินทรีย์มันไปไม่ได้... ร้านขายสารเคมีอยู่ใกล้เขามาก ชาวบ้านจะไปหาได้เร็ว ถ้าเจ้าหน้าที่ส่งเสริมไม่เกาะติดพื้นที่ เราต้องใช้เวลา ส่งเสริมสารพัดวิธีให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าเกษตรอินทรีย์ไปได้มีทางรอด" แสงทิพย์ กล่าวแต่พี่ชีแนะยังมั่นอกมั่นใจว่าจะฝากชีวิตไว้กับไร่สตรอเบอรี่อินทรีย์ที่กำลังให้ผลผลิตสม่ำเสมอ พี่ชีแนะคิดว่าพืชผลจากเกษตรอินทรีย์จะอยู่รอดก็ด้วย"ถ้ามีชาวหมู่มาช่วยซื้อมากๆ ผมคงทำเรื่อยๆ คนซื้อ คนกิน คนขายถ้าไม่ช่วยกัน คนปลูกก็ได้รับผลกระทบ คนกินก็ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าใครก็ไม่รอด"และ "ที่สำคัญต้องทำในระดับนโยบาย ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ต้องแนะนำชาวบ้านหาทางออกด้วยการปลูกเกษตรอินทรีย์ แต่ตอนนี้ยังไม่ตื่นตัว ยังใส่ยา ใส่ปุ๋ยกันอยู่"000แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมสวนพี่ชีแนะ ได้สตรอเบอรี่ติดไม้ติดมือจำนวนมากแล้ว ตอนนี้ได้เวลาร่ำลากัน"เอาไว้มาเยี่ยมกันใหม่" พี่ชีแนะบอกกับคณะที่กำลังจะกลับ"ขอให้โชคดี ขอบคุณพี่มากสำหรับทางเลือกก้าวแรกๆ ที่จะทำให้สังคมได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย" ผมกล่าวในใจ ข่าวประชาไทที่เกี่ยวข้องรายงาน วัฒนเสวนา : เกษตรอินทรีย์ และธนาคารเมล็ดพันธุ์ ‘ของขวัญแห่งชีวิต', โดย ฐาปนา พึ่งละออ, ประชาไท, 3 พ.ค. 2550
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในเมืองหมดไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างมากโดยเฉพะสิบปีที่ผ่านมา  ดอยสุเทพเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวได้รุกคืบเข้าไปถึงขั้นกันพื้นที่อุทยานออกมาใช้ บางโครงการใช้พื้นที่ไปแล้วและหลังจากนั้นขอถอนพื้นที่ออกจากอุทยาน อีกทั้งยังมีโครางการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เมกกะโปรเจค ค้างอยู่อีกหลายโครงการ ชาวเมืองเชียงใหม่ และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ จำนวนมาก ที่เป็นกังวลหวงใยเรื่องป่าดอยสุเทพ วัดพระธาตุดอยสุเทพ และลานครูบาศรีวิชัย   พวกเขาพยายามดูแลจัดการมาหลายชั่วอายุคนเหมือนกัน พยายามคัดค้านโครงการต่าง ๆ รอบ ๆ ดอยสุเทพ รวมทั้งผืนป่าในพื้นที่อุทยาน ที่ถูกทำลายภายใต้นโยบายของรัฐ โครงการของรัฐบาลบางโครงการ ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของคนเชียงใหม่อย่างรุนแรง และในช่วงนั้นเกิดภาคีคนฮักเชียงใหม่ขึ้นมา  เป็นการรวมตัวกันด้วยศรัทธา  หลังจากนั้น ปีที่ผ่านมา มีชมรมเพื่อดอยสุเทพเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของหัวหน้าอุทยานดอยสุเทพในสมัยนั้น มีการจัดกิจกรรมร่วมกันหลายครั้ง ทั้งการเดินสำรวจดอยสุเทพ การจัดนิทรรศการ จนเปลี่ยนหัวหน้าอุทยาน และวันนี้มีความพยายามจะสานต่อกันอยู่2ดอยสุเทพได้ชื่อว่า เป็นดอยวิเศษ ป่าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นจิตวิญญาณของชาวล้านนา  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุดอยสุเทพยาวนานกว่า 600 ปี พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และบางส่วนเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำบางส่วนยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์ นอกจากความงดงามของสถานที่แล้ว ยังถือเป็นป่าที่มีคุณค่า มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมายาวนาน  ในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ผ่านมา มีการเดินขึ้นดอยสุเทพอย่างช้า ๆ ของคนเชียงใหม่ เพื่อระลึกถึงจอบแรกของครูบาศรีวิชัย ผู้สร้างขึ้นไปสู่ยอดดอย  ผู้คนที่เดินดอยแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินทางถนนและเดินทางป่า ผู้เดินทางป่าที่สูงวัยคนหนึ่งมาบอกเล่าให้ใคร ๆ ฟังว่า แม้ว่าการเดินป่าดอยสุเทพเดี๋ยวนี้  จะไม่เห็นสัตว์ป่าชนิดใดบนดอย นอกจากนกกระรอก และแมลงต่าง ๆ และคิดว่าที่ถูกบันทึกเอาไว้ มันอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนกสามร้อยกว่าชนิด ผีเสื้อกลางวันห้าร้อยชนิด ผีเสื้อกลางคืนอีกสามร้อย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนับกว่าครึ่งร้อย สัตว์เลื่อยคลานอีกมากมาย และสัตว์หายากพวกชะนี หมีควาย กวางป่า หมูป่า และพืชหลากหลาย ทั้งพืชเฉพาะถิ่นที่มีอยู่ที่เฉพาะที่นั้น ๆ เท่านั้น รวมทั้งกล้วยไม้ป่าหายาก แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตและที่เขากล่าวกันว่า เราต่างมีชีวิตที่ธรรมชาติเป็นผู้ดูแลนั้นสัมผัสได้จริง ๆ และเพียงแค่นี้ พอเพียงไหมสำหรับการจะดูแลรักษาไว้ ให้เป็นผืนป่าผืนสุดท้ายกลางเมืองใหญ่ เพื่อช่วยให้โลกร้อนน้อยลงไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด “คนเมือง” หรือคุณจะเป็นเพียงมาอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่อย่างถาวร หรือมาอยู่ชั่วคราว คุณหรือใครก็มีสิทธิ์ที่จะรักเมืองเชียงใหม่ และช่วยกันดูแล ช่วยกันบอกต่อถึงเรื่องราวของป่าผืนสุดท้าย ให้ตระหนักถึงความสำคัญร่วมกันว่านี้คือปอดของเมือง ไม่ควรมีสิ่งใดที่แอบแฝงอยู่ในป่าผืนนั้น ไม่ควรปลูกสร้างอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ หรือที่พัก ร้านอาหารของเอกชน อย่าปลูกสร้างอะไรขึ้นมาอีกเลย นอกจากต้นไม้   ปล. ฉันเขียนเรื่องดีงามแล้วใช่ไหมเพื่อน
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่ แล้วแม่ไม่ได้จ่ายเงินค่าไอศกรีม เขากังวลใจที่ไม่ได้จ่ายเงินเสียที เพราะแม่ไม่ยอมไปที่นั่นอ้างว่าจอดรถยาก แม่บอกรอไปก่อน ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ได้ไปจ่ายเงินค่าค่าไอศกรีม เขามีความสุขมาก ๆ เจ้าของร้านบอกว่าเขาเป็นเด็กดี จึงให้ขนมเขามามากมาย 7 ปีต่อมา เด็กชายอายุ 15 ปี  เขาได้รับสิ่งดีงามทดแทน เขาบอกว่า เขาไปกินอาหารที่ร้านแซนวิชบาร์ ตรงแจงหัวลินกับพ่อ ที่ร้านคืนเงินให้หนึ่งร้อยบาทเพราะครั้งก่อนเก็บเงินเกินไปเรื่องเล่าที่งดงามในสองหน้าแรก ทำให้ฉันมีความสุขไปด้วยในยามเช้าที่ได้นั่งอ่าน ใช่...จริง ๆ ด้วยความสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่อน่ารัก มีเรื่องน่ารักมากกมาย ตอนนี้...คุณนึกออกไหมมีเรื่องน่ารักอะไรเกี่ยวกับคุณบ้างในหนึ่งวัน  ผู้เขียนซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม คือทิ้งนามไว้ที่หน้าปก หลังปก หรือที่อื่นใด ดูหรือทำเรื่อง ๆ ดี ๆ เช่นนี้แต่ไม่เปิดเผยตัวเอง เขาสรุปว่า... “ชีวิตมีให้พวกเรา เริ่มต้นใหม่ทุกวันชีวิตมีให้เราเลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราพร้อมที่จะเลือกไหม”เปิดผ่านไป มีภาพการ์ตูน เด็กหญิงหัวโต...มาบอกว่า ขออภัยร้านใหญ่ ๆ ดัง ๆ ด้วยนะคะ งานนี้เราลงแต่ร้านเล็ก ๆ ค่ะอ้าว...เป็นแผนที่ร้านอาหารค่ะ พี่น้องโอโห...น่าไปกินทั้งนั้น เป็นร้านอาหาร ร้านเล็กร้านน้อย เริ่มตั้งแต่บริเวณสะพานนวรัฐ สะพานนครพิงค์ น่าไปกินทั้งนั้น กาดหลวง ราชวงศ์ ช้างม่อย แม่เหี๊ยะ สันป่าข่อย สันกำแพงก็มี ว้าย! มีทุกแห่งเลย ร้านเล็กๆ อร่อยและไม่แพงด้วย ร้านที่ไม่มีในไกด์บุค และไม่มีในหนังสือฟรีก็อปปี้ด้วย ดีละ...คราวนี้ มีเพื่อนมาเชียงใหม่จะมอบไกด์บุค นอกกระแสเล่มนี้ให้เลือกเลยว่า จะไปกินที่ไหน อร่อยและไม่แพงอย่างนี้ชอบ...คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีความสุขแน่ ๆ มาเที่ยวเชียงใหม่หากินหาอยู่แบบไม่แพงก็ได้นะคุณจบการกินแล้ว เขาจะบอกเรื่องอะไรอีกล่ะ หนังสือเล่มนี้เขียนว่า รวมแผนที่ร้านอาหารแซกซอกนอกกระแส ไม่มีเส้น ไม่เล่นพวก เอาล่ะค่ะ...แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าใหม่ ของไปกินก่อนค่ะ(อยากได้หนังสือไม่รักไม่บอก ติดต่อภาคีคนฮักเชียงใหม่ค่ะ 16 ถ. เทพสถิต ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200  หรือ 08 4041 5096)