Skip to main content
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง ราดน้ำจิ้มเหนียวๆ แล้วใส่ไม้แหลมๆ ให้หนึ่งไม้ “สี่ลูกเอง แพงจัง” ฉันรำพึงกับตัวเอง แต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย คนขายเลยขมวดคิ้วใส่“ราคานี้มาตั้งนานแล้วพี่”“ค่ะ ค่ะ ขอโทษที ไม่ค่อยได้มาแถวนี้” ฉันอยากยิ้มให้เธอ แต่ก็รีบหันหลังออกจากแผงกล้วยด้วยความเกรงใจคนขาย กลัวเธอเข้าใจรอยยิ้มของฉันผิดจุดหมายอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สองป้ายรถเมล์ แต่ฉันกำลังอยากชิมกล้วยปิ้งคนกรุง เลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ จะได้เดินไปกินไปอย่างสบายอารมณ์มาตรฐานความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับฉัน กล้วยปิ้งนั้นฝาดไปหน่อย แถมน้ำจิ้มยังหวานแสบไส้ นึกถึงสีหน้าไร้อารมณ์ของคนขายแล้วเห็นใจเธอ ได้ยินว่า ธุรกิจกล้วยปิ้งปัจจุบันนี้มีการทำแฟรนไชส์แล้ว แสดงว่าคนไทยยังไม่เบื่อกล้วยปิ้ง แต่ทำไมหนอ เธอถึงมีหน้าตาเบื่อลูกค้าขนาดนั้น แล้วฉันก็คิดถึงรอยยิ้มของยายยายนั่งอยู่ในเพิงสังกะสีหน้าห้องแถวเก่าๆ ริมถนนในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน ตอนที่ฉันยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเพิงของยายเกือบทุกวันยายจะมานั่งปิ้งกล้วยขายตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นวันที่ยายปวดเมื่อยจนลุกไม่ขึ้น แต่ทุกวันที่ยายมาขาย ยายจะมียิ้มแจ่มใสมาด้วยเสมอ เหลียวมองทีไร เห็นยายยิ้มทุกที จนฉันอยากจะคิดว่ายายยิ้มให้รถทุกคันที่ผ่านหน้ายายไปรอยยิ้มนั้นเองที่ดึงดูดให้ฉันจอดรถซื้อกล้วยปิ้ง“หนู้...” ยายจะขึ้นต้นแบบนี้ทุกครั้ง “ไปไหน้มาจ๊า กินกล้วยปิ้งของยายไหม้ อร่อยนาจ๊ะ”เสียงเหน่อๆ ของยายทำให้ฉันต้องยิ้ม ยายก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นพูดด้วยสำเนียงจังหวัดไหน เพราะวัยกว่าแปดสิบของยายนั้น ย้ายตามลูกชายมาหลายจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ปี ทั้งอุตรดิตถ์ จันทบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา“อู๊ย มันหลายแห่งเหลือเกิ๊น ย้ายจนยายเวียนหั้ว หนู้เอ๊ย ....”เริ่มคุ้นหน้ากัน ยายก็ถามฉันว่า “หนู้ ค้ายอะไรหรือจ๊ะ” แกชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ที่ฉันมัดไว้ท้ายรถ ฉันจึงอธิบายว่าไม่ได้ขาย ของที่เต็มตะกร้าเกือบทุกวันนั้นคือกับข้าวหมายายฟังเรื่องบ้านสี่ขาแล้วก็หัวเราะตาหยี  “เหมือนยาย เหมือนยาย”ในกระจาดกล้วยของยาย ทุกวันจะมีถุงก๊อบแก๊บหลายถุงใส่ข้าวคลุกน้ำแกงบ้าง หัวปลาบ้าง ต้มเศษเนื้อบ้าง ยายบอกว่า “เอาไว้ให้หม้า”มีหมามอมแมมหกเจ็ดตัว แวะเวียนมาหายายที่แผงกล้วยปิ้งทุกวัน ยายจะหยิบถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวโยนให้มันคาบไปกิน มีตัวหนึ่งมารอยายแต่เช้า กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนข้างๆ แผงของยายไปจนถึงเย็น พอยายกลับ มันก็กลับบ้าง ยายบอกว่ากลางคืนมันนอนไหนไม่รู้ แต่กลางวันมันมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับยาย บางวันมันมีสีม่วงๆ เป็นหย่อมๆ เต็มตัว ยายเล่าว่ามันได้แผลมาจากไหนไม่รู้ ยายเลยเอายาสีม่วงใส่แผลให้ เมื่อแผลมันหาย ยายก็รีบบอกฉันให้ร่วมดีใจด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข เงินที่ฉันซื้อกล้วย ยายบอกว่าจะเอาไว้ช่วยหมาที่อดอยาก วันหนึ่ง ยายเห็นฉันมีพลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วเนื่องจากถูกบานหน้าต่างกระแทกใส่ ยายรีบถามไถ่อาการอย่างห่วงใย แล้วหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงให้จนนับไม่ทัน“ยายจ๋า หนูซื้อแค่สิบบาท ยายหยิบเกินแล้วยาย” ฉันรีบบอก“ไม่เป็นไร้ กินกล้วยปิ้งของยาย หนู้จะได้ห้ายไวๆ” ยายยื่นกล้วยถุงใหญ่ (มีเกือบยี่สิบลูก) ให้แล้วบอกด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “อ้ะ ซิบบาท”“สิบบาทยายขาดทุนแย่ แถมให้เยอะขนาดนี้หนูกินไปสามวันก็ไม่หมด” ฉันไม่ได้บอกว่า ที่ซื้อยายเมื่อวาน (และเมื่อวานซืน) ก็ยังไม่หมด“ขาดทุนอาไร้ กล้วยถูกจะตายไป๊ กินไม่หมดก็เอาไปค้ายต่อ” ยายแนะนำ“โธ่ หนูจะไปขายใครเล่ายาย” ฉันยิ้มขำ นึกถึงน้องๆ ที่ทำงานที่ถูกชวนแกมบังคับให้ช่วยกินกล้วยปิ้งทุกวัน ยิ่งช่วงที่แผลยังไม่หาย ยายจะแถมกล้วยให้จนฉันแทบกินแทนข้าวคิดถึง “เจ้าชายน้อย” ของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรี และถ้อยคำที่ว่า“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามก็อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง”เจ้าชายน้อยและนักบินเดินอยู่ในทะเลทราย “เธฮหิวน้ำเหมือนกันหรือ” นักบินถามเจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่พูดว่า น้ำอาจจะดีสำหรับหัวใจทั้งสองพบบ่อน้ำเมื่อรุ่งสาง เจ้าชายน้อยขอให้นักบินตักน้ำในบ่อให้ นั่นเองคือสิ่งที่นักบินค้นพบ การเดินใต้แสงดาว การค้นพบบ่อน้ำกับเสียงเพลงของลูกรอก และแรงแขนของเพื่อนที่สาวถังน้ำขึ้นจากบ่อ ทำให้น้ำนั้นสดชื่นราวน้ำหวานในงานรื่นเริงเจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า“ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียว แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาต้องการ”“ใช่ เขาไม่เคยพบมันหรอก” นักบินตอบเจ้าชายน้อยบอกว่า“ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย”แล้วเขาก็เสริมว่า“แต่ตาของคนเราบอด สิ่งนั้นต้องหาด้วยหัวใจ”กล้วยปิ้งราคาสี่ลูกยี่สิบบาทบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้อยากกินกล้วยปิ้ง เพียงแต่ฉันคิดถึงรอยยิ้มของยาย และรู้สึกว่า กล้วยปิ้งนั้นดีต่อหัวใจ
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ที่นั่นมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้สายรุ้งเล่นสนุกสายรุ้งชอบเล่นฟุตบอล เด่นเองก็ชอบเล่น มีเพื่อนหลายคนเล่นฟุตบอลอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว สวนสาธารณะเป็นอีกที่หนึ่งที่เด็ก ๆ จะพากันมาเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม สายรุ้งเปลี่ยนชุดเพื่อเตะฟุตบอล เขาดูน่ารักไม่หยอกในชุดของทีมฟุตบอลชื่อดัง เขามีชุดนักฟุตบอลของทีมดัง ๆ หลายชุดและเขารู้จักนักฟุตบอลชื่อดังหลายคน เด่นและเพื่อนที่โรงเรียนมักจะคุยกันในเรื่องนี้หลังจากแบ่งทีมกันเรียบร้อยแล้วเด็ก ๆ ก็เริ่มเล่น เด็ก ๆ หัวเราะเวลาวิ่งชนกันและล้มไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าของเล็กๆ เด็ก ๆ ไม่สามารถจะควบคุมทิศทางฟุตบอลได้ ฟุตบอลมาทางไหนเด็กก็เตะไปทางนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกกันมากเป็นพิเศษคือเจ้าโอเว่นที่โดดเข้ามาร่วมเล่นด้วย มันไม่ยอมให้เสียชื่อโอเว่นพวกเด็ก ๆ  พากันหัวเราะเมื่อโอเว่นเข้าไปแย่งลูกฟุตบอลกับพวกเขา พวกเขาเล่นไปหัวเราะไป เด็กบางคนลงไปนั่งหัวเราะงอหงายอยู่กับพื้นสนาม  โอเว่นวิ่งไล่บอลและคอรบครองบอลด้วยขาหน้าทั้งสอง ดูเหมือนมันพยายามโยกหลอกพวกเด็ก ๆ  แต่เด่น ชิงเอาบอลออกไปจากการครอบครองของโอเว่น แล้วเตะส่งไปให้คนอื่นอย่างรวดเร็ว โอเว่นจึงวิ่งไล่ตาม โอเว่นวิ่งไล่กวดเพื่อแย่งฟุตบอลกับพวกเด็ก ๆ  ที่กรูกันไปทางเดียว และมันก็วิ่งได้รวดเร็วกว่าเด็ก ๆ มาก“หมาตัวนี้อยู่ทีมไหนเนี่ย” “ให้มันเป็นกรรมการก็แล้วกัน” สายรุ้ง“เล่นหมาชิงบอลกันดีกว่า” เด่นพูด“มันได้เปรียบพวกเราเพราะมันมีตั้งสี่ขา”เด็ก ๆ เตะบอลส่งกันไปมา ให้โอเว่นวิ่งไล่ เกมแบบนี้มันชอบอยู่แล้ว เด็กคนหนึ่งทำท่าตกใจเมื่อโอเว่นวิ่งไล่กวดและกระโดดเข้าใส่  เด็กคนนั้นทิ้งตัวล้มลงด้วยความจั๊กกะเดียมและหัวเราะอย่างยอมแพ้ แม่เงยหน้ามองสายรุ้งเป็นระยะ ในขณะที่เธอนั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้สนามฟุตบอล เธอไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ แม้แต่วินาทีเดียว คุณค่าของวันเวลาจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ตระหนักว่าเวลาจะไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำและไม่มีวันหวนกลับ ถ้าไม่ฉวยวันเวลาเอาไว้ก็จะไม่เหลืออะไรเลยและเวลาของเธอก็ไม่เหลือมากมายเหมือนคนอื่น การเตรียมให้พร้อมด้วยการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากที่สุดทำให้ไม่ต้องมานั่งเสียดายสายรุ้งเล่นฟุตบอลจนเหงื่อไหลโชกท่วมตัว เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นที่เพลิดเพลินและจริงจังในสิ่งที่ตนเองกำลังเล่น แม่เรียกสายรุ้งและบอกว่าพอได้แล้ว สายรุ้งหอบหายใจ ใบหน้ามีสีแดง แม่เช็ดเหงื่อและบอกให้เขากับเด่นดื่มน้ำ“เหนื่อยมากเลยแม่” เขาหัวเราะ “โอเว่นมันเล่นฟุตบอลเก่งเหมือนกันนะ” แม่ปิดสมุด เธอเขียนหนังสือได้สามหน้าระหว่างลูกกำลังเล่นฟุตบอล ตอนนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เจ้าโอเว่นเดินไปฉี่ไป มันชอบล้อรถเป็นพิเศษ รถคันไหนที่จอดอยู่มันก็จะฉี่ใส่ แต่แล้วมันก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นสุนัขสีขาวสวยตัวหนึ่งกำลังเดินมา ท่าเยื้องย่างของสุนัขตัวนั้นงามสง่า เชิดหน้าชูคอ โอเว่นมองตาไม่กะพริบ มันวิ่งไปคาบเอากิ่งไม้มากึ่งหนึ่ง   มันกระโดดผกโผน   หมอบลงและยกก้นโด่งขึ้นเป็นสัญญาณว่า “แน่จริงมาแย่งให้ได้สิ”แต่สุนัขแสนสวยตัวนั้นไม่สนใจมันเลย โอเว่นจึงได้แต่ยืนดูสุนัขสาวสวยเดินจากไปด้วยดวงตาละห้อยแม่พาสายรุ้งเดิมอ้อมไปตามทางเลียบลำธาร ลูกเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมที่กอหญ้าข้างลำธาร สายรุ้งเอามาอุ้มก่อนจะปล่อยให้มันคลานตามทางของมันต่อไป
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย เพราะหมานั้นอายุสั้นกว่าคนหลายเท่าวงการแพทย์พบว่า หมาแมวสามารถเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ และช่วยฟื้นฟูผู้ชราที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัว ฉันรู้สึกว่าชีวิตเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่น่าเชื่อว่าการคลุกคลีกับสัตว์ที่พูดไม่ได้ และ(บางครั้ง)เดาใจไม่ออก จะทำให้ฉันสามารถอยู่กับคนได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น ไม่มีเงื่อนไข และไม่คาดหวังนึกถึงเรื่อง “พบกันวันคิดถึง” หรือ See you anytime I want ของคิคุตะ มาริโกะ หนังสือภาพเล่มเล็กๆ ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานมหกรรมหนังสือเด็กโบโลนญา ปี 1999 และจำหน่ายมาแล้วกว่า 1,000,000 เล่มในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องราวความผูกพันของเพื่อนรักคู่หนึ่ง ชิโระกับมิกิ เหตุเกิดขึ้นอย่างกระทันหันชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้าพอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจังผมจะได้พบมิกิจังเสมอแม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กันภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลงเรายังคงเหมือนวันเวลานั้นผมพบกับมิกิจังทุกเวลาที่คิดถึง........เป็นหนังสือที่หยิบเอาเรื่องความตายมาอธิบายได้อย่างสวยงาม ทั้งยังบอกวิธีรับมือกับความเศร้าได้อย่างอ่อนโยน ภาพลายเส้นง่ายๆ ของหมาน้อยในหนังสือ เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่อ่าน แม้บางครั้งจะดึงให้เรานึกถึงเรื่องที่อยากร้องไห้หมาแมวบ้านสี่ขาล้วนมีความเป็นมาที่น่าเศร้า หลายตัวผ่านการถูกทำร้าย อดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและความรัก จึงเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งกายและใจ ถึงจะพลิกฟื้นคืนความแจ่มใสได้ แต่หลายตัวก็อายุไม่ยืนยาวนัก การนั่งมองเพื่อนสี่ขาหมดลมหายใจในมือของฉันตัวแล้วตัวเล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเคยชิน การจากพรากแต่ละครั้งยังสะเทือนใจไม่ต่างกัน ยุ่งยิ่งเป็นหมาเล็กๆ อีกตัวหนึ่งที่ฉันรับเลี้ยงไว้ ครั้งแรกที่พบกันนั้น เป็นระหว่างทางที่ฉันกลับจากการจัดรายการวิทยุที่ FM 103 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลูกหมาตัวหนึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น แทบทุกตารางนิ้วของผิวหนังเต็มไปด้วยเห็บ หมัด และเหา ทั้งเกาะติดแน่นและไต่ยั่วเยี้ยเต็มตัวจนไม่อาจนับจำนวนได้ฉันขนลุกเมื่อมองเห็บที่กระจุกอยู่เหมือนเมล็ดข้าวโพดในฝัก ลูกหมาตัวนี้กำลังจะตาย ดวงตากลมโตแต่เซื่องซึมของมันบอก พี่น้องตัวอื่นๆ ของมันถูกขายไปแล้ว เหลือแต่ยุ่งยิ่งที่ตัวเล็ก อ่อนแอ และไม่สวย แม่ของมันกำลังถูกบำรุงเพื่อท้องลูกครอกใหม่ ยุ่งยิ่งเป็นหมาที่ไม่มีใครอยากได้ แม้แต่เจ้าของของมัน “ขอได้ไหม” ฉันถามเจ้าของ และเมื่อเขาบอกอย่างไม่สนใจว่า “ก็เอาไปสิ” ฉันจึงหยิบเจ้าตัวกระจ้อยร่อยเบาหวิวใส่ถุงและรีบพาไปหาหมอ สัตวแพทย์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นปริมาณเห็บหมัดบนตัวเจ้าหมาน้อยยุ่งยิ่งโตขึ้นเป็นหมาแคระแกร็นเพราะสุขภาพไม่ดี หมอบอกว่าหมาตัวนี้อายุไม่ยืน แต่ฉันพยายามยืดชีวิตมันไว้ให้นานที่สุด ให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ขาดไปในวัยเยาว์ แต่ยุ่งยิ่งเป็นโรคโลหิตจางและมีภูมิคุ้มกันต่ำ มันจึงป่วยบ่อยๆ ด้วยสารพัดโรค  เกือบห้าปีที่วนเวียนกินยา ฉีดยา และให้น้ำเกลือ ยุ่งยิ่งอยู่กับฉันอย่างน่ารักน่าสงสาร มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว พอใจเพียงแค่ได้มานอนซุกเงียบๆ อยู่บนตัก และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันอุ้มไปเดินเล่น ยุ่งยิ่งสามารถนั่งนิ่งๆ ได้นานครึ่งค่อนวัน มีเพียงดวงตากลมโตที่กลอกตามความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจากหมาตัวไหนๆ แม้ในชั่วโมงเจ็บปวดทุรนทุราย ตาคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่นวันที่เขียนเรื่องนี้ ฉันเพิ่งขุดหลุมฝังยุ่งยิ่ง แดดจัดจ้าทำให้ผิวดินร้อนระอุ ทั้งแน่นและแข็ง เหวี่ยงจอบแต่ละทีสะเทือนไปทั้งไหล่ แต่ฉันก็พยายามขุดให้ลึกที่สุด เพื่อให้ถึงเนื้อดินเย็นๆ ข้างล่างฉันบรรจงจัดท่านอนให้ยุ่งยิ่ง เกลี่ยดินกลบตัวมันจนแน่น แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนมันอยู่อีกนาน คิดว่าข้างใต้นั้นคงเย็นสบาย เจ้าหมาน้อยจะไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้ ทุกชีวิต จะคนหรือหมา สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่ผืนดินนึกถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่เคยนั่งอยู่บนพื้นดินใต้ต้นสะเดาเก่าแก่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน ลึกลงไปใต้โคนต้นสะเดา ฝังกระดูกของพ่อฉันไว้ ตอนนั้นฉันก็คุยกับพ่อว่า ข้างใต้นั้นคงเย็นสบายนะ พ่อน่าจะหลับสบาย ใช่ไหมพ่อไม่มีใครจากไปอย่างแท้จริงตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอเราพบกับคนที่เรารักทุกเวลาที่คิดถึง
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว คนอยากเลี้ยง(แต่แพ้)แมว รวมทั้งคนที่รักคนรักแมว(อีกที) มาคุยกัน ดูนิทรรศการแมวๆ ผลัดกันเล่าเรื่องแมว นินทาแมว วาดรูปแมว กินขนมเค้กหน้าแมว และช่วยกันซื้อเสื้อแมว(ให้คนใส่) เพื่อรายได้เล็กน้อยๆ จะมอบให้กองทุนแมวไร้เจ้าของแถบสะพานควาย ที่มีจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง คือมีพ่อค้า แม่ค้า คนหาเช้ากินค่ำในย่านสะพานควาย แวะเวียนมาร่วมงานด้วยหัวใจอันอ่อนโยนของคนที่เมตตาสัตว์ร่วมชุมชน บางคนโผล่เข้ามาในผ้ากันเปื้อนมอมๆ มาคุยเรื่องแมว แล้วรีบผลุบกลับออกไปเพราะ “ทิ้งร้านเอาไว้นะเนี่ย”อยากรู้จริงว่าสะพานควายมีแมวกี่ตัว “ร้อยหกสิบเอ็ดตัวค่ะ” เด็กหญิงเล็กๆ ลูกหลานชาวสะพานควายที่มาร่วมงาน บอกเสียงดังฟังชัด แถมยืนยันด้วยการกางแผนผังให้ฉันดู เป็นแผนผังที่สถาปนิกใจดีชื่อพี่เบนวาดขึ้นมา มีชีวิตชีวาอันพลุกพล่านย่านสะพานควายแทรกอยู่ในห้างร้าน ตลาด อาคาร ถนน ต้นไม้ รวมทั้งประชากรแมวที่เธอบรรจงใส่ลงในภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ “ไม่น้อยไปหรือคะ” ฉันแกล้งถาม ก้มดูแผนผังที่มีแมวแทรกอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ยิ้มกับขบวนแมวที่กำลังข้ามถนนกันเป็นพรวน“หนูนับตั้งสองรอบ มีแค่นี้เองค่ะ” หนูน้อยตอบราวกับว่า จริงๆ มันมีมากกว่านี้พี่นวล บ.ก.สำนักพิมพ์วงกลม เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของงาน พอฉันถามไถ่ว่าทำไมเธอจัดงานนี้ ทั้งๆ ที่เธอกลัวแมว “เพราะพี่ชอบฟังคนคุยกันเรื่องแมว ฟังแล้วสนุกทุกทีเลย” พี่นวลตอบพลางยิ้มพลางอย่างอารมณ์ดีนิทรรศการเล็กๆ ที่เล่าเรื่องแมวและคนรักแมวในชุมชนย่านสะพานควาย ทำให้เราได้รู้จักเสือน้อย แมวเปอร์เซียขี้หงุดหงิดที่ชอบนอนบนตู้แช่หน้าร้านขายของชำสวัสดี เสือน้อยมีใบหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ตอนที่พวกเราแวะเอาอาหารแมวไปให้ ฉันเกิดอยากรู้ว่าเสือน้อยกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เจ้าของร้านจ้องหน้ามันอยู่พักหนึ่งแล้วว่า “ไม่แน่ใจแฮะ” มือฉันที่กำลังเอื้อมไปหามันจึงหดทันทีเราได้รู้จักเหมียวใหญ่ แมวแสนงอนที่ร้านเสริมสวยของพี่อลิน กับถุงทอง แมวประจำร้านสมุนไพรและแผงลอตเตอรี่ที่หวงตัวสุดๆ พอพวกเราโผล่ไป มันรีบหนีไปซ่อน เห็นแต่ดวงตาแวววับที่จ้องมาจากใต้โต๊ะยังมีเดี่ยว อ้วน และบราซิล สามแมวรู้มากที่พี่จรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัวหลีง้วนบอกว่า ตัวหนึ่งๆ จะขอลูกชิ้นกินวันละสามสิบลูก!!ฉันคุยกับพี่เจี้ยบและพี่เลิศ คนขายไก่ย่าง ที่เลี้ยงอดีตแมวจรจัดไว้ในบ้านแปดตัว แมวนอกบ้าน(แถวศาลเจ้า) อีกเกือบสิบตัว พี่เจี๊ยบบอกว่าจ่ายค่าปลาทูวันละสิบเข่ง (ไม่นับค่าอาหารเม็ด นม และค่าทำหมัน) และแมวทุกตัวของพี่จะหอมกรุ่นเป็นพิเศษทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันอาบน้ำแมวประจำสัปดาห์ไม่กี่วันมานี้เพิ่งมีคนเอาลูกแมวมาทิ้งอีกสองตัว พี่เจี๊ยบอดไม่ได้ต้องเอาอาหารและนมไปให้ด้วยความเวทนา ฉันเดาว่าไม่ช้า พี่ทั้งสองต้องเพิ่มค่าปลาทูแน่ๆโจโจ้ เป็นแมวตัวเบ้อเริ่มที่อยู่ร้านเสริมสวยของป้าหงษ์ ขนนุ่มแน่นของมันชวนลูบเล่นเป็นอย่างยิ่ง แรกๆ โจโจ้นอนนิ่งให้ลูบโดยไม่แสดงอาการใดๆ ฉันได้ใจลูบไม่หยุด โจโจ้คงรำคาญเลยลุกออกไปกางเล็บฝนกับขาโต๊ะดังแกรกกรากเหมือนจะบอกว่า ลองมาลูบอีกทีสิ อีกตัวที่น่าทึ่งคือเจ้าแสตมป์ แมวเร่ร่อนที่ทุกๆ วันตอนตีห้าจะมาเกาประตูห้องแถวของพี่สุณี คนขายไก่สดในตลาดสุดาเพื่อขอกินมื้อเช้า บางวันแวะไปขอกินมื้อเย็นพี่สุณีที่แผงเสียด้วย หลายคนสงสัยว่ามันคิดได้ยังไงว่า ถ้าไม่เจอพี่สุณีที่บ้าน มันต้องไปหาในตลาด ดำเป็นแมวไม่มีเจ้าของ ชอบมุดเข้าออกตรงรูกำแพงของโรงแรมสุภาพ แต่น้าศาสตร์ คนขับรถแท็กซี่จะมีอาหารเม็ดมาให้ดำและแมวเร่ร่อนไร้ชื่อตัวอื่นๆ เป็นประจำ บางวันก็เป็นปลาดุกย่างจากรถเข็นขายส้มตำแถวนั้น น้าศาสตร์มีความเชื่อส่วนตัวว่าแมวเป็นเทพเจ้า จึงตั้งจิตอธิษฐานด้วยความเคารพทุกครั้งที่ให้อาหารแมว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีโชคดีเกิดขึ้นกับน้าศาสตร์เสมอๆ ยังมีเรื่องราวของไข่ตุ๋น สามสี ถุงเงิน โมโม่ โชค น้ำหวาน เก๋ง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บอกเล่าถึงชีวิตเล็กๆ ในย่านสะพานควายและหัวใจเอื้ออารีที่คนมีให้แมว งานวันนั้น หลายคนยิ้ม หัวเราะและนั่งคุยกันอย่างสนิทใจทั้งที่ไม่รู้จัก แต่เราเชื่อมโยงกันโดยใช้แมวเป็นสะพาน จนฉันอยากจะเรียกย่านนั้นใหม่ว่า สะพานแมว ถ้าใครมีโอกาสไปแถวสะพานควาย ไม่ต้องเสียเวลามองหาควาย แต่ลองสังเกตประชากรแมว ถ้าเจอก็ทักทายกันบ้างนะคะ ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะได้พบกัน และได้เป็นเพื่อนกัน ผ่านสายสัมพันธ์แบบเหมียวๆ ก็ได้หรือไม่ต้องไปถึงสะพานควาย รอบๆ ตัวคุณก็อาจมีแมวหรือหมาไร้บ้านวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รอความรักความใส่ใจที่ยืนยันว่า โลกนี้ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิดและสังคมอันอุดมด้วยคนแปลกหน้า ก็อาจดำรงอยู่ได้ด้วยสายใยที่มองไม่เห็นเช่นนี้เอง
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน บนโต๊ะหน้าบ้านมีเศษกิ่งก้านของใบไม้อยู่เต็ม ตอนนั้นโอเว่นหลบอยู่แต่ในบ้านที่ปิดประตูมิดชิด แต่มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นของสัตว์ป่าวันนั้นเป็นวันเสาร์ สายรุ้งไม่ต้องไปโรงเรียน เขาเอาไม้กวาดมากวาดลานบ้าน พื้นดินยังเปียกแฉะอยู่ โอเว่นวิ่งออกมากระโดดโลดเต้น มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีมากหลังจากฝนตก มันได้กลิ่นหอมของดิน ของหญ้า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ แต่แล้วเมื่อเข้ามาใกล้กับโต๊ะหน้าบ้านและทำท่าว่าจะกระโดดข้ามไปนั้น มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ โอเว่นดมตามกลิ่นนั้นไป จนพบว่าต้นตอมันอยู่ใต้โต๊ะท่อนมะม่วง ทันใดนั้นเองที่มันแลเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำแวววาวและยาวเหยียด ลำตัวส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ แต่ส่วนหนึ่งก็โผล่พ้นออกมา มันม้วนตัวเองจนเป็นวงหลายชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก ดวงตาหรี่เล็กของมันจ้องมาทางสุนัขอย่างประสงค์ร้ายงูเหลือมตัวหนึ่งขดอยู่ใต้โต๊ะ มันกำลังจ้องมองมาที่โอเว่นเช่นเดียวกับที่โอเว่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ท่าทางมันกำลังหิว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหิว มันคงอยากจะกินสุนัขของสายรุ้งแน่ ๆ โอเว่นเห่าอย่างบ้าคลั่ง เส้นขนตั้งชัน ลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปมา นัยน์ตาของงูแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด ฝนพายุคงทำให้มันลำบาก เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในทุ่งร้างที่อยู่สุดซอยที่มีหนองน้ำ และมีวัชพืชงอกสูงท่วมหัว แต่ก่อนทุ่งร้างแห่งนี้เคยเป็นบ้านและเรือกสวนมาก่อน แต่แล้วไม่รู้เหตุผลกลใด เจ้าของก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ที่ทุ่งร้างแห่งนั้นมีสัตว์แปลก ๆ หลายชนิด เช่นตัวเงินตัวทองที่ดุร้าย มีเล็บและฟันที่คมกริบงูเหลือมตัวนี้ มีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตรเห็นจะได้ ประกายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามเช้า โอเว่นเห่าไม่ยอมหยุด ตอนแรกสายรุ้งไม่สนใจเสียงเห่าเพราะรู้นิสัยของสุนัขตัวนี้ดีว่า “โอเว่นเจออะไรนิดหน่อยมันก็เห่า”แต่โอเว่นเห่าเสียงดัง วิ่งวนไป วนมา ซ้ายที ขวาที ในขณะที่งูใหญ่เริ่มขยับตัว มันเลื้อยอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง สายรุ้งเดินมาใกล้และบอกว่า “เอ็งจะเห่าอะไรนักหนา โอเว่น”แต่แล้ว สายรุ้งชะงักด้วยความกลัวและความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นงู แต่งูไม่สนใจสายรุ้ง เป้าหมายของมันคือโอเว่น งูตัวนั้นเลื้อยอย่างแช่มช้าออกมาจากโต๊ะ ท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย มันจ้องมองสายรุ้งแวบหนึ่ง แต่โอเว่นก็เบนความสนใจของมัน ด้วยการกระโดดผกโผนทำท่าเหมือนจะเข้าไปกัด สุนัขวิ่งวนไปรอบ ๆ งู ทำท่าเหมือนจะไปทางซ้ายแต่แล้วก็เอี้ยวตัวไปทางขวา หาโอกาสที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปสักครั้ง “โอเว่น ระวัง” สายรุ้งร้องสุนัขเห่าเสียงดังจนแม่ของสายรุ้งออกมาดู งูมักจะเลื้อยออกมาแบบนี้เสมอเวลาที่ฝนตกหนัก เธอบอกให้สายรุ้งวิ่งไปตามเพื่อนบ้านมาช่วย “ถ้าเราไม่ไปทำให้มันโกรธ มันก็ไม่ทำอะไรหรอก” อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึง สายรุ้งพบว่าโอเว่นกำลังอยู่ในวงรัดของงูเหลือม มันพันรอบตัวของสุนัขไว้อย่างแน่นหนา ความร้ายกาจโหดเหี้ยมเหลือเชื่อของงูปรากฏออกมา ในเวลาที่มันกำลังจะพิฆาตเหยื่อหรือศัตรูของมันโอเว่นหงายท้องแล้วม้วนไปมาตามการเคลื่อนที่ของงู“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไร” เธอบอกสายรุ้ง“สุนัขยังไม่ตาย” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นพวกผู้ใหญ่หลายคนช่วยกันงัดแงะเอาตัวโอเว่นออกมา แต่งูมันไม่ยอมปล่อย ใครคนหนึ่งจึงใช้มีดปักเข้าไปที่ลำตัวของงู ซึ่งก็ได้ผล มันคลายตัว เลือดไหลนองออกมา “อย่าฆ่ามันนะ” แม่ของสายรุ้งบอกสายรุ้งไม่รู้ชะตาของงูตัวนั้นว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร เพราะใครคนหนึ่งเอามันใส่ถุงแล้วก็หิ้วออกไป มันอาจถูกฆ่าแล้วถลกหนังแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือไม่ก็อาจจะถูกนำไปรักษาแล้วไปปล่อยที่ไหนสักแห่ง ส่วนโอเว่นต้องนอนแกร่วอยู่หลายวัน “งูมันคงจะหิวน่ะลูก” “ผมกลัวงูครับ” สายรุ้งบอกแม่“ที่อยู่ของมันถูกรุกราน มันจึงออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ในทุ่งไม่มีอะไรให้มันกินแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่ทำร้ายมันก่อน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา”“ครับแม่” สายรุ้งพูด แม่โอบกอดเขาไว้ รู้สึกโล่งใจ.