LGBT

แนะนำภาษาที่ใช้ในหมู่เกย์ GAY LANGUAGE GUIDE

12 March, 2008 - 00:35 -- chana

ภาษาใครคิดว่าไม่สำคัญ บางคนบอกว่า แหม ... บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูด ใช้ภาษาใบ้เอาก็ได้ แต่บังเอิญคนที่คุณใบ้ด้วยไม่เก็ตก็แย่สิฮะ.. หากพอมีเวลาว่างใช้เวลาในการศึกษาภาษาเพิ่มเติมชาน่าว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ดีทีเดียว  อย่างเวลาชาน่าไปแต่ละเมืองแต่ละประเทศนั้น จำเป็นต้องพอรู้ว่าไปไหนมา สามวาสองศอก หรือแม้แต่ภาษาเฉพาะในหมู่ชาวเรา ทำให้  "ง่ายสำหรับคุณค่ะ"

20080312 ภาพประกอบ (1)

ทำอย่างไรให้เป็นสุขเมื่อต้องอยู่คนเดียว เกย์เปลี่ยวกาย

2 March, 2008 - 00:55 -- chana

วันนี้เรือจอดอยู่ประเทศบาฮามัส พรุ่งนี้จะเข้าฟลอริด้า นั่งทำงานเป็นโอเปอเรเตอร์รับโทรศัพท์จองห้องอาหารคนเดียว  เสี้ยวหนึ่งของวันทำงาน จู่ ๆ ก็เกิดอาการเป็นสุข จนต้องระบาย หยิบปากกามาจิกเขียน ถ่ายทอดความสุข ส่งตรงสู่เมืองไทย  

20080302 chana (1)

เค้าบอกว่า คนเราจะสุขหรือทุกข์นั้นขึ้นอยู่ที่ใจ บางครั้งกว่าจะสุขได้ก็ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างไม่ว่าจะเรื่องของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ส่วนตัว และจิตใจ เป็นต้น

บางครั้งเจ้า “ความทุกข์”  มักจะมาเยือน  นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญบ้าน ๆ ทั่วไป ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินอย่างเราท่านทั้งหลาย   แต่เราจะหาวิธีการดับทุกข์เช่นไร ทำให้บำบัดทุกข์เติมความสุขให้กับตนเอง

วันนี้ชาน่าพอจะคิดค้นตำรา  “อยู่อย่างไรให้เป็นสุข ของวิถีชีวิตเกย์”   ร่วมแชร์ให้กับคนอ่านคอลัมน์ทุกท่านฮ่ะ  พอจะแยกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ชีวิตกะเทยนักศึกษากับการแต่งกายและแปลงเพศ

24 February, 2008 - 00:27 -- chana

ชีวิตที่ต้องเกี่ยวข้องของคนหลากเพศชายจริง หญิงแท้ หรือแม้แต่เกย์ กะเทย นั้นย่อมมีปะปนกับชนและคนทุกชนชั้นวงการไม่เว้นแม้แต่ชีวิตของนักศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตแห่งชาติ เป็นลูกเป็นหลานเราๆ ท่านๆ เนี่ยล่ะฮะ

วันนี้ชาน่าอ่านข่าวคราวจาก นสพ.คงชักเล็ก พิมพ์ผิดฮ่า คมชัดลึก เกี่ยวกับชีวิตของกะเทยหรือสาวประเภทสองที่ต้องแต่งตัวเป็นนักศึกษาหญิงไปมหาวิทยาลัย จึงหยิบมาฝากผู้อ่านประจำคอลัมน์ “พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์” ณ ประชาไทกันบ้าง

เชื่อหรือไม่ว่า ชีวิตของคนเป็นเกย์ อีแอบ นั้นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของความขัดแย้งในการแต่งกายเลย เพราะพวกเค้าก็คือเพศชายดีๆ ที่คุณเห็นนั่นแหล่ะ บางครั้งมองแทบไม่ออกดูยากเหลือเกินว่าคนไหนเป็นหรือไม่เป็น ตราบใดที่ไม่มีเครื่องมือดักจับตุ๊ด เกย์ ปรากฎขึ้นบนโลกใบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นง่ายเสมอคือ ส่วนมากเกย์จะเนี๊ยบ เรียบร้อย ดูดีกว่าผู้ชายทั้งแท่งว่างั้นเหอะ

20080224 ภาพประกอบ (1)

รักสามเศร้าของเราสามเพศ และเกย์

17 February, 2008 - 10:09 -- chana

ความรักหากใครไม่เคยสัมผัสก็ยากจะอธิบายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่นและก้นบึ้งของหัวใจ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”  ประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินมาแต่ไหนแต่ไร ตอนเป็นเด็กไร้เดียงสา ก็แค่อ่าน ได้ยิน และเข้าใจ แต่ไม่ได้สัมผัส รับรสของความรักและความทุกข์

โลกวันนี้ได้ผ่านเข้า และผ่านไปจากบทเรียนและประสบการณ์ของชีวิตโลกแห่งความจริงกับสิ่งที่ฝันบางครั้งมันห่างไกลกันเหลือคณานับ  ทุกคนฝันอยากมีรักที่สวยงาม รักที่ทำให้ชีวิตนี้มีความสุข แต่หากเมื่อไหร่ รักนั้นไม่เป็นดังหวัง  ไม่เหมือนในฝัน มันย่อมเกิดทุกข์กับความรัก

คนที่ไม่เคยอกหัก  ก็เพราะเขาไม่เคยมีความรัก คงไม่มีใครในโลกใบนี้จะสมหวังในรักตั้งแต่เริ่มแรกรัก ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวี
“เพราะรักไม่มีกำแพงกั้น ไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น วรรณะหรือแม้แต่เพศ”
เมื่อเข้าใจตั้งแต่กรอกใบสมัครเป็นคนที่มีรสนิยมความรักทางเพศในเพศเดียวกันว่า “เตรียมใจเผื่อไว้ให้กับความผิดหวัง”  

ขอยกตัวอย่างเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ฝากไว้คิด...

โอ  (นามสมมุติ)  เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่พ่อแม่ตั้งความหวังอย่างสูงสุดที่อยากให้ชีวิตของเค้าเป็นหลักเป็นฐาน มีหน้าที่การงานที่ดี มีหน้ามีตาทางสังคม ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งโอมีพร้อมด้วยรูปพรรณอันหล่อเหลาเอาการ เรียกได้ว่า  Perfect man of the year ก็คงจะไม่ผิดกับสมญานามนี้ แต่ใครจะรู้ว่า ส่วนลึก ความรู้สึก และรสนิยมทางเพศข้างในของเค้าจะเป็นอย่างไร โอย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เค้าใช้ชีวิตเป็นเด็กนักเรียนนอกจนจบปริญญาเอกด้วยวัยที่ยังเยาว์

ชีวิตและพฤติกรรมสามารถอยู่ในกรอบได้ แต่ความรู้สึกจิตใจยากไซร้จะเป็นไปตามใครบังคับ เค้าใช้ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมของโลกอิสระเสรี จนวันหนี่งเค้าค้นพบและบอกกับตัวเองว่า  “ผมมีความรู้สึกทางเพศ และมีความสุขกับเพศเดียวกัน”  แม้โอจะพยายามหลีกหนีความจริง ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สมาชิกในครอบครัว รู้ว่าส่วนลึกและความต้องการของจิตนั้นเป็นเช่นไร เมื่อถึงคราวที่ต้องโดนคลุมถุงชนกับคนที่มีชาติตระกูล พร้อมด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกัน  โอ และ เจน (นามสมมุติ) อยู่กินฉันท์สามี ภรรยาอย่างเป็นสุข (ในความคิดของทุกคนแม้กระทั่งเจนเอง) เค้าทำการบ้าน หน้าที่ การงานทุกอย่างปกติอย่างเนียน โดยไม่มีใครสงสัย แต่บ่อยครั้งที่โอ ต้องมีภารกิจทำหน้าที่เดินทางไปต่างประเทศ เค้ามักจะปล่อยใจตามสิ่งที่เค้าปรารถนา คือการได้เสพความสุขกับเพศเดียวกัน มันเป็นความต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โอเริ่มผูกพันกับชายต่างชาติที่เค้าปลื้มและหลงรักโดยไม่รู้ตัว  แม้แต่ภรรยาอันเป็นที่รักของเค้า เพราะเธอรักเชื่อใจ และเป็นสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับโอ โอผิดหรือไม่ที่เลือกทำตามใจตัวเอง แต่เค้าก็ไม่เคยทำให้เจนผิดหวัง โอทำให้ครอบครัวและผู้หญิงที่รักเค้ามากมีความสุข  แต่ความสุขและความต้องการของเค้าคือ การปลอดปล่อยอารมณ์และความโหยหากับชายที่เค้าต้องการ

โอบอกกับชาน่าเสมอว่า “ผมคงจะทำเช่นนี้ไปตลอด ในเมื่อบางครั้งมันก็ไม่มีทางเลือก”  หนึ่งภาระทำเพื่อหน้าที่อีกหนึ่งใจทำเพื่อความสุขของตนเอง  “ผมผิดใช่มั้ยแต่ผมก็เลิกไม่ได้”.....

20080217 chana (1)

"ตัดทิ้ง" เรื่องจริงของสาวแปลง(เพศ)ร่าง

10 February, 2008 - 04:48 -- chana

ช่วงพักร้อนสามเดือนที่ผ่านมาได้ไปงานเปิดตัวหนังสือของเพื่อนที่ เอสพลานาด ทางทีมงานและสำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์ ได้มอบหนังสือเล่มนี้ ...   “ตัดทิ้ง” ชีวิตจริงของสาวประเภทสอง  ซึ่งเขียนและดัดแปลงมาจากวิทยานิพนธ์ของ คุณวารุณี แสงกาญจนวนิช   อ่านแล้วต้องขอยกนิ้วให้ ว่าเป็นอีกหนังสือคุณภาพที่อ่านแล้วโดนฮ่ะ  ได้สาระและความรู้อีกหลายเรื่องราวที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน

20080210 chana (1) 

ชีวิตจริงของชาน่านั้นเป็นเกย์ ไม่ได้เป็นกะเทย แต่ที่ต้องแต่งสาวเป็นพรางชมพู ก็เพราะไม่อยากให้ทางบ้านรู้ (อันที่จริงคือไม่อยากให้คุณแม่ทราบ แค่คนเดียวเท่านั้นที่แคร์ความรู้สึก ที่เหลือประชากรทั่วจักรวาลไม่เคยคิดที่จะปิดบังเลยเจ้า)  ถามว่าเคยคิดอยากจะแปลงเพศหรือไม่  เมื่อก่อนเคยคิด แต่ทุกวันนี้ ความคิดนั้นเปลี่ยนไปซึ่งมีหลายองค์ประกอบ อาจจะเป็นเพราะแก่เกินแปลงร่างกระมังคะ   แต่ถ้าแต่งสาวเมื่อไหร่แล้วชอบเป็นการส่วนตัวเชียวล่ะ

ลองอ่านเรื่องจริงของเค้าหรือเธอ ที่ผ่านเป็นตัวหนังสือ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์  แม้เวลาการพิมพ์จะผ่านไปสองสามปีแต่คุณค่าของหนังสือไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเลย

ชีวิตของสาวประเภทสองที่แปลงเพศนั้นจะเป็นเช่นไรใครจะรู้ดีเท่ากับตัวเธอเอง  หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอด ปอกเปล่าเล่าเปลือยอย่างไม่กั๊ก  ซึ่งคนในหนังสือนั้นล้วนเป็นคนจริง เรื่องจริง เจาะลึกลากใส้

คนเราแม้จะเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาได้  หลายคนเถียงว่าทำไมจะเลือกเพศเกิดไม่ได้  หาโครโมโซมให้หมอกำหนดเพศก็เลือกเพศของลูกได้แล้ว นั่นก็จริงแต่บางครั้งเพศที่เกิดมาแล้วก็ขัดแย้งกับความต้องการของเจ้าของหัวใจ และวิญญาณ  (ซึ่งบังคับกันไม่ได้)  ถ้าจะให้เลือกระหว่างการเปลี่ยนจิตฝังใจกับเปลี่ยนร่างกาย อย่างหลังนั้นยังง่ายกว่าซะอีกในปัจจุบันของคนที่มีแรงกล้าที่คิดจะเปลี่ยนร่าง แปลงเพศให้สอดคล้องกับความต้องการทางจิต

คำนำของผู้เขียนบอกให้เรารู้ว่า *  “จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ ต้องการฉายภาพสะท้อนและถ่ายทอดข้อเท็จจริงของ  “ครรลองชีวิต”  เบื้องหลังชีวิต และความเป็นมาเป็นไปของ “ชาย” ที่ผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนเพศเป็น “หญิง” หรืออาจเรียกว่า ชายที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศทางร่างกาย “โดยกำเนิด”  ไปสู่เพศ “หญิง” ที่จิตใจนั้น พร่ำ  “กำหนด”........”

ศัลยกรรมการแปลงเพศ จึงเข้ามามีบทบาทต่อพวกเค้าหรือเธอ   แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของ “มนุษย์” ในการคิดค้น ความก้าวหน้า วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ช่วยให้พวกเธอนั้นได้ทำตามฝัน สักครั้งของชีวิตในชาตินี้    

20080210 chana (2)

จากผลการวิจัย  ในต่างประเทศ  มีสาวประเภทสองต้องการเปลี่ยนเพศ โดยมีปริมาณดังนี้  ** อเมริกาเท่ากับ 1 : 100,000   ประเทศเยอรมัน 1 : 42,000  ประเทศสวีเดน 1 : 37,000  ประเทศอังกฤษ 1 : 34,000   ประเทศออสเตรเลีย  1 :24,000   ประเทศเนเธอร์แลนด์1 : 11,900  ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ แต่เกรงว่าตัวเลขก็คงจะไม่ทิ้งห่างจากต่างประเทศนัก  หรือคุณว่าไง

เหตุผลหลักของการแปลงร่าง ...  หรือแปลงเพศ นั้น เกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างเพศและจิตใจฮ่ะ  เกิดในร่างชายแต่ใจเป็นหญิง  แม้แพทย์จะบอกว่าเป็นความเจ็บป่วยทางจิตประเภทหนึ่ง  ถึงแม้จะพยายามรักษาโรคด้วยวิธีการทางจิตบำบัดแต่ก็ไม่สำเร็จ   จนหลายคนยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้สอดคล้องกับจิตยังง่ายกว่าค่ะ จึงเป็นที่มาของการแปลงเพศ  แต่กว่าจะแปลงร่างและเพศได้นั้นก็ไม่ใช่ แค่คลิ๊กปุ๊บแปลงปั๊บ เหมือนไอ้มดแดง  หากต้องผ่านกรรมวิธีกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น  อันดับแรกจะต้องผ่านการทดสอบสภาพทางจิตว่าต้องการจริง ๆ หรือแค่อารมณ์ชั่ววูบ  การใช้ฮอร์โมนทดแทน และการทดลองดำเนินชีวิตแบบเพศตรงข้ามอย่างเต็มเวลา เพื่อทดสอบว่าผู้จะได้รับการผ่าตัดมีความพร้อมหรือไม่

* วัตถุประสงค์ของการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ
๑. เพื่อปรับเปลี่ยนร่างกายให้สอดคล้องกับเพศทางจิต
๒. เพื่อเปลี่ยนลักษณะภายนอก เช่น เต้านม อวัยวะเพศ รูปร่าง และใบหน้า ต่าง ๆ ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเพศที่ต้องการมากที่สุด โดยอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
๓. เพื่อเอื้ออำนวยให้ผู้ที่ได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติชน

เกณฑ์ขั้นต่ำในการวินิจฉัยบุคคลที่จะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ เช่น
มีอายุครบตามกฎหมายของประเทศตน
มีการใช้ฮอร์โมนทดแทนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 12 เดือน
ประสบความสำเร็จในการทดลองดำเนินชีวิตแบบเพศที่จะเปลี่ยนเป็นเวลา 12 เดือน
ได้รับการอธิบายในเรื่องเงือนไขและค่าใช้จ่าย  ค่ารักษาพยาบาล ปัญหาหลังการผ่าตัด
เป็นต้น

กระบวนการผ่าตัดเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิงนั้น สลับซับซ้อนอย่างเช่น  สร้างช่องคลอด ตัดลูกอัณฑะออก ลูกออกไม่พอ องค์ก็ต้องออกด้วยนะคะ  องค์ที่ว่านั้นคือ องคชาติ  เมื่อตัดแล้วก็ต้องเพิ่มเติมสร้างคลิตอริส อันนี้ขออธิบายหลายคนบอกว่า พอแปลงเพศแล้วจะไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือจะไม่ถึงจุดนั้น หมอก็ไม่ยอมน้อยหน้าขอตัดแต่งเพิ่มเติม โดยเอาเลือดและเส้นประสาท ซึ่งไวต่อการกระตุ้นให้ถึงจุดนั้น (ไม่ใช่จุดนัดฝันนะเค๊อะ)  มาสร้างเป็นคลิตอริส  ที่ลืมไม่ได้คุณหมอหัดใหม่ห้ามลืมก็คือ ต้องสร้างรูเปิดของท่อปัสสาวะ  ไม่งั้น...ลำบาก หารูออกไม่ได้แย่เลยค่ะ  ขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องสร้างแคม  ไม่ใช่เว็บแคมนะคุณ ต้องสร้างแคมนอก แคมในให้เหมือนจริงมากที่สุด

ร้อยเกือบทั้งร้อยเมื่อถึงขั้นผ่าตัดแปลงเพศแล้ว  สาว ๆ ทั้งหลายจะต้องผ่าตัดทำศัลยกรรมอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การเสริมจมูก จิ้มคาง ผ่าตัดรูปหน้าไม่ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หรือว่าสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัดกราม ดึงแนวผมให้ต่ำลง รวมทั้งการเหลาลูกกระเดือกให้บางลง  คุณหมอทำได้ค่ะ

หลังการผ่าตัดแล้วก็ต้องเป็นคนไข้ ได้รับการดูแลจากหมอ  นอกจากนี้แล้วตัวเองก็ยังต้องดูแลช่องคลอด(ใหม่)  ถ้าจะกล่าวว่าช่องคลอดก็คงไม่ถูกต้องนักเพราะหาได้มีโอกาสคลอดใครออกในส่วนนั้น แต่รู้กันว่าคือช่อง....  ชาน่าขอเรียกว่า ช่องเพศ(ใหม่) ละกัน พวกเธอจะต้องใช้เทียนแท่งเหลาเป็นรูปอวัยวะเพศชาย หรืออาจเป็นแท่งซีลีโคนนุ่ม หรือเครื่องขยายช่องคลอด  ซึ่งจะต้องสอดใส่ ใหม่ ๆ วันละสองสามครั้ง  แทบจะทำหลังอาหาร ครั้งละ 30 นาที ต้องทำเช่นนี้เป็นเวลา 6 เดือน  ศัพท์แสลงเค้าเรียกกันว่า  ต้อง “โม”   (อ่านว่า โม เฉย ๆ ไม่ใช่นะโม  พิมพ์ไม่ผิดหรอกค่า  ฮา ฮา )    ช่วงนี้ก็สำคัญมิใช่น้อย เพราะถ้าหากคุณไม่โม ช่องแคบของคุณอาจจะหด หรือ ตื้นตัน เหมือนกับการเจาะหู หนะค่ะยังต้องหาอะไรมาทิ่มแทงตลอดไม่งั้น แน่นอน.... “รู” ตัน

20080210 chana (3)

คำถามที่หลายคนอาจจะคิด หรือคิดไม่ถึงว่า หลังผ่าตัดแล้วเมื่อไหร่จึงจะสามารถ ทำกิจกรรมเข้าจังหวะได้  (ร่วมเพศ) โดยทั่วไปแล้วสามารถเริ่มต้นทดลองขับขี่ได้ ในสัปดาห์ที่ 6  หากมีอะไรผิดพลาด สามารถติดต่อศูนย์ถ่วงล้อ เปล่าค่ะเปรียบเปรย ติดต่อคุณหมอผู้ทำการผ่าตัด อย่างเช่น ฉีกขาด เลือดไหล  จะได้แก้ไขทันท่วงที

ของตัดแต่ง บางรายทำได้เนียนจนหาที่ติไม่ได้ แต่บางรายก็ผิดเพี้ยนบ้างนิดหน่อยโดยจะพบได้อย่างเช่น  เวลานั่งปัสสาวะ รูปัสสาหันข้าง ดันหน้า เวลาฉี่แทบรดหน้าประตูห้องน้ำ หรือสายยางน้ำพ่นทางซ้ายบ้าง ขวาบ้างตามจังหวะ  บางรายพอมีอารมณ์ทางเพศ อวัยวะของเธอแข็งโป๊ก ทั้ง ๆ ที่ของผู้หญิงจะนุ่มนิ่มอย่างแตกต่าง....

ผลหลังการผ่าตัดแล้ว โดยส่วนมากจะพอใจในระดับสูงทีเดียว เพราะได้เป็นอยู่อย่างเต็มรูปแบบว่า “ฉันก็เป็นผู้ฉิง  ....เต็มตัวแล้ว”    การใช้ชีวิตและกิจวัตรประจำวันก็คือ หญิง ทั้งกายและหัวใจหละค่ะ

มีหลายรายที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว  โดยรูปลักษณ์ภายนอก ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเคยเป็น ผู้ชาย มาก่อน แต่บางคนก็ยังมีเค้าโครงร่างเหมือนผู้ชายอยู่บ้างอย่างเสียไม่ได้    

ส่วนตัวชาน่าเคยสัมภาษณ์  ช่างแต่งหน้าจาก  เดอะ ไฮนิส สตูดิโอ ทองหล่อ  เธอบอกว่า  “เจ็บมากเลย  ก็เหมือนกับตัดชิ้นส่วนอวัยวะของเรา ใครบอกว่าไม่เจ็บไม่จริงหรอก” เธอเล่าให้ฟังว่า  “แม้จะผ่าตัดแปลงแล้วบางครั้งผู้ชายก็ยังนิยมเข้าประตูหลังของบ้านอยู่ดีล่ะ”    

ชาน่าเคยทราบข่าวจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนมัธยมปลายด้วยกันที่ ร.ร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ เชียงราย เธอตัดสินใจ แปลงเพศแต่ข่าวที่อนาจเยี่ยงนักคือเธอเสียชีวิตในระหว่างการผ่าตัดแปลงเพศ เพราะเสียเลือดมาก หัวใจวาย ตายก่อนสมร่างหญิงสวย ซึ่งก่อนที่เธอจะแปลงเพศเธอเอวบางร่างเล็กสวยงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่าเสียดายและเสียใจแทนพ่อแม่ด้วยจริง ๆ ค่ะ

“ถึงวันนี้ก็บอกได้เลยว่า เราตายได้แล้ว ตายได้แล้วจริง ๆ เพราะเราเป็นผู้หญิงแล้ว ชีวิตไม่ต้องการอะไรมากกว่าได้เป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น ถึงแม้คนอื่นจะรับไม่ได้ก็ตาม”  เสียงของ แจน หนึ่งในสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศ ที่ถูกสัมภาษณ์ในหนังสือเล่มนี้

ไม่ว่าคุณจะเลือกเป็นเพศไหน ตามกำเนิด หรือเพิ่งจะกำหนด(เพศ)  สิ่งที่เราจะต้องเผชิญและอยู่กับความเป็นจริงนั้นสำคัญที่สุด  คนทุกคนมีทางเลือก หากคุณเลือกที่จะเป็นใครสักคนในชาตินี้หรือชาติหน้า (ถ้าเลือกได้) ก็ขอเป็นคนที่สอดคล้องกับความต้องการทางภาวะจิตใจ  แม้สิ่งที่เลือกนั้น “จะกลับก็กลับไม่ได้ ไปก็ไปไม่ถึง”  แต่หนึ่งสิ่งที่อยู่ในใจเราเสมอคือ  เลือกที่จะเป็นสุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม  

นำเสนอเรื่องแปลง(เพศ)ร่าง ส่งตรงจากเกาะ Barbados,West Indies Eastern Caribbean .

* ข้อมูล จากหนังสือ  “ตัดทิ้ง” ชีวิตจริงของสาวประเภทสอง, วารุณี แสงกาญจนวนิช สำนักพิมพ์ สร้างสรรค์บุ๊คส์, สิงหาคม 2548
* กราบขอบพระคุณ สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์ สำหรับหนังสือเล่มนี้ที่มอบให้อย่างเป็นทางการ

แด่นาย "ฮีธ เลดเจอร์" ผู้จากไป

2 February, 2008 - 00:29 -- chana

20080202 ฮีธ เลดเจอร์ 

“ฮีธ เลดเจอร์” ขวัญใจชาวเกย์, พระเอกBrokeback Mountain

เกิด – แก่ – เจ็บ – ตาย นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางครั้งก็ยากจะทำใจได้  โดยเฉพาะหากใครสักคนอันเป็นที่รัก และผูกพัน แม้กระทั่งแค่ชื่นชม ปลื้ม ๆ ของคุณจากไปก่อนวัยอันสมควร   “เค้าหลับสบายไปแล้วล่ะ คงเหลือแต่เราที่จะก้าวต่อไป สู้ต่อไปตราบเท่าที่ลมหายใจยังอยู่แม้มันจะทรมาน ปวดร้าวแค่ไหน  ขอเวลาตั้งตัว ขอทำใจหน่อยได้ไหมคนดี”

วันที่ 23 ม.ค. 2008 เป็นวันที่พระเอกในดวงใจของผมจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เขาผู้นั้นคือ  ฮีธ เลดเจอร์ หนุ่มน้อยหน้าไม่หล่อแต่เร้าใจวัยซาวแปด  ชาวออสซี่  พระเอกหนุ่มจากหนังดังระดับฮอลลี่วู๊ด เรื่อง  “หุบเขาเร้นรัก” หรือ ”Brokeback Mountain”  ภาพยนตร์แนวดรามาของเกย์ที่โด่งดังและปลื้มมากที่สุดเท่าที่เคยดู โดยมีผู้กำกับชาวไต้หวัน “อั้งลี่” กำกับเรื่องนี้จนคว้ารางวัลมากมาย

“ฮีธ เลดเจอร์”  นายจากไปแล้วเหรอ   

เมื่อไม่นานมานี้ชาวไทยและแฟนคลับของน้องบิ๊ก ดีทูบี ก็ร่ำไห้เสียใจจากความพรากคนอันเป็นที่รักและชื่นชม

ก่อนหน้านั้นยังจำกันได้  อ๊อฟ อภิชาติ พัวพิมล ดาราชายขวัญใจวัยทีน และหวานใจชาวเกย์ ก็จากไปอย่างกระทันหัน  ในวัยกำลังสร้างอนาคต  

“มีพบ ย่อมมีพราก มีเกิด ย่อมมีดับ”  มันเป็นอนิจจัง  วัดระฆัง ยังเป็นสถานที่จัดงานขาว – ดำ อยู่เสมอ.... (ขอคั่น จะเขียน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สัน...ทัด อะค่ะ อย่าว่ากันนา สวยใส บางครั้งก็ไร้สติเสมอ)

ความเสี่ยงของการร่วมรักทางทวาร(หนัก)

20 January, 2008 - 01:38 -- chana

การแสดงความรักและความใคร่ที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเกย์ ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นการร่วมเพศ แต่จะเป็นเพศร่วมแบบไหนคงทายได้ไม่ยากนัก  ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นธรรมชาติของเกย์ กะเทยที่ต้องใช้ทวารยังหวานอยู่ภายในร่างกายเพื่อประกอบกามกิจ (อยู่บ้าง)  ซึ่งภาระนี้จะตกอยู่กับฝ่ายรับ จนเกย์คิงหลายคนบอกว่า “ผมไม่ชอบรับ ผมชอบรุก เพราะเป็นฝ่ายรับมันเจ๊บบบบ เจ็บ”  ขออนุญาตทำความเข้าใจกับคนที่ยังอ่อนต่อวิชาเกย์ศาสตร์ ว่า ฝ่ายรับคือ ผู้ให้ (ทวารยังหวานอยู่) ส่วนฝ่ายรุกคือผู้กระทำ

20080120 ความเสี่ยงของการร่วมรักทางทวาร(หนัก)1

ประกวดมิสสาวประเภทสอง ... ผู้หญิงยังอาย

14 January, 2008 - 11:48 -- chana

คงไม่มีใครจะกล้าปฎิเสธได้ว่า ความใฝ่ฝันของเกย์กะเทย เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ อยากจะทำหน้าที่ของการประกวดความงาม คุณค่าที่เธอคู่ควร ไม่ว่าจะเป็นเวทีใด ๆ ก็ตามที่จัดขึ้น

ตอนเป็นเด็กชายอยู่บ้านนอกคอกนา เคยไปงานฤดูหนาวที่ทางจังหวัดหรืออำเภอเค้าจัดประกวด “นางฟ้าจำแลง” ตอนนั้นด้วยความไร้เดียงสา ใคร่รู้เยี่ยงนัก คำว่านางฟ้าจำแลงคืออะไร พอเติบโตขึ้นจึงเริ่มเข้าใจความหมายและเข้าใจตัวเองมากขึ้น

ฉันอยากเป็นนางฟ้าจำแลงจังเลย” พร่ำบ่นพึมพำในใจคนเดียว เพราะอิชั้นมีแววตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะฮะ

โฉมเอย โฉมงาม อร่ามแท้แลอรุณ.......” เพลงที่ใช้ประกวดเมื่อครั้งจำความได้ ทุกครั้งบรรยากาศงานฤดูหนาวพวกเค้าหรือเธอจะสร้างสีสันและบรรยากาศ จนบางครั้งแทบเรียกได้ว่าเรียกเสียงฮือฮามิใช่น้อย

พอโตขึ้น มักจะไม่พลาดกับการประกวดนางสาวไทย มิสไทยแลนด์เวิร์ล จนไปถึงระดับโลก มิสยูนิเวิร์ส ซึ่งประเทศไทยของเราก็มีสาวงามที่ได้เวทีนี้มาแล้วสองคน คือคุณอาภัสรา และคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติเป็นอย่างมาก

หากมองถึงการประกวดของสาวประเภทสองของบ้านเราและระดับโลกบ้าง ผู้หญิงแท้ๆ ต้องอายและผู้ชายแท้ๆ ต้องตะลึงในความงาม กะเทยไทยก็สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้มากเช่นกัน เริ่มตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน

ปี 1999 อดีตเด็กปั๊ม คุณโอ๋-ภัทรียา ศิริงามวงศ์ มิสทิฟฟานี่ 1999 และมิสควีนออฟดิ ยูนิเวิร์ส ปีเดียวกัน โดยถือว่าเธอเป็นกะเทยไทยที่สวยระดับโลกคนแรก (น่าเสียดายที่ขณะนี้เธอได้เสียชีวิตด้วยโรคร้ายเมื่อไม่นานมานี้)

หลังจากนั้นก็มีน้องปอย ที่ได้มิสเกย์ยูนิเวิร์ส มาครองอย่างสมศักดิ์ศรี และล่าสุด น้องฟิล์มก็ได้รับตำแหน่ง Miss International Queen 2007 มาครอง ที่จัดขึ้น ณ ทิฟฟานี่ พัทยา โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งได้รับความสนใจจากเกย์ กะเทย ทั่วทุกมุมโลกเข้าประกวด

ความงามของเค้าหรือเธอนั้น ต้องยกนิ้วให้ ชะนีไทยหลายคนยอมรับนับถือจริง ๆ ค่ะ

การประกวดนางงามที่จัดขึ้นนั้นมีหลากหลายเวทีที่ประชันกันอย่างถึงอกถึงใจ ทั้งระดับโลกและระดับชาวบ้าน ๆ โดยตั้งชื่อตามจุดประสงค์ แม้กระทั่ง ธิดาสวนผึ้ง นางงามไร่สวนผสม นางงามวิ่งไล่ควาย เป็นต้น

 

14JAN3

ชาน่าอยากกล่าวถึง อีกหนึ่งเวทีที่ประทับใจ เพราะเป็นเวทีที่ไม่เน้นความสวย(ที่สุด) มากนักหากแต่จะวัดกันที่กึ๋น หรือ Talent ความฉลาดไหวพริบ เรียกเสียงฮา ได้มากยิ่งมีโอกาสมาก เค้าตั้งสโลแกนว่า “ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ” หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Miss AC/DC “Same thing in reverse” สวยเลิศกาม งามปัญญาฉาย ใคร ๆ ก็สมัครได้ และที่สำคัญเวทีนี้จะไม่มีรางวัล มีแต่ชื่อเสียงและเกียรติยศ เพราะรายได้จะนำไปมอบให้กับการกุศลต่าง ๆ เรียกได้ว่า สวยรวยบุญว่างั้นเหอะค่า

การประกวด มิสเอซีดีซี นั้นจัดขึ้นทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปีที่ผ่านมา 2007 เป็นเวลาเจ็ดปี ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวเรา ทั้งเกย์ และกะเทย มากมาย ภายในงานจะมีคนหลากหลายกลุ่มอาชีพมาร่วมชม โดยซื้อบัตรต่างราคา เพราะรายได้จะนำมอบให้กับการกุศล

ล่าสุดปลายปีที่แล้วจัดขึ้นที่ บีอีซีเทโร ฮอลล์ ซึ่งได้ผลการประกวดดังนี้ สาวงามที่ได้ตำแหน่งคือ มิสจามัยก้า รองอันดับ 1 คือ มิสเวียดนาม รองอันดับ 2 มิสสาธารณะรัฐเชค รองอันดับ 3 มิสศรีลังกา และรองอันดับสี่ มิสเดนมาร์ก

14JAN4  14JAN5


นางงามทั้งหลายคือเกย์ กะเทยชาวไทยแท้นี่ล่ะค่ะ แต่ว่าจะได้รับมอบให้เป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ เหมือนกับการประกวดนางงามจักรวาล ซึ่งสาวงามแต่ละนางนั้นจะต้องทำการบ้านเตรียมตอบคำถามและแสดงความสามารถให้เหมาะสมได้โล่ห์มากที่สุด ผู้นั้นจะได้รับตำแหน่งไปครอง ใครสนใจปีหน้า ฟ้าใหม่ หรือสิ้นปีนี้คงจะมีการประกวดอีกเป็นแน่แท้ติดตามดูภาพ และความคราวความเคลื่อนไหวได้ที่ www.missacdc.com นะคะ

โดยส่วนตัวของชาน่าแล้ว ในชีวิตนี้เป็นเกย์ (ในเวลาทำงานสาวเสิร์ฟ บ๋อยอินเตอร์บนเรือสำราญระดับโลก) เคยเข้าประกวดนางงามบนเรือสำราญหรู หรือรีสอร์ทลอยน้ำระดับโลก จากเพื่อนเกย์ หลายประเทศ เคยได้ตำแหน่ง มิสเกย์เรือสำราญ สองปีซ้อน (Miss Coral Princess 2003, Miss Diamond Princess 2004) และรองอันดับหนึ่ง (The first runner up Miss Grand Princess 2005) ก่อนจะแขวนมงกุฏ

ความรู้สึกตอนนั้น มันเหมือนว่าเราได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย โดยจัดประกวดบนเวที โรงละครบนเรือสำราญ มีการแสดงโชว์ ซึ่งชาน่าแสดงรำไทย ผสมเพลงสากลในตอนจบ และตอบคำถามจากกรรมการที่ตั้งคำถาม จำได้ว่า ลูกน้องคนทำงานด้วยกันผู้ชายจริง ๆ เค้าน้ำตาร่วงโดยไม่รู้ตัวคงซึ้งถึงความแก่นแก้วแสนซน ความกล้าหาญชาญชัยมั้งคะ จนสุดท้ายผลการประกวด เราได้ตำแหน่ง เข้าใจความรู้สึกของนางงามที่ได้รับรางวัลว่า “กลั้นน้ำตาไม่ไหว” ต้องเอามือกุมจมูกมือปาดน้ำตานิ๊ดสสสส์ นึงพองาม แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันอึ้งไปหมดเลยค่ะ นั่นล่ะ “นาทีที่ยิ่งใหญ่” ....” ชาน่าบอกและกล่าวเล่าความรู้สึก

แม้คุณจะเคยหรือไม่ในนาทีที่ยิ่งใหญ่นั้น หาได้สำคัญแต่สามัญสำนึก และความสวยงามทั้งหลายไม่ได้มีองค์ประกอบแค่ความสวยแต่รูปกายภายนอกเท่านั้น หากแต่สิ่งสำคัญของคนคนหนึ่งสวยงามทั้ง กาย วาจา ใจ นั้นไซร้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรคู่อยู่กับเกย์ กะเทยทั้งไทยและทั่วโลก ขอให้ทุกคนงามอย่างมีคุณค่าในทุกวันเวลานาทีนะเจ้าคะ

รักสวยรักงาม จากเกาะ Bonair ของประเทศ เนเธอร์แลนด์ ทะเลแคริบเบี้ยน....

(ปล.ขอขอบคุณภาพประกอบอย่างเป็นทางการฮ่ะ ไทยมิส สยามดารา มิสเลดี้บอย มิสเอซีดีซี)

เพียงเสี้ยวหนึ่งอารมณ์ของเกย์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (Gay Emotion)

4 January, 2008 - 00:07 -- chana

chana

ส่งท้ายปลายปี  ความหนาวเข้ามาเยือนเหมือนใจหวิว ๆ  หลายคนเปรียบเปรยถึงความอ้างว้างว้าเหว่ ในช่วงฤดูหนาว  ช่างเข้ากันนัก  แต่ที่นี่ในต่างแดนเขตทะเลแคริบเบี้ยน สำหรับคนท้องถิ่นไม่รู้จักคำว่าหนาวเหน็บนอกจากอากาศเย็น ๆ  ณ วันนี้ที่เกาะท้องฟ้ามืดมน ตั้งเค้าฝนจะตก  บ่อยครั้งที่ฝนฟ้าและอากาศเป็นใจมักจะปล่อยใจฝัน แบบบิวด์อารมณ์ได้ไม่ยากนักสำหรับหัวโปกไร้นม อารมณ์เกินหญิงของเกย์อย่างเรา  

ฉันนั่งอยู่บาร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งของเกาะ Antigua and Barbuda เขตทะเลแคริบเบี้ยน  หลังจากที่เราสามคนเกย์เพื่อนรัก พากันออกจาก รีสอร์ทหรูราคาสี่ร้อยล้านเหรียญ หรือที่รู้จักกันดี  “เรือสำราญ”  ซึ่งมาจอดเทียบท่าแต่ละเมืองที่พาผู้โดยสารท่องเที่ยว

เราเดินช้อปปิ้ง สักพักเพื่อนสองคนขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนจะตะบี้ตะบันเสิร์ฟเดือนแสน ตามวิถีสาวเสิร์ฟอินเตอร์ ลูกเรือสำเริงสำราญทำงานระบมอย่างเรา ๆ  อารมณ์อยากนั่งคนเดียวจึงทำให้นึกถึงอะไร ๆ หลายอย่างในช่วงปลายปีเหมือนเป็นการสรุปและทบทวนชีวิตของตัวเองต่างๆ นานาในหนึ่งปีที่ผ่านไป ทำให้นึกถึงสองสามประโยคที่สนทนากับเพื่อนเมื่อก่อนหน้านี้

หนัง "รักแห่งสยาม" ความรักที่งดงามโดยไม่เลือกเพศที่ไม่ใช่แค่เกย์ (THE LOVE OF SIAM)

21 December, 2007 - 02:28 -- chana

1

สังคมที่เปิดกว้างและยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงได้เกิดขึ้นอีกระดับหนึ่ง เมื่อได้เห็นหนังไทย หนังดี หนังเด่นแนวหน้าแห่งปีนี้  เรื่อง “รักแห่งสยาม” หนังที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักหลากอารมณ์ ของสังคมเมืองไทย ในความเหมือนที่แตกต่างของสังคม

(อีกแล้วครับท่าน) เป็นกระแสแรงได้จิต สั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ เขย่าให้เห็นถึงภาพสะท้อนของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน  เมื่อ  “รักแห่งสยาม”  ผ่านสายตามหาชน   ทั้งพลพรรคคนรักเกย์ แอนตี้เกย์ รักครอบครัว รักเพื่อน รักแฟน รักเพศไหนๆ ยังไงก็ตาม

“คงเป็นหนังวัยรุ่นกุ๊กกิ๊ก ทั่ว ๆ ไป  สปอยหรือเปล่าน๊า”
“แหวะ ... หนังเกย์ แน่ ๆ เลยเท้อออ !”
“โอ้โห ... อยากไปดูแต่ กลัวคนอื่นคิดว่า เราเป็นเกย์  ไปดูหนังเกย์รึเปล่า”
มากมายหลายเสียงของผู้บริโภคหนังก่อนเข้าชมเรื่องนี้..

“รักแห่งสยาม” เป็นหนังรักดรามา แนวครอบครัวมากกว่าแค่เรื่องเกย์ (เท่านั้น)  ผลงานการกำกับของ “มะเดี่ยว”  ผู้ซึ่งไม่เคยทำให้อิชั้นผิดหวัง จากผลงานที่ผ่านมาหลาย ๆ เรื่องอย่างคนผีปีศาจ 12, 13 และงานเขียนบทในบอดี้ ศพ 19

เรื่องนี้ยิ่งโดนอย่างหนักสำหรับชีวิต ความรักและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ เพศเกย์ของใครหลายคนในสังคม  ไม่ว่าจะเริ่มจากครอบครัวเป็นฐานแรก   การเริ่มเรื่องเป็นไปอย่างนิ่ม ๆ แต่ทำให้คิดตามตลอดและในใจก็ลุ้นว่าจะคลายแม็กซ์ อย่างไร   

2

แค่เริ่มเรื่องก็ดรามา แสดงถึงความโศกเศร้าของครอบครัวที่สูญเสียคนรัก  เรียกได้ว่าจนไม่เป็นอันจะกินจะนอน  อิทธิพลของความรักนั้นบันดาลให้เราทำได้หลายอย่างแม้กระทั่ง ความต้องการตอบสนองทางใจ  ยังคิดว่า “คนที่จากไป” จะหวนกลับมาสักวันจงได้

คุณนก สินจัย และคุณกบ นักแสดงรุ่นเดอะ ที่ฝีมือไม่เคยตก ซีนอารมณ์นี้กินขาด เริ่ดได้โล่ห์ฮ่ะพี่นก  ส่วนพี่กบใช่ย่อยไม่ทิ้งกันจริงๆ   นอกจากรุ่นเดอะแล้วก็ตามสมทบด้วยนักแสดงรุ่นกลางอย่าง พลอย  เฌอมาลย์ก็เล่นได้เนียน  และตัวชูโรงนำเรื่องคือสองหนุ่มน้อยหน้าใส วัยเยาว์ ที่รับบทโต้งกับมิว  แม้จะดูขัดๆ ในตอนเริ่มต้น แต่พอดูไปเรื่อยทั้งสองคนสามารถตีบทของตัวเองได้ดีเล่นได้เป็นธรรมชาติสามารถเห็นฝีมืออย่างพัฒนาในเรื่องได้เลย   

มีฉาก “จูบสะท้านฟ้า โลกาสั่นสะเทือน”  เรียกเสียงกรี๊ดดดดดดดด จากชะนีโดยไม่ได้นัดหมาย  และเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระฉ่อน บอกแล้วเรื่องเกย์ๆ เดี๋ยวนี้มักจะโดนสังคมพิพากษา ตัดสิน ส่วนนักแสดงสาวที่รับบทหญิง ที่ดูงุ้งงิ้งแอ๊บแบ๊ว น่าประทับใจวัยใส วัยทีน รุ่นหลานเชียว   

ฉากที่ทำให้เราเห็นถึงกิจกรรมในโรงเรียน ขาสั้นคอซอง  แม้จะผ่านมาร่วมสิบกว่าปี ยังคงประทับใจ ในความรู้สึก “ช่วงหนึ่งของวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ” ผู้กำกับถ่ายทอดได้ดีหลาย ๆ ฉากไม่ว่าจะเป็นฉากเด็กใส่ชุดพละนั่งเรียนด้านล่างตึก โดยมีครูเรียกนักเรียนออกมาสาธิต   ฉากเด็กผู้ชายแกล้งน้องมิววัยเด็กในห้องน้ำ  (ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง  “แฟนฉัน” เอาซะมากและอยากกลับไปเป็นนักเรียนเหมือนเดิม) ฉากซ้อมดนตรี มีบทสนทนาเรียกได้ว่า แบบเด็กแนวเค้าล่ะ  “หยาม อะเพ่”   

3

เอาล่ะฮ่ะ กลับเข้ามาที่ประเด็นอันเกี่ยวข้องของชาวเรากัน เนื้อเรื่องของหนังหากจะบอกว่าเป็น “Love Actually เวอร์ชั่นไทย” ก็คงไปเพี้ยนไปมาก ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักอันมีมากมายหลายคู่  หากแต่เรื่องนี้มีตัวเอกสองคนที่มีความรักแบบชายรักชายมาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง(แบบธรรมดาพี่เดี่ยวไม่ นี่หละใช่เลย ให้สังคมได้มีเรื่องเม้าท์แตก และแฝงอยู่ในความเป็นจริงค๊า)  มันก็เลยถูกมองว่าเป็นหนังเกย์แบบช่วยไม่ได้   ส่วนตัวแล้วขอยกนิ้วปรบมือ พนมวันทา คารวะให้พี่มะเดี่ยวและทีมงานช่างกล้า  ที่กล้าทำหนังที่แตกต่างอย่างเป็นตัวของตัวเองแบบนี้  โดยไม่สนใจต่อคำตัดสินและข้อหา ครหา ประชาวิจารณ์เกย์ในสังคมไทย

ฉาก  “จูบใครคิดว่าไม่สำคัญแต่ถ้าคุณจูบฉันทำเอา คนดู ผู้ปกครอง น้องนี (หญิงจริง) สั่นสะท้านทั่วสยามประเทศ”  บ้างก็นั่งตีลังกา ปูเสื่อต่อต้านว่าแรงเกินรับได้  นั่นเค้าเป็นเด็กนักเรียน  แล้วจะทำให้เด็กที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของผู้ปกครองจะเคลิ้มตาม  หรือชักนำในทางที่ผิดหรือเปล่า (เสียงของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย)  ส่วนบางคนก็บอกว่า  “เกิดฮ่า”  ถ้าไม่มีฉากนี้แล้ว จะทำให้ สุนีย์ กล้าที่จะไปเรียกมิวมาคุยได้เยี่ยงไรลือ  ดีที่ไม่เป็นฉากเลิฟซีนอินดอร์  นอกดอร์ (indoor – outdoor sex) หากเป็นเช่นนั้น กระทรวงวัฒนธรรมคงหาได้ให้ผ่านไม่  (เช่นเคย)  แต่ฉากนี้หละที่สีหน้าของสุนีย์ตอนเห็นภาพนั้น อึ้งเหน็บหนาว ชา ไปทั้งตัวและหัวใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึง มันสะท้อนถึงคนที่ใจสลาย  ชาน่าเข้าใจ (อย่างดีค่ะ) ถึงได้ไม่ยอมบอกทางบ้านให้รับรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของชาน่า คือใคร  เห็นแล้วก็เข้าใจถึงความรู้สึกพ่อและแม่  จนขนลุกซู่ อินสุด ๆ โดนอย่างแรงเลยเจ้า       

ส่วนตัวแล้ว  ความรักที่ขาดหายไป หรือความต้องการทางจิตหวั่นไหว เริ่มไขว้เขวของโต้ง กับมิว เด็กชายโรงเรียนมัธยมชายล้วน  บวกกับชีวิตทางครอบครัวที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม  ชาน่าว่ามีส่วนเกี่ยวกันได้เชียวหละค่ะ  

ความรับผิดชอบต่อสังคม (ไทย)  ชาน่าว่า  “ชายไทย” คนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คงไม่ได้รับเชื้อเกย์สายพันธุ์ใหม่   ชนิดที่ออกจากโรงแล้ว แพร่ระบาด  “แต๋ว  เกย์ นะฮ๊ะ ติดโรคแล้วย่ะ”  เพราะคนจะเป็นยังไงก็เป็น คนไม่เป็นยังไงก็ไม่เป็นนอกจากจะอยากลองของ หลายคนคงพอจะทราบว่า  เกย์  แอบ แบบไทย ๆ ก็มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หรือแม้แต่ สมัยกรีก กี่พันๆ ปีมาแล้วก็ยังมีหลักฐานมากมายหลงเหลือไว้ให้เห็นหากจะยอมรับและเปิดใจให้กว้างที่จะมองคนอื่นบ้าง   ถ้ามีเวลาว่างก็มองคนในครอบครัวก่อนละกัน  คนบางคนหัวโบ และแอนตี้สุดๆ ถึงขนาด ดูถูก เหยียดหยาม  ระวังบาปกรรมจะตกกับคนใกล้ตัวนะเจ้าค่ะ       

ชาน่าอยากฝากถึงน้องๆ ชายไทยวัยทีนทั้งหลายว่า  หากจะลองรัก ลองเป็น หรือหวั่นไหว  หรืออยากกลับใจไปเป็นชายแม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ถ้าคนเรามีทางเลือกได้ก็ขอให้น้อง ๆ เลือกทำในสิ่งที่ดี เหมือนกับการเลือกทางเดินของชีวิต  กากบาทข้อที่ถูกต้องที่สุดนะน้อง  ถ้ากลับใจไปเป็นชายได้ยินดียิ่ง หากมันฝืนหรือทำให้เป็นทุกข์ ทรมาน ชีวิตมันแสนสั้นจะเลือกทำตามใจต้องการขอให้เป็นคนดี มีศีลก็สุดแล้วแต่ใจจะไขว่คว้า  พูดยากค่ะ

ลองฟังเสียงของคนที่ชอบหนังเรื่องนี้กันค่ะ  

“ประทับใจจอร์จ  ไม่เคยคิดว่า จะซึ้งจนน้ำตาเกือบไหลกับตัวเอกที่เป็นเกย์สองคน”

ดูเรื่องนี้จบแล้วย้อนมองวิถีและทางเลือกของตัวเอง มันใช่เลย กับความรู้สึกเหงา เศร้า อิ่ม อบอุ่น ซึ้ง มีความสุข จนแยกไม่ออก”

“ตอนจบของเรื่องถึงจะเศร้าแต่เดี๊ยนว่า มันก็จบแบบไทยดีนะ ซึ่งสะท้อนว่า สังคมเราอาจจะยังไม่ยอมรับการคบกันแบบเปิดเผยของชายรักชาย   กลุ่มรักร่วมเพศ ไม้ป่าเดียวกันยังถูกประชาฟันธง พิพากษา ว่าคนนอกรีต  จิตเบี่ยงเบน  ชนกลุ่มน้อย”

“รักและชอบหนังเรื่องนี้จริงๆ ในรอบหลายสิบปีที่ดูหนังไทย  แม้ตัวเองจะเป็นหญิงจริง  แต่เพื่อนที่เป็นชายก็คิดว่า  คนส่วนมากที่ชอบเป็นเกย์หรือเปล่า”

ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง แน่นอนค่ะ ว่าหนังเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับใครหลายคน  ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง  เพื่อนหญิงจริงที่รักชาย  ชายรักชาย  พี่รักน้อง น้องรักพี่ เพื่อนรักเพื่อน นี่ล่ะหนังไทยดรามา ที่แม้หนังจะจบแล้วแต่คนดู ยังไม่จบ เคยมั้ยคะ ที่พอหนังจบแล้วต้องกลับไปม้วนหน้าตีลังกา ครุ่นคิด สามวันเจ็ดวันว่า  มันเกี่ยวข้องกับตัวเองและตัวละครอย่างไร  เก็บเอาสิ่งที่ได้สาระแก่นสาร มาปรับให้เข้ากับชีวิตในโลกของความเป็นจริงให้มากที่สุด หรือแม้แต่จะดูเพื่อความบันเทิงแต่แฝงไว้ด้วยแง่คิดมากมายหลากหลาย  เหมือนดังตอนฉากสุดท้ายที่คอนเสิร์ต หลังจากหญิงปล่อยมือโต้งให้เดินจากไปหามิว หญิงกลับมาที่ลานจอดรถพร้อมกับร้องไห้และบอกเพื่อนโต้งที่ถามหาโต้งว่า “โต้งกลับบ้านไปแล้ว"

แต่เพื่อนโต้งอีกคนบอกว่า "โต้งไปหาซานตาคลอสต่างหาก"
ถ้าหากมิว คือซานตาคลอส ของโต้ง ย่อมเท่ากับโต้งไปหามิวอาจจะไม่ใช่วันนี้ หรือจะเป็นวันหน้า    อนาคตของเด็กสองคนนี้จะเป็นเช่นไร   ตัวละครยังคงดำเนินต่อไป และมีชีวิตอยู่ในสังคมไทย   ใน “สยาม”  โดยที่ไม่มีใครรู้นอกจาก ตัวตนที่แท้จริงของเค้าเองเท่านั้นค่ะ

ใครคิดเห็นเช่นไรบอกกล่าวกันได้   เพราะเมืองไทย สยามเมืองยิ้มสุดแสนเสรี  

ด้วยรักและห่วงสยาม  
ชาน่า ทักทายจากประเทศอเมริกา รัฐฟลอริด้า  (กลับมาทำงานต่ออีกแล้วของชีวิตนางแบก)

Pages

Subscribe to LGBT