praejaru's picture

<p><strong>ชีวิตนี้สวยงาม</strong></p> <p>คำถามว่า ชีวิตยังจะสวยงามอีกไหม <br /> <br /> คำตอบก็คือ เราก็อาจจะต้องยืนยันว่า เราจะพยายามให้มีชีวิตที่สวยงาม การลุกขึ้นคัดค้าน การลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมของมนุษย์คือการมีชีวิตที่สวยงามของเขา ยิ่งมิได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ทำเพื่อส่วนรวม<br /> นั่นคือการมีชีวิตที่สวยงามยิ่ง</p> <div id=":135"> <div>การมีชีวิตที่สวยงามอาจจะไม่ใช่<wbr></wbr>ชีวิตที่เป็นสุข แต่ชีวิตที่ได้ทุกข์ร่วมกันก็ถื<wbr></wbr>อว่าสวยงามแล้ว</div> </div> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>แพร จารุ</strong></p> <p>นาม &ldquo;แพร จารุ&rdquo; หลายคนคงคุ้นเคยกันดี นักเขียนหญิงที่มุ่งมั่นกับงานเขียนมานานนับ 20 ปี เธอเป็นชาวปักษ์ใต้ แต่มาหลงใหลมนต์เสน่ห์ของเมืองเหนือ และเขียนหนังสือได้ทุกแนว ทั้งข่าว บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมเยาวชน</p> <p>ยังจำได้ นวนิยาย &ldquo;แผ่นหลังพ่อ&rdquo; ของเธอได้รับรางวัลชมเชย จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ปี 2534 และปีนี้ (2548) เธอมี &ldquo;คนรักและหินหอย&rdquo; รวมเรื่องสั้นล่าสุดออกมาให้หลายคนได้เสพอรรถรสกัน และ &ldquo;ชีวิตนี้สวยงาม&rdquo; ก็เป็นหนึ่งคอลัมน์ที่เธอตั้งใจนำมากำนัลแด่ผู้อ่านประชาไท</p>

บล็อกของ praejaru

บ้านเล็กในอุทยาน

20080214 ป้ายป่าชุมชนบ้างแม่เหียะใน

เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน

หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร

แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน
“ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก
“อือ...แสดงว่าท่านเข้าใจ” ฉันแสดงความคิดเห็น
ฉันคิดว่าเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและชาวบ้าน

เมืองไทยเราเรื่องพื้นที่อุทยานกับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานมีปัญหาจริง ๆ เคยคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พวกเขาบอกว่า พวกเขารับหน้าที่ในการดูแลป่า ดูแลพื้นที่ป่าภายใต้กฎหมาย เขาต้องรักษาป่าไว้ให้มากที่สุด

แต่ในเมืองไทยเรานั้น มีผู้คนอาศัยอยู่ในป่ามากมาย หรือเรียกว่าทุกแห่งนั่นแหละ ข้อหนึ่งที่ถกเถียงกันอยู่เสมอคือ ชาวบ้านบอกว่ามาอยู่ก่อนที่อุทยานจะประกาศพื้นที่  การพิสูจน์การเข้ามาอยู่ก่อนหลังจึงเป็นข้อเสนอหนึ่ง แต่ดูเหมือนกับว่าการพิสูจน์แบบนี้ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นไม่ว่าจะมาก่อนหรือหลัง ส่วนใหญ่เขาก็ไม่อยากย้ายออกจากบ้านที่เคยอยู่  หรือถ้าย้ายก็ต้องเป็นที่ซึ่งทำมาหากินได้  ปลูกผักปลูกข้าวได้ หรือหาของป่า เท่าที่ฉันไปเที่ยวดูจากที่ต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ของชนเผ่า ในพื้นที่อุทยานและไม่ใช่คนชนเผ่า พวกเขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นป่าใช้สอยพื้นที่ทำกิน ป่าอนุรักษ์  ถ้าเป็นชนเผ่าก็มีป่าที่ใช้สำหรับพิธีกรรมด้วย เท่าที่รู้ป่าพิธีกรรมเขาจะไม่ตัดไม้อยู่แล้ว และได้ไปดูพื้นที่ที่ถูกย้ายออกมา และกำลังจะถูกย้าย ที่ถูกย้ายออกมานั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องที่ทำกิน คือที่ซึ่งย้ายออกมาทำกินไม่ได้ แห้งแล้ง มีที่เพียงนิดเดียว ที่ซึ่งฉันไปดูมาชื่อบ้านลีซูหัวน้ำ แม่อาย อันนี้ย้ายลงมารวมกันข้างล้างและมีปัญหาไม่มีที่ทำกิน อดอยาก  กับอีกแห่งหนึ่งที่ไปดูมา คือบ้านนาอ่อน ช่วงที่ไปนั้นพวกเขากำลังจะถูกย้าย แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี ทั้งสองแห่งเป็นที่อยู่ของชนเผ่า

ส่วนที่บ้านแม่เหียะในนั้น ก็เหมือนกัน อยู่ในพื้นที่อุทยานเหมือนกัน แต่ต่างที่ไม่ใช่ชนเผ่าไม่ใช่ชาวเขา และพื้นที่ป่าบ้านแม่เหียะเป็นพื้นที่ใกล้เมืองมาก ๆ หรือเรียกว่าผืนป่าที่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มากที่สุด  

ที่บ้านแม่เหียะในมันเป็นหลายเรื่องหลายกรณีมาก ๆ  มีจำนวนมากที่เป็นคนเก่าแก่ดั้งเดิมคืออยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่มีอยู่จำนวนหนึ่งมาอยู่ใหม่ และบางคนถูกหลอกมา เขาหลอกว่าไม่นานก็จะได้เอกสารสิทธิ์หรือว่าไม่มีใครเขามาไล่หรอก อยู่ไปเถอะ อย่างนี้เป็นต้น

ยังมีปัญหาเรื่องขายที่ดินซ้ำซ้อน ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ขาย คือขายคนหนึ่งแล้วไปขายอีกคนหนึ่ง เพราะการซื้อขายไม่มีหลักฐานใด ๆ ซื้อขายแบบไปชี้ ๆ เอามา  ดังนั้นเมื่อมีเรื่องราวก็ไปฟ้องร้องเอาผิดกันไม่ได้  นอกจากฟ้องร้องฉ้อโกงกันเท่านั้น

20080214 ภาพถนน มีต้อไม้เต็มสองข้างทาง

เห็นไหมเมื่อเข้าไปดูรายละเอียดมันมีเรื่องมากมาย และคนแบบนี้แหละที่ทำให้ส่วนรวมเสีย การที่จะต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐในที่อยู่อาศัยก็ยากขึ้น หรือไม่สามารถทำได้

การจัดการป่าในเมืองไทยเป็นเรื่องยากมากจริง ๆ จัดการตามหลักกฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ได้ ครั้งจะเรียกร้องให้คนดูแลป่า ก็ต้องมาดูรายละเอียดกันว่า คนของเราหรือประชาชนเราพร้อมหรือยัง

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เธอมีเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดี ทำงานอย่างตั้งใจ เรียกว่ามือสะอาด เขาบอกว่า ชาวบ้านยังไม่พร้อม

แต่ก็มีบางแห่งที่พร้อม ดังนั้นก็ต้องพิจารณาเป็นกรณี  ๆ อย่างเช่นบางชุมชนชาวบ้านเข้มแข็ง จัดการป่าได้จริง เขามีกฎระเบียบของหมู่บ้าน และพิสูจน์แล้วว่า ทำได้อยู่ได้อย่างยาวนาน อย่างน้อยก็ห้าปีสิบปี ของจริงของปลอมมันพิสูจน์กันได้ และหากว่า ต่อไปไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ได้ก็เพิกถอนสิทธิ์ได้ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิทธิในการซื้อขายคงจะไม่ได้ แต่มีสิทธิในการครอบครองชั่วลูกหลาน เป็นมรดกตกทอดได้ เพราะเมื่อสิทธิในการซื้อขายเกิดขึ้น ทันทีที่กลุ่มทุนเข้าไป วอดวายแน่ โครงการยักษ์ใหญ่นี่แหละน่ากลัวมาก  เพื่อนบอกอย่างนี้

ส่วนที่บ้านแม่เหียะนั้น จากการพูดคุยกับชาวบ้าน เขาบอกว่า “พื้นที่อุทยานดอยสุเทพนั้น ไนท์ซาฟารีเอาพื้นที่ไปใช้เท่าไหร่ พืชสวนโลกเอาไปเท่าไหร่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอาไปใช้เท่าไหร่ รวมแล้วส่วนอื่นขอใช้พื้นที่ได้นับพันนับหมื่นไร่ ชาวบ้านทั้งที่อยู่ก่อนและอยู่ใหม่ขอใช้พื้นที่อยู่อาศัยไม่ได้หรือ  ทำไมมารังเกียจชาวบ้าน ถ้าจะจัดการก็ต้องจัดการให้เหมือนกัน ดูเถอะในพื้นที่เดียวกัน ส่วนอื่นมีไฟฟ้าใช้ แต่ส่วนของชาวบ้านไม่มี พื้นที่ใกล้ ๆ อย่างไนท์ซาฟารีก็มีไฟฟ้าใช้ ส่วนที่มหาวิทยาลัยก็มีไฟฟ้าใช้”  เออ...ก็จริงของเขาเหมือนกัน
 
บ้านแม่เหียะในเป็นหมู่บ้านลับตาจริง ๆ หากว่าไม่มีโครงการพืชสวนโลกกับไนท์ซาฟารี บ้านแม่เหียะในก็ไม่ได้ถูกเปิดตัวขึ้นมาแน่นอน

ฉันรู้จักบ้านแม่เหียะในครั้งแรก จากโครงการอุทยานช้าง ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการไนซาฟารี ฉันเข้าไปเพราะถูกชวนไปปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ต่อมามีการคัดค้านอุทยานช้าง ชาวบ้านในพื้นที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งที่เห็นด้วยอยากได้อุทยานช้าง เพราะเชื่อว่าหากมีอุทยานช้างเข้ามาพวกเขาจะได้ทำมาค้าขายกับนักท่องเที่ยว และความเจริญต่าง ๆที่เข้ามา แต่บางคนบางกลุ่มก็กลัวว่า จะไม่ได้ใช้ประโยชน์กับการท่องเที่ยวจริง อาจจะมีการประมูลมาจากข้างนอก และไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะถูกย้ายออกจาพื้นที่หรือไม่เมื่อมีโครงการใหญ่ใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลัวเรื่องขี้ช้างจำนวนมากที่อาจจะทำให้อากาศเสีย หรือน้ำเสีย  

ตอนนี้โครงการนี้หยุดลง แต่ไม่แน่ว่าจะกลับมาในรัฐบาลชุดใหม่ ยุคนายสมัคร สุนทรเวชหรือไม่ และชาวบ้านต้องการโครงการเหล่านั้นจริงหรือไม่ 

เป็นผู้หญิงธรรมดา

ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน

ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า

ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน

ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน  ป้ายิ้มทุกวันและแกก็ไม่มีเรื่องตำหนิใคร ๆ ไม่มีเรื่องร้าย ๆ ออกมาจากป้าให้ได้ยินเลย

“ไปกินข้าวกินปลา” ป้าจะพูดคำนี้เสมอเมื่อมีหลาน ๆ มาถึงบ้าน  กินข้าวกินปลาจริง ๆ เพราะอาหารหลัก ๆ คือข้าวกับปลา ที่เด็ดสุดของคือแกงส้มปลา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีฉันก็ยังรู้สึกว่า ไม่มีแกงส้มที่ไหนอร่อยเท่าบ้านป้า แกงส้มป้าจะเปรี้ยวจัด  ป้าใช้มะนาวแกงส้ม  น้ำแกงส้มของป้าเป็นน้ำใส  หลายปีที่ฉันพยายามจะแกงส้มให้เหมือนของป้าแต่ไม่เคยทำได้  ไม่เปรี้ยวเผ็ดแบบพอดีเหมือนของป้า

บ้านหลังแรกของป้าอยู่ในสวน บ้านป้ามีของกินมากมาย แต่ที่ฉันชอบที่สุดคือละมุดลูกเล็ก ๆ  ป้าปลูกละมุดไว้หลายต้น นอกจากละมุดก็จะมีฝรั่ง และของกินอีกมากมายไว้ให้หลาน ๆ กิน พวกเราจะสุขสบายและอิ่ม เรียกว่าไม่เคยเลยสักวันที่ไปแล้วหิวกลับมา 

ป้าไม่มีลูกสักคน แต่ถึงแม้จะไม่มีลูกแต่ป้าได้เป็นแม่  เพราะป้าเลี้ยงหลานเป็นลูกอยู่สองสามคน ฉันคิดว่าป้ามีความเป็นแม่ครบถ้วน หลาน ๆ วิ่งไปหาป้าได้เสมอ

เรื่องราวของป้าในวัยเยาว์ ฉันรู้จากแม่เพียงเล็กน้อย แม่เล่าว่า ป้าเป็นพี่สาวคนโตแต่เป็นคนละพ่อกับแม่ เพราะพ่อของป้าซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงในสมัยนั้นเทียบเท่ากับผู้พิพากษาในสมัยนี้ ได้เสียชีวิตไปทิ้งลูกสาวเล็ก ๆ กับแม่เอาไว้ ต่อมาแม่ของป้ามีสามีใหม่และมีลูกสาวอีกสามคน หนึ่งในสามนั้นคือแม่ของฉันคนหนึ่ง

ป้าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอมบาง ฉันไม่ได้เห็นตอนที่ป้าเป็นสาว แต่คิดว่าคงจะสวย เพราะลูกสาวบ้านนั้นสวย ๆ ทั้งสี่คน แต่ที่สวยที่สุดคือแม่ของฉัน

สิ่งที่ฉันเห็นตั้งแต่เด็กคือ พวกเขารักกันมากจริง ๆ และเขาก็บอกให้เรารักและนับถือกัน ใครเป็นลูกผู้พี่ก็จะต้องนับถือลูกผู้น้อง ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก เช่นลูกของน้าที่โตเป็นหนุ่มจะต้องเรียกฉันว่าพี่  ฉันจึงมีน้องเป็นครูสอนฉันในช่วงที่เรียนชั้นประถม

พวกแม่ทั้งสี่มีที่นาอยู่แปลงหนึ่ง เป็นมรดกตกทอดมา ที่นาแปลงนั้นสำหรับปลูกข้าวเป็นของส่วนรวม ข้าวจะถูกเอามาเก็บไว้ที่บ้านเราและพี่น้องทั้งสี่รวมทั้งลูกหลานก็มาเอาข้าวไปกิน ฉันไม่เคยเห็นทั้งสี่พี่น้องมีปัญหาทะเลาะกันเลย พวกเขาจะพูดกันดีมาก ป้าซึ่งเป็นพี่สาวคนโตจะเรียกน้อง ๆ ของแกว่าน้องทุกคำ พวกน้อง ๆ ก็เรียกแกว่า สาว (หมายถึงพี่)

แม่จึงไม่ต้องบอกให้พวกเราพี่น้องรักกัน
ป้าเลี้ยงน้อง ๆ ของแก และเลี้ยงหลานต่อ หลานๆ ที่มาอยู่กับป้าเรียกแกว่าแม่ หลานบางคนมีลูกก็ให้ลูกมาอยู่กับป้าต่ออีก
ป้าเป็นผู้หญิงที่น่ากอดมาก น้องสาวของฉันชอบกอดป้า แต่ฉันชอบจับมือป้าเล่นดึงหนังเหี่ยว ๆ ที่หลังมือ ป้าจะหัวเราะและว่าหนังเหี่ยวหมดแล้ว

ฉันชอบแกล้งอำป้าเล่น ฉันรู้ว่าป้าชอบให้ของน้องสาวคนเล็ก เพราะแกรักเป็นพิเศษในบรรดาลูก ๆ ของแม่ 

วันหนึ่งฉันแกล้งพูดว่า วันนี้ป้าให้ทองน้องสาวด้วยนี่
แกรีบพูดว่า บอกมันแล้วว่าอย่าบอกใคร ไปบอกคนอื่นทำไม
พวกเราก็หัวเราะฮากันเพราะน้องสาวไม่ได้บอกใครเลย แกโดนหลอก

วันหนึ่งป้านั่งหัวสั่นอยู่คนเดียวที่ร้านนั่งประจำของแก ช่วงนี้แกไปไหนไม่ไหวแล้ว ได้แต่นั่ง ๆ อยู่ที่บ้าน ธรรมดาป้าจะไปวัดทุกวันพระ

ฉันถามแกว่า ป้านั่งสั่นทำไม
แกตอบว่า “มันโกรธ” คือแกโกรธอะไรสักอย่างหนึ่ง คงนาน ๆ ถึงจะโกรธครั้ง ฉันไม่ได้ถามแกว่าโกรธอะไรโกรธใคร แต่ถามว่านั่งสั่นทำไม
แกว่ามันโกรธแล้วหัวสั่น
“อ้าว โกรธแล้วนั่งสั่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครเขาสั่นด้วย”
ป้าหัวเราะแล้วว่าเอ้อ...แล้วก็หยุดสั่น
   
ชีวิตช่วงสุดท้ายของป้า ในช่วงชีวิตใกล้จะครบร้อย แม่ซึ่งเป็นน้องสาวที่เหลืออยู่คนเดียวและสูงวัยแล้วเช่นกัน ได้ดูแลป้าอย่างดี จนทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจว่า ฉันมีน้องสาวและเธอคงจะดูแลฉันดีด้วยยามแก่เฒ่า นั้นหมายถึงว่าถ้าฉันจำเป็นจะต้องมีชีวิตยืนยาวเช่นป้าเพราะฉันไม่มีลูกเหมือนป้า

ช่วงหนึ่งแม่ไปรับป้ามาอยู่ด้วย อยู่บ้านเดียวกัน จะได้ไม่ต้องไปรับไปส่ง แต่ป้าก็อยู่ไม่ได้คิดถึงบ้านตัวเอง แม่จึงต้องไปนอนเป็นเพื่อนป้าอยู่เรื่อย ๆ แกไปแบบไม่กลัวเหนื่อย ไปทำอาหารที่ป้าชอบ ไปป้อนข้าว ป้อนนม

วันหนึ่งฉันได้ยินแกพูดว่า คิดถึงน้อง ฉันเห็นคนแก่สองคนพี่น้องกอดกัน
แม่กับป้าเริ่มรู้จักโทรศัพท์ไม่นาน สองคนพี่น้องจำเบอร์โทรของกันได้ โทรหากันทุกวัน

พวกเราหลาน ๆ ใกล้ชิดกับป้า เพราะหน้าที่หนึ่งของพวกเรา ไม่ว่าจะอยู่ไกลถึงไหน ทุกครั้งที่กลับบ้านสิ่งที่ต้องทำคือไปหาป้า แม่จะเตือนให้ไปหาป้าก่อนเสมอ หรือไม่ก็ต้องไปหาป้าก่อนกลับ
   
ป้าเป็นคนน่ารักจนวันสุดท้าย ฉันไปเยี่ยมป้าครั้งสุดท้าย ป้านอนอย่างเดียวแล้ว และป้าก็จำใครไม่ค่อยได้แล้ว โดยเฉพาะฉันซึ่งอยู่ไกลจากป้ามาก แต่สิ่งที่ป้าไม่ลืมคือ เรียกให้หลานกินข้าว

ป้าบอกให้ฉันไปหาข้าวกิน ไปกินข้าวกินปลา ขนมมีก็หากิน
เหลนของป้าที่อยู่กับป้าบอกว่า ใครมาแกก็เรียกให้กินข้าว
ฉันแกล้งบอกป้าว่า ไม่มีข้าวกิน
ดูเถอะหลานอย่างฉัน ถึงขั้นนี้แล้วยังแกล้งป้าได้

ป้าทำเสียงดังขึ้นมานิดหนึ่ง และว่าให้ไปซื้อมาสักบาท ฉันคิดว่าบาทของป้าตอนนั้น คงเป็นค่าของเงินสมัยที่ป้าเป็นสาว เหลนบอกว่าช่วงหลัง ๆ ป้าจะพูดถึงคนที่มีแต่ชื่อแล้วทั้งนั้น และเรียกหาพ่อหาแม่ด้วย บางช่วงแกคืนสู่วัยเยาว์

ชีวิตคืนสู่วัยเยาว์จริง ๆ ยามเช้าเหลนที่อยู่ด้วยจะอุ้มไปเข้าห้องน้ำ แล้วอุ้มกลับมานอน ป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดตัว ทาแป้ง 
แกนอนอย่างสงบ นอนนิ่ง ๆ ไม่โวยวายเสียงดัง พูดจาดี
ฉันคิดว่าคนแก่ที่หลงลืมอย่างป้า แต่ยังพูดจาดี เป็นห่วงคนอื่น กลัวว่ายังไม่ได้กินข้าว ป้าคงมีหัวใจที่ดีมาก นี่แหละที่ว่างามอยู่ข้างในจริง ๆ 

ป้ามีบุญหรือเรียกว่าบุญที่แกทำเอาไว้  หรืออยู่เพื่อให้คนอื่นได้ทำความดี หลาน ๆ ที่ป้าเลี้ยงดูเหมือนลูก ยังมาดูแลป้าอยู่เสมอ  แกไม่เคยถูกทอดทิ้ง แม้ว่าพวกเขาจะไปทำงานไกล บางคนให้เงินเดือนป้าด้วย และยังมีรุ่นเหลน ช่วงหลังป้าอยู่กับเหลนและเหลนของแกก็มีลูกเล็ก ๆ วันน่ารักอยู่กับแกด้วย นับว่าชีวิตแกไม่เคยขาดเด็ก แกจึงไม่โดดเดี่ยวเลย

ป้านอนอยู่ยาวนาน แล้วยามเช้าวันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ป้าจะเดินทางอีกครั้ง แกหลับสนิทในยามเช้า เหลนคนหนึ่งของป้าส่งข่าวมาบอก

แม้ว่าจะรู้สึกว่า ควรจะถึงเวลาของป้าแล้ว หรือป้านอนนานเกินไปแล้ว ไปเถอะป้า แต่หัวใจโหวงเหวงเหลือเกิน เมื่อคิดถึงมือเหี่ยว ๆ ที่ยอมให้หลานอย่างฉันดึงหลังมือเล่น

ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ป้าเลย ฉันเป็นนักเขียน อาชีพที่ป้าไม่รู้จัก ครั้งหนึ่งป้าถามฉันว่าทำงานอะไร ฉันบอกป้าว่าเขียนหนังสือ  ป้าถามอย่างงง ๆ ว่า ยังเรียนหนังสืออยู่หรือ ฉันไม่ได้อธิบายให้ป้าฟังและคิดว่า ป้าเข้าใจไม่ผิดหรอกเพราะฉันยังเรียนอยู่จริง ๆ การอ่านการเขียนก็คือการเรียน

“เขียนหนังสือ” ป้ามีหลานเป็นคนเขียนหนังสือ และนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ คือเขียนถึงป้า เขียนถึงผู้หญิงธรรมดาของหลานที่ดียิ่ง
   

แลไปข้างหลังเถอะหลาน

ภาพประกอบแลไปข้างหลังเถอะหลาน

“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”
ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้

หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยการกระทำของพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่พยายามแบ่งแยกประชาชนอย่างแท้จริง

ปีนี้ลุงอายุเจ็ดสิบแปด ลุงสนใจร่วมกิจกรรมด้านสังคมอยู่ตลอดเวลาว่า  ฉันถามลุงว่าต่อจากนี้ไป ลุงจะทำอะไรต่อไป ลุงคิดอย่างไร
ลุงส่ายหน้า ก่อนจะตอบว่า อยู่เฉย ๆ
มีหลายคนตอบว่าจะอยู่เฉย ๆ บางคนถึงขั้นว่า ไม่ทำกิจกรรมใด ๆ อีกแล้ว โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเมือง ลุงคิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ

วันนี้ลุงไม่พูด แต่เอารูปตัวเองเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยใกล้สี่สิบขึ้นมาให้ดู และบอกว่า เป็นช่วงที่ลุงได้เล่นละครเป็นพระเอก
ฉันไม่เคยเห็นรูปของลุงเลย  และไม่เคยรู้เรื่องราวแต่หนหลังของลุง เพราะมัวแต่ชวนคุยเรื่องที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา

หลังปีใหม่...อยู่แบบรมควันหอมกรุ่นเจ้า

1 

ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ

ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลง

ฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า

 

อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะครอบครัวเราผ่านความยากจนมาจนเคยชินแล้ว จนเรามีความยากจนเป็นสมบัติของเราแล้ว

หรือเป็นเพราะสภาพทั่วไปของสังคม เราอยู่ในสังคมที่น่ากลัว โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดตั้งแต่ช่วงมีขบวนการขับไล่ผู้นำรัฐบาลชุดเก่า ไปจนถึงทหารยึดอำนาจสู่รัฐบาลทหาร และมาถึงวันเลือกตั้งใหม่ สองพรรคการเมืองใหญ่ที่แบ่งแยกประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเพิ่มบรรยากาศการขัดแย้งชัดเจน

ความขัดแย้งตั้งแต่ระดับ บุคคลไปจนถึงชุมชน จังหวัด และระดับภาค เช่น กลุ่มภาคเหนือ กลุ่มภาคใต้ กลุ่มภาคอีสาน

แรกฉันคิดว่าปีนี้ คงจะอยู่เงียบ ๆ อยู่กับบ้าน นั่งอ่านเขียนหนังสือแต่หาได้ทำเช่นนั้นเลย นอกจากมีงานเลี้ยงตั้งแต่ปลายเดือนแล้ว ยังมีญาติ มีเพื่อน ๆ หลาน ๆ เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเหนืออีกหลายกลุ่ม ซึ่งต้องออกไปกินข้าวในเมืองบ้าง รอรับที่บ้านบ้าง

รอรับหลานที่บ้านสองชุดสองวัน หลานชุดแรกกลับไปแล้วก่อนหน้านี้สองวัน เธอมากันสามคน ท่องเที่ยวแถว "ปาย" และแวะมาค้างหนึ่งคืน บ่นกันว่า ผู้คนที่ปายมากเหลือเกิน ค่าที่พักหกร้อยบาท แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และสรุปว่าเหมือนถนนข้าวสารที่กรุงเทพฯ

หลานชุดที่หนึ่งเป็นหลานอา หลานชุดที่สองมาใหม่เป็นหลานน้า ทีมนี้ไปเชียงรายก่อน แล้วค่อยมาเชียงใหม่ มาถึงมุ่งตรงไปที่ดอยอินทนนท์ ฉันไม่ลืมที่จะบอกหลานว่า ให้ไปดูที่สร้างหอดูดาวบนยอดดอยด้วย

เธอกลับมาในช่วงสาย รีบลงมาเพราะกลัวรถติดตอนเย็น พร้อมกับบอกเล่าแบบเดียวกันคือคนเยอะเหลือเกิน รถติดบนดอยด้วย และไม่มีที่พักต้องกางเต๊นท์ติด ๆ กัน ค่ากางเต๊นท์สามร้อยบาทและไม่ได้ดูอะไรเลย ไม่ได้ดูสถานที่สร้างหอดูดาว แต่เธอคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะสร้างอะไรแล้วดูมันแน่นไปหมด

เธอว่าทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย

เธอว่าอย่างนั้นจริง ๆ เธอไม่รู้เรื่องที่ว่าต้องเอาน้ำจากชั้นใต้ดินที่มีอยู่ไม่มากมาใช้ เธอไม่รู้หรอก ว่าที่สูงเช่นนั้นเอาน้ำมาจากลำธารไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้เรื่องนกหรือพืชเฉพาะถิ่น แต่เธอชอบดอยอินทนนท์ เพราะเป็นดอยสูงที่รถขึ้นได้ เธอชอบสองข้างทางที่รถผ่าน เธอว่าการเดินทางมาที่ดอยนี้เหมือนมาเติมพลัง

พวกเธอพากันหัวเราะเมื่อฉันบอกว่า บนดอยสูงที่ไปอยู่กันแน่นจนไม่มีที่นอน มาจากเมืองหลวงและจังหวัดอื่น ๆ ผู้คนพร้อมที่ใช้ที่จะเสพความสุขใจสุขกายจากธรรมชาติ แต่ไม่เหลียวแล และคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือไม่ใช่เรื่องของคนที่อื่น เป็นเรื่องของคนเชียงใหม่ อย่างนี้เห็นทีจะไมได้แล้ว

ธรรมดาเมื่อใคร ๆ มาถึงบ้านเรา (บ้านทุ่งเสี้ยว) เรามีที่นำเที่ยวก็มีอยู่อยู่สองแห่ง ยามเย็นไปเดินในโรงเรียนบ้านทุ่งเสี้ยว เดินออกกำลังกาย หรือเดินดูดอกไม้ ต้นไม้ และดูอาคารศิลาแลง พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า อาคารเรียนหลังนี้อายุเก่าแก่เกือบจะร้อยปีแล้ว หลังจากนั้นก็จะเดินต่อไปตลาดตอนเย็นข้างถนนไปกินโรตีเจ้าอร่อยของพ่อหลานซึ่งเป็นคนอินเดียที่ทำโรตีอร่อยและที่สำคัญคือสะอาดมาก ๆ และใช้ของดีในการปรุง ไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำมัน และอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในการทำโรตี เรียกว่าภูมิใจนำเสนอ

จบรายการยามเย็น ยามเช้ามืด ๆ ก่อนสว่าง พวกเธอและเขาก็จะได้เดินไปเที่ยวตลาดเช้า ที่มีของขายสารพัด แวะดื่มกาแฟแบบดั้งเดิม ยิ่งกว่าโบราณอีก แก้วละสิบบาทกาแฟใส่นมข้นหวาน กินกับข้าวเหนียวสังขยาห่อละห้าบาท หรือจะกินกับขนมครกแบบดั้งเดิม ที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือต้นหอมในน้ำกะทิ คือมีแต่แป้งกับกะทิ และมีน้ำตาลทรายไว้ต่างหาก ห้าบาทเหมือนกัน หรือจะกินข้าวหลามที่ย่างเผาอยู่ตรงนั้นก็ได้

หลังจากนั้นซื้อผักพื้นบ้านไปทำกับข้าว เช่นแกงแค ผัดถั่วงอก มีถั่วงอกอยู่เจ้าหนึ่ง คนชายเป็นผู้ชายเขาเพาะถั่วงอกโดยไม่ใช้สารฟอกขาว ไม่ขาวอวบไม่อ้วน จึงต้องนำเสนอ และ ซื้อดอกไม้ ที่ชาวเขาเอามาขายกำละสิบบาท หลังจากนั้นกลับมาทำกับข้าวกินที่บ้าน กินข้าวนอนเปล อ่านหนังสือ จบ...เรามีที่เที่ยวแค่นี้แหละ...

เพื่อนของหลานบอกว่า มาครั้งนี้ไปมาหลายแห่ง แต่ที่นี่ดีที่สุด ไม่มีคนมาก รู้อย่างนี้มาที่นี่ตั้งแต่วันแรก

หลังจากส่งแขกกลุ่มสุดท้ายกลับไปแล้ว คืนที่ผ่านมาฉันรู้สึกหดหู่เป็นที่สุด และบอกกับตัวเองว่า โชคดีจังที่พวกเขากลับไปหมดแล้ว เพราะแถบบ้านเริ่มมีหมอกควันแล้ว

ยามหัวค่ำเต็มไปด้วยควันไฟฟุ้งกระจายจนแสบตา เริ่มมีการเผา เผา และเผาแล้ว ส่วนหนึ่งเขาเผาเพื่อว่าจะกำจัดไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ในฤดูแล้ง เรียกว่าชิงเผาเสียก่อน และส่วนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสภาพนาข้าวเพื่อปลูกพืชอย่างอื่น และส่วนหนึ่งคือเผาปกติเหมือนเช่นที่เคยเผา เช่นเผาขยะตามบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน หรือวัด ก็กำจัดขยะด้วยการเผา

แน่นอนว่า กลุ่มควันที่เผาไปรวมกับกลุ่มควันต่าง ๆ เช่นท่อไอเสียรถยนต์ที่เข้ามามากมาย กับกลุ่มควันจากโรงงานขนาดเล็กขนาดกลางที่ระจายอยู่ทั่วไป ฟันธงได้เลยว่า ร้อนปีนี้ที่เมืองเหนือ เมืองแอ่งกระทะรับศึกหนัก เป็นเมืองในหมอกควันแน่นอนหากเป็นไปเช่นนี้ และไม่มีมาตรการอะไรออกมาตอนนี้

ต่อไปเด็ก ๆ จะเป็นภูมิแพ้มากขึ้น หรือรับโรคภูมิแพ้เป็นรางวัล เพื่อนที่เป็นพยาบาลบอกว่า ต่อไปมีแนวโน้มว่าจะเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เป็นทารกเลยแหละ ใครไม่มีลูกก็ถือว่าโชคดีไป ดังนั้นคนมีลูกต้องเตรียมพร้อมกันหน่อย ...ขอบอก

ที่บ้านฉันป่ามีไว้กิน

1

ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ

“ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด”

หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้น

4
ธนภูมิ อโศกตระกูล

เขาเล่าว่า

“ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว หลังจากนั้นผมก็ได้ไปเที่ยวที่นั่นบ่อย ๆ และได้รู้จักกับปวีณา พรหมเมตจิต และได้ทำกับข้าวกินกัน มีความประทับใจในบรรยากาศของสถานที่และชีวิตผู้คน ผมเข้าไปบ่อยมาก ๆ

โดยส่วนตัวผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องอาหารอยู่แล้ว และรู้ว่าปวีณา เรียนคหกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ แล้วน้องเขาเป็นคนที่ชอบทำอาหารก็เลยชวนให้น้องรวบรวมสูตรอาหารของหมู่บ้านที่เกิดที่กินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและเขียนขึ้นมา

เราทดลองทำอาหารที่รวบรวมรายชื่อขึ้นมาได้ที่ละอย่างสองอย่าง แม่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในหมู่บ้านพวกป้า ๆ น้า ๆ มาชวนทำช่วยชิมและเล่าเรื่องอาหารต่าง ๆ เช่น กินไปคุยไป ป้าดวนบอกว่า ตำน้ำพริกแล้วไม่ละเอียดก็จะหาผัวไม่ได้ และยังมีเรื่องเล่าในอาหารอีกมากมาย  ดังนั้น นอกจากมีสูตรอาหารแล้วเราพบว่าในอาหารมีเรื่องราวมากมาย ผมได้ช่วยดูแลต้นฉบับน้อง และได้ติดต่อสำนักพิมพ์ แรกคิดว่าจะพิมพ์เป็นหนังสือตำราอาหารธรรมดา แต่เมื่อมาดูต้นฉบับแล้วพบว่า มันออกมาเป็นเชิงสารคดีมากกว่าตำราอาหารธรรมดา


อีกคนหนึ่งที่ชวนน้องทำงานคือ คำ ผกา นักเขียนหญิงคนเชียงใหม่คนหนึ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมอาหารเดียวกับเธอ ได้ช่วยเขียนคำนิยมให้น้อง
เธอเขียนถึงวัฒนธรรมการกินอาหาร ตั้งแต่ปู่ย่าตายายที่กินอยู่ตามธรรมชาติ ทำอาหารจากมือแม่บ้าน จนถึงยุคที่ปัจจุบันที่ผู้คนต้องรู้จักอาหารเสริมกับวิตามิน กระเทียมอักเม็ด สารสกัดจากพืชผักต่าง ๆ รวมทั้งซุปสำเร็จรูป หรือน้ำมันปลาโอเมก้า 3 เป็นต้น และเธอยังเขียนถึงเพื่อนร่วมวัฒนธรรมของเธอที่ทำเป็นไม่รู้จักรังเกียจอาหารบ้าน ๆ เช่น ถั่วเน่า น้ำปู๋ และนำไปสู่ขบวนการที่ทำให้คนท้องถิ่นอ่อนแอ


ปวีณา ไม่เพียงแต่ยืนยันในศักดิ์ศรีและปัญญา เธอยังพยายามจะบอกว่าอาหารไม่ได้มาจากตลาดหรือซุปมาร์เกตและไม่ได้มาจากการเพาะปลูกเท่านั้นแต่เป็นของขวัญของธรรมชาติ
และบอกว่าแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์นี้อาจจะถูกทำลาย เพราะจะถูกแปรเป็นแหล่งท่องเที่ยว  การสูญเสียผืนดิน สูญเสียน้ำ เป็นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

**************

3
คำ ผกา

สำหรับฉัน เคยเข้าหมู่บ้านแม่เหียะสองสามครั้ง ครั้งแรกถูกชวนไปปลูกป่ากับชาวบ้านแม่เหียะใน เป็นการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในปี 2549 ช่วงนั้นดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องเมกะโปรเจ็กที่พ่วงมากับไนท์ซาฟารีคือมีการจะสร้างอุทยานช้างในพื้นที่

บ้านแม่เหียะในเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยซุกตัวอยู่อย่างสงบและเดียวดาย แต่มีผืนป่าที่ดี  เป็นผืนป่าใกล้เมืองจริง ๆ นี่แหละหัวใจของเมืองเชียงใหม่

นั่นคือวันแรกที่ฉันรู้จักบ้านแม่เหียะใน และบ้านหลังหนึ่งที่กำลังปรุงอาหารเพื่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านและแขกที่มาช่วยกันปลูกป่า

ฉันได้พบปวีณา พรหมเมตจิต ผู้นำเสนอสูตรอาหารพื้นบ้าน ของกินจากป่าหลังบ้าน  เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นิ่ง ๆ และพูดน้อย ยิ้มแทนคำพูด

2
ปวีณา  พรหมเมตจิต

ปวีณาอยู่ที่บ้านแม่เหียะในมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด  บ้านเธออุดมสมบูรณ์ เธอเดินขึ้นเขาลงห้วยเก็บเห็ด เก็บหน่อไม้มาตั้งแต่เล็ก  การเขียนหนังสือเล่มนี้นอกจากเป็นคำบอกเล่าเรื่องอาหารของบ้านเธอแล้ว เธอยังร้องขออยู่กลาย ๆ ว่า ขอแหล่งอาหารไว้ให้บ้านฉันเถอะ

เพราะเมื่อสองปีที่ผ่านมา โครงการต่าง ๆ เข้ามาในหมู่บ้านแม่เหียะในซึ่งกระทบต่อแหล่งอาหารของหมู่บ้าน

เรื่องราวในสูตรอาหารของเธอ ควบคู่ไปกับเรื่องเล่าในสังคมหมู่บ้านที่เธออยู่ได้อย่างกลมกลืน  เช่น ชีวิตผู้คนผูกพันอยู่กับป่าหลังบ้าน การทำมาหากินของคนในชุมชน ความรักในท้องถิ่นของตัวเอง ความสุข ความทุกข์และความหวัง

ท้ายที่สุด เธอชวนเชิญไปกินข้าวที่บ้านและบอกว่า บ้านเธอนั้นกินอยู่อย่างไรก็ไม่หมด

มาเถอะมากินอาหารที่อร่อยไปถึงหัวใจ และช่วยฉันด้วยว่า ทำอย่างไรดีถ้าแหล่งอาหารบ้านฉันถูกทำลายไป

ปล. มาเที่ยวบ้านฉัน "งานเปิดตัวหนังสือ อาหารบ้านฉัน และคุยกันเรื่อง "กินอยู่อย่างไรไม่ให้หมด" โดย เทพศิริ สุข โสภา คำผกา และปวีณา พรหมเมตจิต ที่ศาลารวมใจ บ้านแม่เหียะใน อ.เมือง เชียงใหม่ สี่โมงเย็น

 

เชียงใหม่ขายอะไรจ๊ะ

“หนาวไหม หนาวหรือยัง”
“หนาวแล้ว เชียงไหมหนาวแล้ว”
“ฉันจะไปเชียงใหม่”
บทสนทนาหนึ่ง
ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ

รายงานข่าว ขณะนี้ยอดดอยอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะดอยสูงอุณหภูมิติดลบแล้ว เกิดน้ำค้างแข็ง มีคำถามว่า นักท่องเที่ยวหรือคนที่จะมาเชียงใหม่ควรได้รับรู้ข่าวคราวอะไรบ้างนอกจากว่า หนาวแล้วหรือหนาวกี่องศา ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในยามบ่าย

เขาพูดต่อว่า ถ้าอยากให้คนอื่นที่มาเที่ยวเชียงใหม่ รู้ว่าเขาควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเมืองและรักเมืองนี้ เราต้องให้ข่าวสารเขามากกว่านี้  เราควรต้องทำงานกับสื่อให้มากว่านี้  เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานภาคีฯ

การมุ่งเน้นให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่ มีส่วนร่วมในการจัดการเมือง เช่นว่ามีโครงการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เมกกะโปรเจค มาตกในเมืองมากมาย ทั้งโครงการไนท์ซาฟารี โครงการพืชสวนโลก ซึ่งโครงการเหล่านี้สร้างลงบนพื้นที่อุทยานดอยสุเทพ โดยที่คนเชียงใหม่ตั้งตัวไม่ติด และผลที่ตามมาตอนนี้คือ โครงการทั้งสองโครงการใหญ่ ๆ ไม่รู้จะว่าไปในทิศทางไหนไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อ กำลังจะกลายเป็นอนุสาวรีย์ บางหน่วยงานเสนอให้ปิดไปเลยก็มี และมีโครงการผูกพันอีกหลายโครงการที่ยังไม่ได้ทำ

1
พืชสวนโลกสร้างไปแล้วในพื้นที่อุทยานดอยสุเทพ – ภาพโดยสุวิชานนท์

การมุ่งไปที่ให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่น่าจะไม่เพียงพอแล้ว ควรจะบอกกล่าวไปยังส่วนอื่น ๆ หรือให้ประชาชนทั่วประเทศรู้และเข้าใจได้ เพราะเชียงใหม่ไม่ได้รับเฉพาะคนในเมืองเชียงใหม่เท่านั้น

ส่วนดอยอินทนนท์นั้นเล่า ผู้คนขึ้นไปชื่นชมความงาม ไปเพื่อพบกับความหนาวเย็น ในขณะเดียวกันดอยสวย ผืนป่าก็ซ้ำเหลือเกิน มีสถานที่ก่อสร้างมากมายอยู่บนนั้น และนี่ข่าวว่าจะมีการสร้าง หอดูดาวบนดอยอินทนนท์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นความเหมาะสม เพราะว่า พื้นที่แคบๆ บริเวณยอดดอยเกินขีดจำกัดความสามารถของการรองรับของพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องการใช้น้ำ

เนื่องจากเป็นจุดสูงสุด จึงไม่สามารถนำน้ำจากลำธารตามธรรมชาติมาใช้  แต่ต้องอาศัยน้ำสะสมใต้ดินที่มีอยู่ไม่มาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่มาจากบริเวณป่าพรุพื้นที่ชุ่มน้ำอ่างกา พื้นที่ชุ่มน้ำอ่างกานี้ นับเป็นระบบนิเวศป่าพรุบนเขาสูงที่มีเอกลักษณ์พิเศษจำเพาะ ที่มีเพียงแห่งเดียวของประเทศ  เป็นถิ่นอาศัยของพืชสัตว์เฉพาะถิ่นหายากหรือมีสถานะภาพใกล้สูญ

2

3
ดอยอินทนนท์เตรียมสร้างหอดูดาว

หากมีการสร้างหอดูดาวขึ้นในบริเวณยอดดอย ระหว่างก่อสร้างและเมื่อสร้างเสร็จแล้ว จะมีกิจกรรมที่ต้องใช้น้ำอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อระดับน้ำใต้ดินและน้ำในพรุอ่างกา  ทำให้ระบบนิเวศที่ประสพปัญหาอย่างหนักอยู่แล้วในปัจจุบัน  เสื่อมโทรมลงไปอีกจนอาจเกินแก้ไข

แน่นอนล่ะ ต้องสูญเสียพื้นที่สีเขียวไปอีก และเหนืออื่นใด ยังอยู่ใกล้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระสถูปของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 อันเป็นที่เคารพสักการะบูชาของชาวล้านนา จึงไม่สมควรก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นควรจะพิจารณาที่อื่น (ข้อมูลจากชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนาสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา)

เช่นเดียวกับแม่น้ำปิง ที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า มีความสำคัญอย่างไร แม่น้ำปิงถือว่าเป็น แม่น้ำสายสำคัญ เป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต ดังนั้นจึงเป็นมากกว่าความสวยงาม ที่มองเห็นจากร้านอาหาร หรือจากการล่องเรือชมสองฝั่ง แม่น้ำเป็นหนึ่งในเจ็ดชัยภูมิของเมือง แม่น้ำสายนี้ให้ชีวิตผู้คนมายาวนาน มีการจัดการในระบบเหมืองฝายที่สำคัญยิ่งในการเกษตร

4
แม่น้ำปิงเตรียมสร้างประตูระบายน้ำ

และท้ายที่สุดมีบทสรุปว่า เมืองเชียงใหม่จะอยู่อย่างไร ท่ามกลางการพัฒนาเมืองไปสู่การท่องเที่ยว เช่นการประกาศผังเมืองใหม่ ให้เป็นพื้นที่สีแดงในย่านวัดเกตุ ฟ้าฮ่าม พื้นที่สีแดงให้ขยายสู่พื้นที่บันเทิงยิ่งขึ้น

และนี่มาถึงคำถามอีกครั้งว่า เมืองเชียงใหม่จะขายอะไร มีอะไรเหลือให้ขายอีกไหม ขายอะไรดีจ๊ะ หรือจะปลุกผีไนท์ซา หรือผีสวนโลกขึ้นมา

มีอะไรในผืนป่าสุดท้ายกลางเมืองใหญ่

มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง 
ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               

1

1

ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์

เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง

หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในเมืองหมดไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างมากโดยเฉพะสิบปีที่ผ่านมา  

ดอยสุเทพเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวได้รุกคืบเข้าไปถึงขั้นกันพื้นที่อุทยานออกมาใช้ บางโครงการใช้พื้นที่ไปแล้วและหลังจากนั้นขอถอนพื้นที่ออกจากอุทยาน อีกทั้งยังมีโครางการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เมกกะโปรเจค ค้างอยู่อีกหลายโครงการ

ชาวเมืองเชียงใหม่ และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ จำนวนมาก ที่เป็นกังวลหวงใยเรื่องป่าดอยสุเทพ วัดพระธาตุดอยสุเทพ และลานครูบาศรีวิชัย   พวกเขาพยายามดูแลจัดการมาหลายชั่วอายุคนเหมือนกัน พยายามคัดค้านโครงการต่าง ๆ รอบ ๆ ดอยสุเทพ รวมทั้งผืนป่าในพื้นที่อุทยาน ที่ถูกทำลายภายใต้นโยบายของรัฐ

โครงการของรัฐบาลบางโครงการ ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของคนเชียงใหม่อย่างรุนแรง และในช่วงนั้นเกิดภาคีคนฮักเชียงใหม่ขึ้นมา  เป็นการรวมตัวกันด้วยศรัทธา  

หลังจากนั้น ปีที่ผ่านมา มีชมรมเพื่อดอยสุเทพเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของหัวหน้าอุทยานดอยสุเทพในสมัยนั้น มีการจัดกิจกรรมร่วมกันหลายครั้ง ทั้งการเดินสำรวจดอยสุเทพ การจัดนิทรรศการ จนเปลี่ยนหัวหน้าอุทยาน และวันนี้มีความพยายามจะสานต่อกันอยู่

2

2

ดอยสุเทพได้ชื่อว่า เป็นดอยวิเศษ ป่าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นจิตวิญญาณของชาวล้านนา  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุดอยสุเทพยาวนานกว่า 600 ปี พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และบางส่วนเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำบางส่วนยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์

นอกจากความงดงามของสถานที่แล้ว ยังถือเป็นป่าที่มีคุณค่า มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมายาวนาน 

ในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ผ่านมา มีการเดินขึ้นดอยสุเทพอย่างช้า ๆ ของคนเชียงใหม่ เพื่อระลึกถึงจอบแรกของครูบาศรีวิชัย ผู้สร้างขึ้นไปสู่ยอดดอย  ผู้คนที่เดินดอยแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินทางถนนและเดินทางป่า ผู้เดินทางป่าที่สูงวัยคนหนึ่งมาบอกเล่าให้ใคร ๆ ฟังว่า แม้ว่าการเดินป่าดอยสุเทพเดี๋ยวนี้  จะไม่เห็นสัตว์ป่าชนิดใดบนดอย นอกจากนกกระรอก และแมลงต่าง ๆ และคิดว่าที่ถูกบันทึกเอาไว้ มันอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนกสามร้อยกว่าชนิด ผีเสื้อกลางวันห้าร้อยชนิด ผีเสื้อกลางคืนอีกสามร้อย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนับกว่าครึ่งร้อย สัตว์เลื่อยคลานอีกมากมาย และสัตว์หายากพวกชะนี หมีควาย กวางป่า หมูป่า และพืชหลากหลาย ทั้งพืชเฉพาะถิ่นที่มีอยู่ที่เฉพาะที่นั้น ๆ เท่านั้น รวมทั้งกล้วยไม้ป่าหายาก แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตและที่เขากล่าวกันว่า เราต่างมีชีวิตที่ธรรมชาติเป็นผู้ดูแลนั้นสัมผัสได้จริง ๆ

และเพียงแค่นี้ พอเพียงไหมสำหรับการจะดูแลรักษาไว้ ให้เป็นผืนป่าผืนสุดท้ายกลางเมืองใหญ่ เพื่อช่วยให้โลกร้อนน้อยลง

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด “คนเมือง” หรือคุณจะเป็นเพียงมาอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่อย่างถาวร หรือมาอยู่ชั่วคราว คุณหรือใครก็มีสิทธิ์ที่จะรักเมืองเชียงใหม่ และช่วยกันดูแล ช่วยกันบอกต่อถึงเรื่องราวของป่าผืนสุดท้าย ให้ตระหนักถึงความสำคัญร่วมกันว่านี้คือปอดของเมือง ไม่ควรมีสิ่งใดที่แอบแฝงอยู่ในป่าผืนนั้น ไม่ควรปลูกสร้างอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ หรือที่พัก ร้านอาหารของเอกชน อย่าปลูกสร้างอะไรขึ้นมาอีกเลย นอกจากต้นไม้   

ปล. ฉันเขียนเรื่องดีงามแล้วใช่ไหมเพื่อน

นักเสี่ยงโชค นักดื่ม นักบวชและตำรวจ ต่างมาในที่เดียวกัน

ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย
เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียว

ฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น

แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์

ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง เพราะหมาของตัวเองล้วนน่ารักเป็นที่สุด ไม่ว่ามันจะทำตัวน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม

เจ้าของบ้านลุกขึ้นไปต้อนรับแขก และบอกว่า มันเห่าไปอย่างนั้นแหละ และหันไปปรามเจ้าสองตัวให้หยุด
“เอากีตาร์มาคืน”เขาว่าแล้วพูดต่อว่า จะรีบกลับเพื่อไปซื้อกีตาร์มาไว้ที่บ้านสักอัน

แล้วเขาก็ออกจากบ้านไป อย่างง่าย ๆ

ฉันรู้ภายหลังว่า เขามายืมไปเมื่อวาน และเขาไม่ใช่นักดนตรี แต่เป็นนักเสี่ยงโชคคนหนึ่ง และพบว่าตัวเองชอบเล่นดนตรี ชอบกีตาร์ขึ้นมา

1
กำลังหาบ้านค่ะ เผื่อใครจะรับอุปการะ

แขกคนที่หนึ่งกลับไปแล้ว สองชั่วโมงต่อมาแขกคนที่สองก็เดินทางมาถึง

เขามาพร้อมกับเหล้าภูมิปัญญาใส่ถุงมา เขามีมารยาทพอที่จะแขวนถุงเหล้าไว้ที่กิ่งไม้หน้าบ้าน ก่อนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ เจ้าของบ้านกำลังเขียนต้นฉบับให้ประชาไทดอดคอม เขาบอกผู้มาเยือนว่า กำลังรีบทำงาน และส่งกล่องยาเส้นให้

เขาเอายาเส้นไปม้วนแต่ไม่จุดสูบ นั่งโยกตัวเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า อยากหาหนังสืออ่านสักสองสามเล่ม เจ้าของบ้านลุกขึ้นไปหยิบหนังสือให้สามเล่ม ฉันไม่รู้ว่าหนังสืออะไรบ้าง

เขาลุกขึ้นเดินไปอย่างเงียบ ๆ คนนี้ไปมาแบบเงียบมาก เขามาปรากฏครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันรู้มาว่า เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเคยเป็นหนุ่มหล่อเนียบ ต่อมาถูกรถสิบล้อชน และออกจากงาน ไม่แน่ขัดว่าเขาลาออกเองเพราะทำงานไม่ได้หรือถูกให้ออก มาดหนุ่มหล่อแบบพนักงานธนาคารยังหลงเหลืออยู่

วันหนึ่งเขาบอกฉันว่า เขาสามารถซ่อมเครื่องใช้ฟ้าได้ ฉันจึงเอาเครื่องเล่นซีดีให้เขาซ่อม ปรากฏว่า เขารื้อออกมาแล้ว และบอกฉันว่า เครื่องที่ฉันซื้อมาเมื่อเดือนก่อน เป็นเครื่องเก่า มันถูกซ่อมมาแล้วครั้งหนึ่งและชี้ให้ฉันดูร่องรอยที่บอกว่า มันถูกเปลี่ยน ฉันถูกคนขายหลอก เขาบอกฉันอย่างนั้น ตกลงว่าฉันถูกหลอกสองครั้ง ครั้งแรกถูกหลอกให้ซื้อเครื่องเล่นซีดีเก่า ครั้งที่สองถูกหลอกว่าซ่อมเป็น เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาไม่เคยพูดเรื่องซีดีของฉันอีกเลย

ผ่านไปสองคนก็ยังธรรมดาอยู่

2
แม่แห่งปี

ครับ สวัสดีครับ เชิญครับ เสียงเจ้าของบ้านทักทายพร้อมกับรีบเข้าไปในบ้าน เพื่อเปลี่ยนจากผ้าขาวม้าเป็นกางเกงขาสั้น เพราะคราวนี้เป็นหญิงสาวสองคน

ฉันนั่งพิมพ์ดีดอยู่ข้างหน้าต่าง หันไปมอง เธอทั้งสองเป็นแขกแปลกหน้า คนหนึ่งผอมบางอีกคนหนึ่งสูงใหญ่ เธอเริ่มต้นด้วยการทักทายฉันว่า กำลังทำงานอยู่หรือค่ะ

“ค่ะ” ฉันตอบเธอก็ฉันกำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ จะกินข้าวได้อย่างไร
“เป็นลีซอหรือค่ะ”เสียงเธอยินดีนัก

เอาเข้าไป ตัวดำเมี่ยงแบบซาไกจากถิ่นใต้ หน้าตาแขกอินเดียออกอย่างนี้เป็นลีซอได้อย่างไรกัน ลีซอมันต้องขาวสวยออกไปทางจีน

“ไม่ใช่ค่ะ”
“เห็นมีกระเป๋าลีซอแขวนอยู่” เธอว่า
ฉันบอกเธอว่า ฉันมีเพื่อนเป็นลีซอหลายคน และเคยไปบ้านเขาด้วย ที่แม่อาย และที่เปียงหลวง
เธอบอกฉันว่าเธอเป็นลีซออยู่ที่เชียงดาว แม่ยังอยู่ที่นั่น แต่เธอมาอยู่หางดง

บรรยากาศการพูดคุยเริ่มราบรื่น เจ้าของบ้านชายแต่งตัวสุภาพออกมาแล้ว เชิญเธอทั้งสองนั่ง เธอคนที่เป็นลีซอ เริ่มด้วยการบอกว่า เธอนำเรื่องราวใหม่มาสู่ครอบครัวของเรา พร้อมกับส่งหนังสือเล่มบาง ๆให้เขา ปกหนังสือเขียนว่า หอสังเกตการณ์ ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา หน้าปกหนังสือสวยทีเดียว เป็นรูปหญิงสาวนั่งจับปากกาและเด็กหญิงหน้าตาสดใส

“อยู่หางดงทั้งคู่หรือครับ” เขาชวนคุย
หญิงสาวอีกคนหนึ่งทำเสียงอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพูดอะไรออกมาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ได้ยินคำว่า ญี่ปุ่น

เขาเตรียมน้ำให้เธอทั้งสอง สาวญี่ปุ่นคงจะหิวเธอดื่มน้ำหมด และบอกว่าอร่อย เธอคงคิดว่า ถ้ากินอะไรเข้าไปต้องบอกว่าอร่อยหมด

แต่อีกคนบอกว่า ดื่มมาแล้ว และพูดเรื่องของเธอ พูดเรื่องพระยะโฮวา ฉันจับความได้ว่า ท่านเป็นบิดาของพระเยซู

ฟังดูคล้าย ๆกับว่า เราต่างเป็นคนบาปและท่านจะช่วยเราได้
และถามว่า ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า เจ้าของบ้านตอบว่า ชอบอ่านครับ ผมทำงานเขียนครับ ต้องอ่านอยู่แล้วครับ

เธอตอบว่า ดีค่ะ
เจ้าของบ้านตอบกลับว่า ครับดีครับ ผมสนใจครับ

ทั้งผู้มาเผยแพร่ศาสนาและคนรับสารต่างคุยไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเขารู้เรื่องราวของศาสนาและลัทธิต่าง ๆ อย่างมากมายจากการอ่าน แต่ในส่วนปฏิบัติเช่นเข้าโปสถ์ เข้าวัด หรือพิธีกรรมอะไรไม่เคยเห็นทำ

เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือหรือว่าเพื่อตอบแทนเขาจึงหยิบหนังสือ วัยรุ่นไม่วุ่นอย่างที่คิด Right to know ของเอดส์เน็ท ที่ตัวเองทำส่งให้และบอกว่า นี่เป็นหนังสือของเราขอมอบให้ เป็นหนังสือเรื่องเอดส์เรื่องเพศ

หญิงสาวบอกว่า เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อในพระองค์ และบอกว่า ที่เกิดปัญหานี้เพราะมีการทำผิด และเธอพูดเรื่องความผิดพลาดของมนุษย์อีกพักหนึ่งจึงลากลับ

หลังจากเธอไปแล้วฉันได้ยินเสียงเจ้าของบ้านถอยหายใจ
ฉันบอกเขาว่า ผู้พูดมีมากผู้ฟังมีน้อย การเป็นผู้ฟังที่ดียากนะ
เอ้อ...วันนี้เรามีแขกแปลก ๆ มาเยี่ยมบ้าน มีสามแบบแล้ว เราพูดกันยังไม่ทันจบ แขกชุดใหม่ก็เข้ามา เขามากับรถสีบรอนซ์

เป็นตำรวจ

ฉันมักตกใจที่เห็นตำรวจ ไม่คุ้นเคยกับตำรวจเพราะในวัยเด็ก ถูกหลอกว่า อย่างร้องไห้อย่าเรื่องมาก ตำรวจจะจับ เราถูกหลอกให้กลัวตำรวจมาตั้งแต่เด็ก

“ว้าย ตำรวจมาทำไม” ฉันกลัวตำรวจทั้งที่ในชีวิตฉันไม่เคยทำอะไรผิดให้ตำรวจจับได้เลย นอกจากขับมอเตอร์ไซค์ไม่มีใบขับขี่ออกมาซื้อบะหมี่ที่หน้าซอย แล้วถูกจับปรับ เป็นเรื่องขำเพราะฉันขับได้ไม่เกินหน้าซอย แต่มันถึงคราวซวย เจอตำรวจจราจรพอดี

ตำรวจมาเยี่ยมน้องชาย เออ...ลืมไปว่ามีน้องชายของเขาที่เป็นตำรวจมาป่วยอยู่ที่บ้านคนหนึ่ง
วันนี้เรามีแขกครบถ้วนแล้ว ทั้งนักเสี่ยงโชค นักดื่ม นักบุญ และตำรวจ ชีวิตของวันนี้คงจะครบแล้ว

ยามบ่าย ฉันได้รับโทรศัพท์จากนักเขียนรุ่นน้อง เธอบอกว่าจะมาเยี่ยมเรา เธอเป็นคนที่ฉันอยากเจอมากแต่ต้องปฏิเสธเธอไปเพราะวันนี้เราผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์พอแล้ว ถ้าเจอนักเขียนอีกคนท่าจะไม่ไหวแล้ว เพราะตั้งใจจะดูพรรคศิลปินแถลงนโยบายในช่วงเย็นทางโทรทัศน์ด้วย

ไม่รักไม่บอก

ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ

“ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”
ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ

ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก

ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย

pic1

เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่ แล้วแม่ไม่ได้จ่ายเงินค่าไอศกรีม เขากังวลใจที่ไม่ได้จ่ายเงินเสียที เพราะแม่ไม่ยอมไปที่นั่นอ้างว่าจอดรถยาก แม่บอกรอไปก่อน ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ได้ไปจ่ายเงินค่าค่าไอศกรีม เขามีความสุขมาก ๆ เจ้าของร้านบอกว่าเขาเป็นเด็กดี จึงให้ขนมเขามามากมาย

7 ปีต่อมา เด็กชายอายุ 15 ปี  เขาได้รับสิ่งดีงามทดแทน เขาบอกว่า เขาไปกินอาหารที่ร้านแซนวิชบาร์ ตรงแจงหัวลินกับพ่อ ที่ร้านคืนเงินให้หนึ่งร้อยบาทเพราะครั้งก่อนเก็บเงินเกินไป

เรื่องเล่าที่งดงามในสองหน้าแรก ทำให้ฉันมีความสุขไปด้วยในยามเช้าที่ได้นั่งอ่าน
ใช่...จริง ๆ ด้วยความสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่อน่ารัก มีเรื่องน่ารักมากกมาย

pic2

ตอนนี้...คุณนึกออกไหมมีเรื่องน่ารักอะไรเกี่ยวกับคุณบ้างในหนึ่งวัน 

ผู้เขียนซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม คือทิ้งนามไว้ที่หน้าปก หลังปก หรือที่อื่นใด ดูหรือทำเรื่อง ๆ ดี ๆ เช่นนี้แต่ไม่เปิดเผยตัวเอง เขาสรุปว่า...

“ชีวิตมีให้พวกเรา เริ่มต้นใหม่ทุกวัน
ชีวิตมีให้เราเลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราพร้อมที่จะเลือกไหม”

เปิดผ่านไป มีภาพการ์ตูน เด็กหญิงหัวโต...มาบอกว่า ขออภัยร้านใหญ่ ๆ ดัง ๆ ด้วยนะคะ งานนี้เราลงแต่ร้านเล็ก ๆ ค่ะ

อ้าว...เป็นแผนที่ร้านอาหารค่ะ พี่น้อง
โอโห...น่าไปกินทั้งนั้น เป็นร้านอาหาร ร้านเล็กร้านน้อย เริ่มตั้งแต่บริเวณสะพานนวรัฐ สะพานนครพิงค์ น่าไปกินทั้งนั้น กาดหลวง ราชวงศ์ ช้างม่อย แม่เหี๊ยะ สันป่าข่อย สันกำแพงก็มี

ว้าย! มีทุกแห่งเลย ร้านเล็กๆ อร่อยและไม่แพงด้วย ร้านที่ไม่มีในไกด์บุค และไม่มีในหนังสือฟรีก็อปปี้ด้วย
ดีละ...คราวนี้ มีเพื่อนมาเชียงใหม่จะมอบไกด์บุค นอกกระแสเล่มนี้ให้เลือกเลยว่า จะไปกินที่ไหน อร่อยและไม่แพงอย่างนี้ชอบ...คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีความสุขแน่ ๆ

มาเที่ยวเชียงใหม่หากินหาอยู่แบบไม่แพงก็ได้นะคุณ

จบการกินแล้ว เขาจะบอกเรื่องอะไรอีกล่ะ หนังสือเล่มนี้เขียนว่า รวมแผนที่ร้านอาหารแซกซอกนอกกระแส ไม่มีเส้น ไม่เล่นพวก

เอาล่ะค่ะ...แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าใหม่ ของไปกินก่อนค่ะ

(อยากได้หนังสือไม่รักไม่บอก ติดต่อภาคีคนฮักเชียงใหม่ค่ะ 16 ถ. เทพสถิต ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200  หรือ 08 4041 5096)

เรื่องขยะๆ มันโดนใจ

picture1

เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

Pages

Subscribe to RSS - บล็อกของ praejaru