Skip to main content
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว

เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกฉบับมิถุนายนนี้ ก็ร่วมบรรเลงเพลงสวรรค์สีเขียวกับเขาด้วยคน ในท่วงทำนองแบบกระตุ้นให้เราหวาดวิตก หวั่นผวากับภาวการณ์ร่วมของยุคข้าวยากหมากแพง ในรายงานพิเศษเรื่อง
วิกฤติอาหารโลก ข้าวยากหมากแพง

ตามธรรมดาที่บทความซึ่งมุ่งกระตุ้นให้ภาวะตระหนักรู้ในสภาวะแวดล้อม ย่อมชี้แจงให้เห็นเหตุผลที่ชัดเจนและอุดมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ นับเป็นการคุกคามความรู้สึกแบบอิงข้อมูลตัวเลขที่ใช้งานได้ผล  เพราะใครก็ตามที่รับรู้ข้อมูล ที่ถูกส่งมาในรูปแบบข้อความสั้นเหล่านี้ ย่อมออกอาการ "เหงื่อตก" 

เมื่อคุณได้รับรู้ข้อมูลตัวเลขที่ผ่านการประมวลผลให้ชัดเจน ตรงประเด็น และมันคล้ายได้แฝงข้อความสั้นในจินตการมาตอกย้ำว่า โลกแย่แล้ว วิกฤตแล้วล่ะเพื่อนรัก เป็นคุณจะเหงื่อตกไหมล่ะ หากเจอข้อความเหล่านี้

ราคาข้าวในตลาดโลกที่พุ่งสูงเกือบสองเท่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ซ้ำเติมด้วยอุทกภัยและพายุไซโคลนถล่มทลายในปี 2007 ทำให้บังกลาเทศมีประชากรอดอยากหิวโหยเพิ่มเป็น 35 ล้านคน

ข้าวโพดที่ใช้ผลิตเอทานอล พลังงานสีเขียว 1 ถัง ขนาดบรรจุ 95 ลิตร นั้น เป็นปริมาณข้าวโพดที่เลี้ยงคนหนึ่งคนได้ตลอด 1 ปี

นโยบายส่งเสริมการผลิตเอทานอลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้ราคาข้าวโพดในสหรัฐฯ สูงขึ้น
ร้อยละ 30 จากปี 2005 จนถึง ปี 2008 นับว่าสูงขึ้นถึง 3 เท่า

จีนเลี้ยงหมูเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งของหมูทั่วโลก ต้องนำเข้าธัญพืชเพื่อขุนหมู เพื่อเลี้ยงปากท้องประชาชนชาวจีนอีกทอดหนึ่ง

โปรตีนราคาแพง ธัญพืชราวร้อยละ 35 ของโลก ถูกนำไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มปศุสัตว์ กระเพาะของผู้หิวโหยจึงต้องว่างเปล่าต่อไป

ถ้าคุณต้องการพลังงานจากเนื้อหมูในปริมาณเท่า ๆ กับที่ได้จากธัญพืช คุณต้องขุนหมูด้วยธัญพืชมากกว่าที่คุณกินถึง 5 เท่า

การบริโภคเพิ่มขึ้นจาก 815 ล้านตันในปี 1960 มาเป็น 2.160 ล้านตันในปี 2008

จีนปลูกข้าวโพดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ยังไม่พอจะขุนหมูภายในประเทศของตัวเอง จำต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และบราซิล โดยบราซิลต้องถากถางป่าอะเมซอนเพื่อปลูกถั่วเหลืองไปขุนหมูของจีน

มนุษย์เพิ่มขึ้นในอัตราเรขาคณิต คือ เป็น 2 เท่า ทุก ๆ 25 ปี หากไม่มีการควบคุม ขณะผลผลิตทางภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นแบบเลขคณิต หรือช้ากว่ากันมาก ภาวการณ์เช่นนี้ จะนำพามนุษย์ไปสู่กับดักทางชีวภาพ

อุปสงค์แซงหน้าอุปทาน  เรามีอาหารไม่พอสำหรับทุกคน

ปี 2005 - ฤดูร้อน ปี 2008 ข้าวสาลี ข้าวโพด ราคาสูงขึ้น 3 เท่าตัว ราคาข้าวเพิ่ม 5 เท่า

แม้ราคาอาหารจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย แต่ยังจัดว่าสูงเป็นประวัติการณ์

จากบทความดังกล่าวนั่นแหละ ที่เล่นเอาต่อมเห็นแก่ตัวของฉันหดเกร็งจนแทบอัมพาต แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการประกาศตัวว่าจะเป็นคนดีอะไรเลย เพราะหากเรายังร่วมแรงรวมใจเห็นแก่ตัวต่อไปอีก อนาคตข้างหน้าย่อมเลี่ยงนรกขุมเล็ก ๆ ไม่ได้แน่ ดังนั้น เราควรหันมาร่วมแรงรวมใจเห็นแก่ประโยชน์โภคผลแก่มนุษยชาติ แก่โลกของเรา ภายใต้เงื่อนไข "ถ้าโลกรอด เราย่อมไม่ตาย " หรือ " ถ้าโลกตาย เราต้องตายตกไปตามกัน "

ในเมื่อบทความ ข้าวยากหมากแพง นี้ ได้ทำการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ได้กระทำทารุณกรรมโลกสีน้ำเงินใบนี้ ในนามของพระเจ้าสีเขียว ที่จะนำพาให้ประชากรมนุษย์โลกมีข้าวกินอิ่มท้องกันทั่วหน้า พระเจ้าองค์นั้นรู้จักกันดีในนามของ การปฏิวัติเขียว (green revolution) ที่ก่อการขึ้นราวปี 1950 ถึงกลางปี 1990 นามแห่งความรุนแรงสีเขียวนี้ นาย วิลเลียม เอส. โกด อดีตผู้บริหารยูเสด เป็นผู้คิดคำว่า

ปฏิวัติเขียวขึ้นในปี 1968 เพื่อล้อเลียน การปฏิวัติแดงของรัสเซีย

ปฏิวัติเขียว กับการปลูกพืชขนานใหญ่หรือเกษตรเชิงเดี่ยว ที่ต้องพึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ดัดแปลงให้เก่งกล้าสามารถ ให้ผลผลิตดกดื่นน่าชื่นใจ ทนแล้ง ทนมือทนเท้า

นั่นคือพระเจ้าสีเขียว ฮีโร่ที่ปราบความหิวของประชากรโลกได้อยู่หมัด

แต่น่าเสียดาย พืชเกษตรเหล่านั้นกลับเสพติดปุ๋ยเคมีชนิดเข้ากระแสเลือด ยังผลให้เกษตรกรที่ศรัทธาพระเจ้าองค์นี้ ต้องถวายตัวเป็นหนี้ค่าปุ๋ยเคมีชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์พรหมที่ไหน

ไม่เท่านั้นผืนดิน ผืนน้ำ อันเป็นทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตที่ถูกใช้งานอย่างสาหัสก็ฟ้องร้อง

หาความเป็นธรรม โดยแปรดินอุดม น้ำอุดม เป็นพิษอุดมไปเสีย เกษตรกรในภาคพื้นแห่งการปฏิวัติเขียวกลายเป็นมนุษย์มะเร็ง อ่อนปวกเปียก ทั้งร่างกายและจิตใจ

รัฐปัญจาบ อินเดีย ซึ่งเคยท้องที่สีเขียวอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของชมพูทวีป ต้องกลับเป็นอาณาบริเวณอันตราย อุดมด้วยพิษของดิน น้ำ ลม ไฟ และเชื้อจุลชีพร้ายกาจ ประเทศไทยเราเองก็เคยเคารพนับถือปฏิวัติเขียว และหนีไม่พ้นชะตากรรมนี้

กระทั่งมีคำถามเสียงดังสนั่นว่าคุณูปการของการปฏิวัติเขียวแลกมาด้วยอะไร

ปฏิว้ติเขียว เคยเป็นพระเจ้าเมื่อประชากรโลกหิวโหย

พวกเราศรัทธาพระองค์ ขณะพระองค์ก็ทรงเรียกร้องจากเรามากมายเหลือเกิน เราต้องถวายพระแม่โพสพ

พระแม่คงคา และอีกหลายพระแม่ของเรา

เห็นทีเราต้องโลกมือลา เลิกศรัทธาพระเจ้าสีเขียวองค์นี้แล้วล่ะ ถึงแม้องค์การสหประชาชาติ หรือนักวิชาการด้านพันธุวิศวกรรมยังยืนยันจะสถาปนาพระเจ้าสีเขียวองค์นี้ขึ้นอีกครั้ง ในนามลูกชายคนใหม่ที่มีชื่อแสนเท่ว่า พืชจีเอ็มโอ ชื่อน่ารักแต่ฟังแล้วขนลุก

ขณะเดียวกัน พระเจ้าอีกองค์หนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้น แต่ยังคงเป็นองค์สีเขียวเหมือนองค์เก่า ไม่แน่ว่าพระเจ้าสีเขียวใหม่นี้อาจเป็นปางอวตารของพระเจ้าที่ชื่อปฏิวัติเขียวก็เป็นได้

องค์นี้มีหลายชื่อ แต่มีแบบรูปเดียวกันคือ รักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์โลกร้อน ลดเคมี เกษตรอินทรีย์ เกษตรชีวภาพ อาหารชีวภาพ และอีกหลายชื่อที่ใคร ๆ พากันขนานนามให้ ใครศรัทธาก็จะเป็นกลุ่มชนที่ลดการเห็นแก่ความสะดวกสบายส่วนตัว ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนรวม เรื่องมลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ

เหล่าผู้ศรัทธาจะลดการใช้น้ำมันปิโตรเลียม และหันมาใช้น้ำมันชีวภาพอย่างเอทานอล หรือไบโอดีเซล แต่ถ้าจะให้ลึกซึ้งเข้าขั้น จะพยายามลดปริมาณการใช้น้ำมันตามนโยบายโลกสีเขียว

แต่ให้ตายเถอะ เชื่อไหมว่าผู้ศรัทธากลุ่มนี้ หลายคนอาจไม่เคยรู้จักคำว่า "หิว"

ขณะที่หลายประเทศแถบแอฟริกายังอุดมไปด้วยความหิวโหย จนถูกขนานนามอย่างเรียกร้องอยู่ในทีว่า หัวใจที่หิวโหย

ฉันไม่รู้หรอกว่า เราหรือคุณ นับถือพระเจ้าองค์ไหน พระเจ้าสีเขียวเดิม หรือสีเขียวใหม่

ตราบใดที่พลังงานยังมีราคาแพง เชื้อเพลิงชีวภาพจะแย่งพื้นที่เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารและแหล่งน้ำในหลายภูมิภาคทั่วโลก  นักวิชาการฝ่ายหนึ่งเสนอว่า เราจำเป็นต้องปฏิวัติเขียวอีกครั้งและต้องทำให้สำเร็จในเวลาที่น้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และนักวิชาการอีกฝ่ายเสนอว่า เราจำเป็นต้องกลับไปสู่ดินแดนที่ปลอดจากเคมี เราต้องฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมทรุดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ทั้งสองฝ่ายตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสองก็เสนอทางรอดให้เรา ให้ฉัน และให้คุณแล้ว

ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกฝ่ายไหน และที่สุดแล้ว อาจขึ้นอยู่กับว่า คุณ เรา หรือฉัน เคย "หิว" บ้างหรือเปล่า.

...........................

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม