Skip to main content

เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มที่สั้นที่สุด เลื่อนไปยังหมายเลขเก้า ทุกคนจึงขึ้นรถตู้ เคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแสงอรุณ  เมื่อถึงมีทีมงานเตรียมข้าวกล่องไว้รอให้ทาน

พอทานข้าวเสร็จพี่อ้อย ชุมชนคนรักป่า ก็มาบอกผมว่า  งานจะเริ่มบ่ายโมง  พร้อมกับยื่นใบกำหนดการให้ผมดู  ผมตื่นเต้นนิดหน่อย

พอบ่ายโมง งานก็เริ่มขึ้น โดยการฉายสไลด์เกี่ยวกับป่าชุมชนที่หมู่บ้านสบลาน อำเภอสะเมิงเชียงใหม่   
"ถ้าถึงคิวแล้วจะมาเรียกนะ” ทีมงานบอกกับผม

ในระหว่างที่ผมรออยู่หน้างานนั้น ผมก็ได้เจอกับนักเขียน นักดนตรี นักกวี ที่ทยอยมา ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ผมรู้จัก และกำลังรู้จัก และที่ไม่รู้จักด้วย  ส่วนมากจะไต่ถามเรื่องของเตหน่ากู วิธีเล่น วิธีจับต่าง ๆ   ผมก็แนะนำตามที่ผมรู้  นับว่าเตหน่ากูเป็นเครื่องดนตรี แปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯและคนอื่นๆที่พบเห็น แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า  ที่เตหน่ากู กลายเป็นเครื่องดนตรีแปลกใหม่สำหรับลูกหลานปวาเก่อญอแท้ๆ  ทั้งที่เป็นต้นตำรับของเครื่องดนตรีชนิดนี้  มันเป็นไปได้อย่างเหลือเชื่อ

การรอคอยผ่านไปเรื่อย ๆ  ตอนนี้ผมเห็นอ้ายไพฑูรย์  พรหมวิจิตร เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ผมก็เลยไปหยิบกางเกงสะดอของผมมาใส่พร้อมกับเสื้อปวาเก่อญอ แล้วเอาผ้าโพกหัวคล้องคอตามฉบับของผม  ผมสังเกตเห็นศิลปินรับเชิญหลายท่าน เริ่มเรียกอารมณ์กันแล้ว ผมนึกในใจว่า “พวกนี้กินน้ำชา หรือว่ากินเหล้ากันแน่?? กินได้ไม่หยุดหย่อน ไม่เมา ยากที่ผมจะลอกเลียนแบบ”

สักครู่ผู้จัดก็มาเชิญพี่อัคนี  มูลเมฆ  อ้ายไพฑูรย์ กับอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ขึ้นเวที พี่ภูเชียงดาว มาเรียกผมกับพี่นก โถ่เรบอ บอกว่า "เตียมตั่วเน้อ เฮาจะขึ้นเวทีต่อจากอ้ายแสงดาว”
“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึ่งนะครับ” ผมบอกพี่ภู เชียงดาว
“โวยๆๆ หน้อยเน้อ” พี่ภู บอกผม ผมจึงรีบไปด้วยความเร่งรีบ

เมื่อเจอห้องน้ำผมรีบเข้าไปทันที จนผมทำธุระส่วนตัวเกือบเสร็จแล้วนั้น มีผู้หญิงกลุ่มใหญ่มาเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งคุยกันเสียงดัง โดยไม่เกรงใจคนอยู่ในห้องน้ำอย่างผม จนผมชักไม่แน่ใจว่า “นี่ เราเข้าห้องน้ำผู้หญิงหรือเปล่าวะ?”   ผมพยายามสำรวจห้องน้ำ เพื่อให้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของห้องน้ำหญิงหรือชาย ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำ มีป้ายเขียนว่า "ห้ามทิ้งผ้าอนามัยลงในโถส้วม"

ซวยละกู ! ผมต้องรอจนกว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นออกจากห้องน้ำจนหมด แล้วค่อยย่องออกไป โดยก่อนออกไปพ้นปากประตูห้องน้ำ  ผมดูป้ายห้องน้ำอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่ใจ  คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเข้าห้องน้ำผิดจริง ๆ  เพราะป้ายห้องน้ำเขียนคำสั้น ๆ เอาไว้ว่า "หญิง” ผมจึงรีบเผ่นทันทีเลย พอไปถึงหน้างาน พี่นกกับพี่ภูตามหาผมกันใหญ่เลย

พี่นกชวนเข้าไปรอด้านในงาน  เมื่อเข้าไปในงานก็เห็น อ้ายไพฑูรย์ กำลังอยู่บนเวที  พร้อมกับเสียงปะทัด  ต่อจากอ้ายไพฑูรย์ก็เป็นอ้ายแสงดาว กับบทกวี  “ห่อโข่เลอเหย่อโอะแผล่" ต่อด้วย "The World is My Country" ก็เริ่มขึ้น และสุดท้ายก็จบลงด้วย "เราจะอยู่ที่นี่เพราะ ห่อโข่เหม่เป่อต่าลอ"

พอพิธีกรประกาศให้พี่ภู เชียงดาวขึ้นไป พี่ภูก็ชวนพี่นก โถ่เรบอ พร้อมผมขึ้นไปด้วย โดยพี่ภู เป็นคนอ่านบทกวี พี่นก โถ่เรบอเป็นคนเป่าปี่เขาควาย ผมเป็นคนคลอเสียงเตหน่ากู ไปตามบทกวี
เมื่อขึ้นไปถึงบนเวที มีการทักทายผู้ชมนิดหน่อย ตามสไตล์ พี่ภู ผมเริ่มคลอเสียงเตหน่ากู เสียงปี่เขาควายของพี่นก โถ่เรบอก็ดังขึ้น พร้อมกับบทกวีของพี่ภู  เชียงดาวเริ่มขับขาน

ช่วงขณะจิตนั้น ทำให้ผมย้อนกลับมานึกทบทวนวัตถุประสงค์ของการมากรุงเทพฯ อีกครั้ง  คำบอกเล่า ของผู้เฒ่าได้แล่นเข้ามาในสมองของผม ทำให้คิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับฟังบทกวีของพี่ภูไป เมื่อบทกวีจบลง เสียงปี่เขาควาย และเตหน่ากู ก็สงบลงเช่นกัน

พี่นก โถ่เรบอและพี่ภูลงเวทีไป  พี่นก โถ่เรบอหันมาบอกผมว่า  "มา เก แน เต่อ กา อ่อ"   พร้อมส่งยิ้มมา ซึ่งแปลว่า คุณต้องลุยเดี่ยวแล้วนะ

ผมจับไมค์ขึ้นมา คำบอกเล่าของผู้เฒ่ายังไม่ได้แล่นออกจากสมองของผม ทำให้ผมเห็นภาพของพี่น้องชนเผ่า ผู้หญิงแก่ เด็กๆ ผู้เฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ที่รอฟังข่าว อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอย พร้อมลุ้นทุกเวลาว่า หน่วยงานรัฐจะมีมติออกมายังไงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน

นั่นหมายถึงการชี้อนาคตของพวกเขารวมถึงผม ว่าจะอยู่หรือจะไป หรือหากอยู่ก็มีสิทธิ์แค่อยู่โดยไม่มีสิทธ์ในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่หรือ?                                                                   

เพลงแรก ที่ผมจะขับร้องและบรรเลงคือเพลงหน่อฉ่าตู  เพลงนิทานปวาเก่อญอ ที่เคยขับร้องกันมาเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ที่บอกว่า "งูใหญ่จะกลืนเอาลูกหลานปวาเก่อญอลงไปในท้องงู”

ซึ่งในท้องงูนั้น น่ากลัว เหมือนหุบเหว หน้าผาสูงชัน  มีแต่เสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไปหมด จนทำให้ลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอลืมความเป็นคนปวาเก่อญอ  ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  ผู้เฒ่าเล่าขันเอาไว้เป็นตำนาน แต่มาวันนี้มันกลายเป็นความจริงหรือ?

ผมเห็นกับตา! มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าปวาเก่อญอ โดยที่คนปวาเก่อญอไม่ทันตั้งตัว โดยที่คนปวาเก่อญอไม่อาจต้านทานไหว  มันเป็นความจริงที่ผมเห็นมากับตา

งูใหญ่ตัวนี้มันใหญ่มันยาว จากเหนือจดใต้  ลำตัวมันคดเคี้ยวลดเลี้ยวจนเวียนหัว มันกลืนแล้ว มันกลืนลูกหลานคนปวาเก่อญอลงสู่ท้องของมันแล้ว ท้องของมันที่เป็นหน้าผาสูงสามสิบสี่สิบชั้น มีเสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไม่เพียงเท่านั้นยังมีควันดำควันขาวตามเสียงนั้นด้วย

งูใหญ่ไม่เพียงแต่กลืนลูกหลานของคนปวาเก่อญอเท่านั้น แต่มันจะกลืนทั้งหมู่บ้าน ทั้งผืนป่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเราไปหมดเลย  มันเป็นไปแล้ว ไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน แผ่นดินจะไม่เหมือนเดิม  ยิ่งไก่ป่ารุกรานไก่บ้าน แผ่นดินยิ่งไม่เหมือนเดิม

ผมพยายามจะสื่อสารไปยังผู้ฟังในวันนั้น  แต่ผมมิอาจห้ามความรู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าของผมได้  เราต่อสู้มาเป็นเวลาเกือบสิบปี แทบทุกวิถีทาง เพื่อป่าซึ่งเป็นเหมือนชีวิต ทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเรา แล้วเราจะทำร้ายชีวิตของเราเองได้อย่างไร  เราได้พิสูจน์มาแล้วพอสมควร ต้นไม้ ป่าไม้ก็เป็นพยานเป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ไว้ใจเราอยู่ดี 

เหมือนเราเกิดมาภายใต้คำแช่งสาปบางอย่างที่ไม่มีวันแก้มันได้  เราเกิดมาผิดที่หรือผิดที่เราเกิดมา  

ช่วงที่ผมกำลังพูดอยู่บนเวทีนั้นความคิดเหล่านี้ได้มาโจมตีสมาธิของผม จนเสียงพูดของผมเริ่มสั่นกลายเป็นคลอนสะอื้ ผมพยายามหยุดพูดเพื่อให้สถานการณ์ บรรยากาศและอารมณ์ของผมจะได้กลับมาสู่ภาวะปกติ

แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมควบคุมมันไม่ได้จริงๆ จนหยดน้ำจากมุมตาเอ่อล้น เต็มเป้าตา แล้วค่อยๆ ร่วงไหลเป็นน้ำตาออกมา โดยไม่ได้เจตนา

ผมต้องฝืนร้องเพลงหน่อฉ่าตู ทั้งที่อารมณ์และความรู้สึกไม่อยู่ในภาวะปกติ เพลงจบไปอย่างสะอึกสะอื้น ผมไม่ทราบว่าคนที่ได้ฟังในวันนั้นจะรู้สึกอย่างไร เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน ว่ามันเกิดขึ้นบนเวทีอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

ผมต้องกราบขอโทษคนที่มาฟังในวันนั้น  ที่ผมได้ทำให้เสียบรรยากาศ และเสียอารมณ์ในการฟังเพลง แต่ผมอยากบอกว่า นั่นแหละคือความรู้สึกที่แท้จริงที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอ ที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมตลอดมา

แต่เมื่อชะตาลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ เราก็จะต้องเคลื่อนไหวกันต่อไป ต้องเป่าร้องกันต่อไป ต้องขับขานบรรเลงกันต่อไป ต้องขีดเขียนกันต่อไป ต้องพูดคุยสื่อสารกันต่อไป โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ  จะได้รับรู้และเข้าใจพวกเรา    แล้วอะไรต่าง ๆ ก็คงจะดีขึ้นบ้าง  โดยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???

แม้จะเกิดในที่ที่ต่างกัน  ระบบการปกครองที่ดูเหมือนจะต่างกัน แต่เราคนรากหญ้า คนด้อยโอกาส คนจน และประชาชนไม่เคยห่างเหินและปราศจากจากน้ำตาแห่งความทุกข์ยากจากผลแห่งนโยบายการบริหารปกครองบ้านเมืองได้เลย 

“มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???”

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
“ตั้งสายได้แล้ว วิธีการเล่นล่ะ?” ลูกชายกำลังไฟแรงอยากเรียนรู้ “ใจเย็นๆ ก่อนอื่นต้องฝึกร้องเพลงให้ได้ก่อน ถ้าร้องเพลงไม้ได้ จำทำนองเพลงไม่ได้ จะเล่นได้ไง” พ่อค่อยๆสอนลูกชาย “เอางี๊ เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นและชอบสอนเด็กบ่อยๆ ซักสองสามท่อนนะ” แล้วพ่อก็เริ่มเปล่งเสียงร้องและให้ลูกชายร้องตามที่ละวรรค
ชิ สุวิชาน
พ่อได้ดื่มชาในกระบอกไม้ไผ่จนหมดไปกว่าครึ่งหนึ่ง แล้วจึงวางลง“เดิมทีนั้น เตหน่ากูมีจำนวนสายเพียง 5-7สาย แต่ต่อมาได้มีการเพิ่มเติมสายในการเล่นเป็น 8-9สายหรือ 10-12หรือมากกว่านั้นก็ได้” พ่อหยิบเตหน่ากูและเล่าให้ลูกชายฟัง“ทำไมจำนวนสายไม่เท่ากันล่ะ?” ลูกชายถามผู้เป็นพ่อ“มันขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของผู้เล่นแต่ละคน ชอบและถนัด 7 สายก็เล่น7 สายชอบน้อยกว่านั้นก็เล่นน้อยกว่าก็ได้ หรือชอบมากกว่านั้นก็เล่นมากกว่านั้นก็ได้” พ่อตอบสิ่งที่ลูกชายสงสัยในการตั้งสายเตหน่ากูแบบไมเนอร์สเกล (Minor scale) นั้นเริ่มจาก 5-7 สายโดยมีตัวโน๊ตหลักตามไมเนอร์สเกลอยู่ 5 โน้ต ได้แก่ โด (D) เร (R)  มี (M) โซ (S) ลา…
ชิ สุวิชาน
ความมืดกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง เช่นเดียวกับไม้เกี๊ยะที่มาจากแกนไม้สนสองใบต้องถูกเผาเพื่อผลิตแสงสว่างในครัวบ้านปวาเก่อญออีกครั้ง กาต้มน้ำที่ดำสนิทด้วยคราบเขม่าควันไฟถูกตั้งบนเหล่อฉอโข่อีกครั้ง กลิ่นชาป่าขั้วหอมทำให้โสตประสาทกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาพร้อมเข้าสู่บรรยากาศการเรียนรู้ภายในบ้านไม้ไผ่หลังเดิมเตหน่ากู คืออุปกรณ์การเรียนรู้ถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ ของพ่อซึ่งเป็นผู้สอนหนึ่งตัว ของลูกซึ่งเป็นผู้เรียนหนึ่งตัว รูปร่างลักษณะเตหน่ากูแม้ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีรูปทรงที่คล้ายๆกัน  มีตัวท่อนไม้ใหญ่ และมีกิ่งไม้ที่โค้งงอเมื่อพ่อเห็นว่าลูกชายพร้อมที่จะเริ่มการรับความรู้แล้ว …
ชิ สุวิชาน
“พี่น้องครับ พี่ชายคนนี้ยังคงทำหน้าที่ต่อ ณ ตรงนี้ครับ ขอมอบเวทีต่อให้พี่ครับ” ผมพูดจบผมกลับไปที่นั่งของผมเพื่อเป็นคนดูต่อแม่น้ำสายนี้ยังคงไหลไปตามกาลเวลาฯ....................................................ฉันผ่านมา  ผ่านมาทางนี้ ผ่านมาดูสายน้ำ.............ได้รู้ได้ยิน..............ฯบทเพลงแรกผ่านไปต่อด้วยสาละวิน สายน้ำตาเสียงปืนดังที่กิ่วดอยลูกชายไปสงครามเด็กน้อยผวาตื่น(ทุกคืนๆ)
ชิ สุวิชาน
“ผมมีเพื่อนปกาเกอะญอมาด้วยคนหนึ่ง” ผมบอกกับคนดูผมได้ไปพบ และได้ไปฟัง เพลงที่เขาร้อง ณ ริมฝั่งสาละวิน ทำให้ผมเกิดความประทับใจในท่วงทำนองและความหมายของบทเพลงรวมทั้งตัวเขาด้วยผมทราบมาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่  ผมจึงไม่พลาดโอกาสทีจะชักชวนเขามาร่วม บอกเล่าเรื่องราวของชนเผ่า ผ่านบทเพลงที่ผมประทับใจ ซึ่งแรก ๆ นั้น เขาแบ่งรับ แบ่งสู้  ที่จะตอบรับการชักชวนชองผม แต่ผมก็ชักแม่น้ำทั้งห้า จนเขาหมดหนทางปฏิเสธ“ผมไม่คุ้นเคยกับการร้องเพลงต่อหน้าคนมาก ๆ นะ” เขาออกตัวกับผมก่อนวันงาน แต่เมื่อถึงวันงานเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาเดินออกมาแบบเกร็งๆ และประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาจะยืนตรงก็ไม่ใช่…
ชิ สุวิชาน
ณ ห้องเล็กๆ แถวสี่แยกกลางเวียง เมืองเชียงใหม่ เก้าอี้ถูกเรียงเป็นแถวหน้ากระดานประมาณร้อยกว่าตัว  ข้างหน้าถูกปล่อยว่างเล็กน้อยสำหรับเป็นพื้นที่ตั้งเครื่องเล่นดีวีดีและโปรเจคเตอร์เพื่อฉายสารคดี ใกล้เวลานัดหมายผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาทีละคน ทีละคู่ ทีละกลุ่ม“เค้าไม่อยากให้เราพูดถึงเรื่องการเมือง แต่เราอาจพูดได้นิดหน่อย” เจ้าหน้าที่ FBR กระซิบมาบอกผมเกี่ยวกับความกังวลของเจ้าของสถานที่ ผมยิ้มแทนการสนทนาตอบ เพียงแต่คิดในใจว่า หากการเมืองคือความทุกข์ยากของประชาชน ของชาวบ้านคนรากหญ้าก็ต้องพูดให้สาธารณะได้รับรู้ เพื่อจะหาช่องทางในการช่วยบรรเทาทุกข์ของประชาชน…
ชิ สุวิชาน
หลังจากดูสารคดีด้วยกันจบ “ผมอยากฉายสารคดีชุดนี้สู่สาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่คนทั่วไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากให้คุณมาร่วมเล่นดนตรีด้วย คุณ โอ เค มั้ย” เขาถามผมผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร  ผมรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมบอกกับตัวเองว่า เพียงแค่เห็นใจและเข้าใจอาจไม่เพียงพอ   หากสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสื่อสารเรื่องราวของผู้ทุกข์ยาก โดยเฉพาะคนชนเผ่าเดียวกันได้  มันก็ควรทำไม่ใช่หรือหลังจากผมตอบตกลงเขา เราทั้งสองได้พูดคุยประสานงานกันเกี่ยวกับงานอยู่เรื่อย ๆ จนเวลาลงตัวในวันที่ 21 ธันวาคม ศกนี้ ณ สมาคม AUA เชียงใหม่ ในหัวข้อ “…
ชิ สุวิชาน
ต่า หมื่อ แฮ ธ่อ เลอ โข่ โกละ         ตา ข่า แฮ ธ่อ เลอ โข่ โกละอะ เคอ กิ ดิ เค่อ มี โบ            มา ซี ปกา ซู โข่ อะ เจอผีร้ายโผล่มาทางริมฝั่งสาละวิน        แมงร้ายโผล่มาทางลำน้สาละวินเสื้อผ้าลายเหมือนดั่งต้นบุก        มาเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตคน(ธา บทกวีคนปกาเกอะญอ)“คุณเคยติดตามสถานการณ์ทางรัฐกะเหรี่ยงประเทศพม่าบ้างไหม” เสียงผู้ชายโทรศัพท์มาถามผมด้วยภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง“ผมทำงานในองค์กรชื่อFree Burma Rangers ครับ”…
ชิ สุวิชาน
เขานั่งอยู่แถวหน้า และเขาโบกไม้โบกมือขณะที่ผมกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนเวที  ในมหกรรมคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ซึ่งจัดโดยสำนักประชาสัมพันธ์ร่วมกับองค์กรยูเนสโก้  ในงานได้มีการเชิญศิลปินชนเผ่าหลักทั้ง 7 เผ่า ได้แก่ ม้ง อาข่า ลีซู ลาหู่ เมี่ยน ไทยใหญ่และกะเหรี่ยง รวมทั้งยังมีศิลปินล้านนา อาทิ ครูแอ๊ด  ภานุทัต  คำหล้า ธัญาภรณ์ น้อง ปฏิญญา และไม้เมืองนอกจากนี้มีทายาทของสุนทรี  เวชชานนท์ ราชินีเพลงล้านนา คือน้องลานนา มาร่วมร้องเพลง ธีบีโกบีกับทอดด์ ทองดี ศิลปินจากรัฐเพนโซเวเนีย…
ชิ สุวิชาน
เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มที่สั้นที่สุด เลื่อนไปยังหมายเลขเก้า ทุกคนจึงขึ้นรถตู้ เคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแสงอรุณ  เมื่อถึงมีทีมงานเตรียมข้าวกล่องไว้รอให้ทาน พอทานข้าวเสร็จพี่อ้อย ชุมชนคนรักป่า ก็มาบอกผมว่า  งานจะเริ่มบ่ายโมง  พร้อมกับยื่นใบกำหนดการให้ผมดู  ผมตื่นเต้นนิดหน่อยพอบ่ายโมง งานก็เริ่มขึ้น โดยการฉายสไลด์เกี่ยวกับป่าชุมชนที่หมู่บ้านสบลาน อำเภอสะเมิงเชียงใหม่   "ถ้าถึงคิวแล้วจะมาเรียกนะ” ทีมงานบอกกับผมในระหว่างที่ผมรออยู่หน้างานนั้น ผมก็ได้เจอกับนักเขียน นักดนตรี นักกวี ที่ทยอยมา ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ผมรู้จัก และกำลังรู้จัก และที่ไม่รู้จักด้วย …
ชิ สุวิชาน
บุ เต่อ โดะ นะ แล บุ เออบุ ลอ บ ะ เลอ ต่า อะ เออชะตา วาสนาช่างรันทดต้องเผชิญแต่สิ่งลำเค็ญ