Skip to main content

..นักสหภาพหลายๆคนมักมาสอบถามกับผู้เขียนบ่อยๆว่า ทำไมฝ่ายบุคคลมักมีทัศนะคติที่เลวร้ายกับสหภาพหรือที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมหาวิทยาลัยสั่งสอนให้มองสหภาพในแง่ไม่ดีรึเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่พวกนักศึกษาที่จบไปเป็นฝ่ายบุคคลในโรงงานนั้น เขามองสหภาพแรงงานอย่างไร เราจึงจัดทำบทสัมภาษณ์สั้นๆชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเขา (ว่าที่ฝ่ายบุคคล) คิดยังไงกับเรา(สหภาพแรงงาน)..

วารสารสหายแรงงาน* สัมภาษณ์นางสาวสุวิมล สะอิ้งแก้ว นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อพูดถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เหล่าบรรดานักสหภาพแรงงานทั้งหลายคงรู้จักกันดี หลายสถานประกอบการ ฝ่ายบุคคลกับสหภาพแรงงานก็ทางานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ในขณะที่หลายสถานประกอบการ(ส่วนใหญ่)ฝ่ายบุคคลมักจะเป็นศัตรูอันดับต้นๆของสหภาพแรงงานเลยก็ว่าได้ เพราะมักใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้งโดยถูกกฏระเบียบ เพื่อทำให้สหภาพแรงงานในสถานประกอบการณ์นั้นปิดตัวลงไปให้ได้ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบางท่านเปลี่ยนสถานประกอบการณ์มาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะมีหน้าที่หลักคือรับจ้างปิดสหภาพแรงงานอย่างเดียว พอปิดได้ก็หมดหน้าที่ต้องย้ายสถานประกอบการณ์เพราะบริหารงานบุคคลไม่เป็น

นักสหภาพหลายๆคนมักมาสอบถามกับผู้เขียนบ่อยๆว่า ทำไมฝ่ายบุคคลมักมีทัศนะคติที่เลวร้ายกับสหภาพหรือที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมหาวิทยาลัยสั่งสอนให้มองสหภาพในแง่ไม่ดีรึเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่พวกนักศึกษาที่จบไปเป็นฝ่ายบุคคลในโรงงานนั้น เขามองสหภาพแรงงานอย่างไร เราจึงจัดทำบทสัมภาษณ์สั้นๆชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเขา (ว่าที่ฝ่ายบุคคล) คิดยังไงกับเรา(สหภาพแรงงาน)

ในฐานะที่เป็นนักศึกษาที่มีเป้าหมายในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์(HR) อยากถามคุณว่า รู้จักสหภาพแรงานหรือไม่และคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับอาชีพในอนาคตของคุณอย่างไร?

สาหรับคนที่เรียนทางด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ แน่นอนว่าต้องรู้จักสหภาพแรงงาน เพราะสหภาพแรงงานคือการรวมตัวกันของพนักงานในองค์กร เพื่อเรียกร้อง ปกป้อง คุ้มครอง ความเป็นธรรมให้กับพนักงาน ไม่ให้ถูกนายจ้างเอาเปรียบ ทั้งนี้ในมุมมองของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (ฝ่ายบุคคล) บางส่วนทั้งจากที่ได้เรียนหรือได้อ่านบทความ สหภาพแรงงานไม่ใช่สิ่งที่นายจ้างต้องการนักเพราะการมีสหภาพแรงงาหมายถึงอำนาจ ผลประโยชน์ของนายจ้างที่ลดลง และ HR (ฝ่ายบุคคล) เองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุที่ตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมานั้น มีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพนักงานทั้งหมดหรือเพียงแค่ปกป้องกลุ่มผู้นำของสหภาพแรงงานกันแน่ บางครั้งการเรียกร้องของสหภาพแรงงานต่อนายจ้างในเรื่องต่างๆ ก็ทำให้นายจ้างมองว่าสหภาพแรงงานคือตัวปัญหาขององค์กร เพราะหากพูดกันตามจริง ปัจจุบันก็มีหลายกรณีที่พนักงานถูกเลิกจ้างเพียงเพราะเขาเข้าร่วมกับสหภาพแรงงาน แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ามันเป็นเพียงมุมมองส่วนหนึ่งของคนที่ทางานทางด้านนี้ยังมีอีกหลายมุมมองของคนที่ทำงาน HR(ฝ่ายบุคคล) ที่มองสหภาพแรงงานต่างกันไป

แต่ถ้าถามในมุมมองของดิฉัน ซึ่งยังไม่ได้เผชิญสภาพการทำงานจริง หากแต่เป็นเพียงผู้ที่กำลังศึกษาด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HR) ดิฉันมองว่า สหภาพแรงงาน ถือเป็นสีสันขององค์กร และเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของฝ่ายบุคคล(HR) และผู้บริหารของแต่ละองค์กร ทั้งนี้เพราะเราต้องไม่ลืมว่าแนวโน้มขององค์กรในปัจจุบัน เขาไม่ได้มองคนทางานเป็นเครื่องจักรอีกแล้ว แต่เขามองว่าคนเป็นสินทรัพย์ที่สาคัญ และจะช่วยให้องค์กรพัฒนาขับเคลื่อนต่อไปได้ ดังนั้นการประสานผลประโยชน์ระหว่างพนักงาน หรือในที่นี้อาจหมายถึงสหภาพแรงงาน กับ องค์กรให้ดี ปัญหาที่องค์กรกลัวว่าจะเกิด มันก็จะไม่เกิดขึ้น และพนักงานหรือสหภาพแรงงานเอง หากร่วมมือกับองค์กร ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อตกลงที่ทากันไว้ ไม่นัดหยุดงาน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล(HR) กับ สหภาพแรงงานจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ แต่ทั้งนี้ความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันนั้นเห็นว่าบริษัทจะต้องเป็นผู้เดินเข้าหาสหภาพแรงงานก่อนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจขององค์กร ปัญหาหรือมุมมองแง่ลบที่เกิดกับสหภาพแรงงานในปัจจุบันเกิดเพราะ องค์กรละเลยปัญหาในเรื่องนี้ และเห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งสาคัญ จนทำให้ปัญหาที่ควรจะแก้ได้ง่ายๆเพียงแค่การพูดคุยกัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ และแก้ไขยาก เพราะการที่องค์กรหรือฝ่ายบุคคล ละเลยปัญหาเล็กๆไป มันจะกลายเป็นการสะสมปัญหาให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเปรียบเหมือนกับระเบิดเวลาที่ค่อยๆขยายความรุนแรงมากขึ้นๆ

ความรุนแรงที่มาพร้อมกับความคิดในแง่ลบที่เกิดกับองค์กร และพอมาถึงจุดๆหนึ่ง มันก็ระเบิดออกมา กลายเป็นการนัดหยุดงานก็ดี การประท้วง ฯลฯ ทาให้องค์กรเกิดความเสียหาย ทั้งในแง่ของผลประโยชน์และภาพลักษณ์ ทั้งนี้สหภาพแรงงานเองก็ควรเปิดใจต่อนายจ้างเช่นกัน เพราะแน่นอนว่าหากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแรงปะทุของระเบิดเวลานั้นรุนแรงถึงขั้นที่ทาให้บริษัทล้ม พนักงานก็ต้องล้มตามอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นวิธีแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุดระหว่างในการอยู่ร่วมกันของนายจ้างกับสหภาพแรงงานคือ การพูดคุยกัน ประสานผลประโยชน์ระหว่างกันให้ได้ พนักงานทำงานเต็มศักยภาพภายใต้สวัสดิการค่าจ้างที่เป็นธรรม ประสิทธิภาพทางการผลิต ของบริษัทก็ออกมาดี บริษัทเองก็อยู่ได้ แต่คาว่าอยู่ได้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอยู่ได้เพราะกำไรมหาศาล แต่หมายถึงการอยู่รอดต่อไปได้ขององค์กรอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เพราะบริษัทต้องไม่ลืมว่าผู้บริโภค ลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ต้องการ สินค้าและบริการที่มีราคาถูกอีกแล้ว หากแต่ต้องการสินค้าและบริการที่ผ่านการผลิตที่ให้ความสนใจต่อ Stakeholders(หุ้นส่วนทางการผลิต) ทุกภาคส่วน และ Stakeholders(หุ้นส่วนทางการผลิต) ที่สาคัญในปัจจุบันนอกเหนือจากผู้ถือหุ้นก็คือ พนักงาน ชุมชนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม

ถ้าหากองค์การไม่ให้ความสาคัญกับสหภาพแรงงาน ซึ่งถือเป็น Stakeholders(หุ้นส่วนทางการผลิต) ที่สาคัญลาดับต้นๆแล้ว เกิดมีพนักงานออกมาประท้วง ภาพลักษณ์ของบริษัทต่อลูกค้าหรือผู้บริโภคก็จะเสียไป นำไปซึ่งความไม่ไว้วางใจในตัวสินค้าและบริการของบริษัทในที่สุด

(*หมายเหตุ : บทความนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกใน “วารสารสหายแรงงาน” ฉบับที่ 1 ประจำเดือนกันยายน วารสารดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นโดยการร่วมมือกันระหว่าง กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กลุ่มนักศึกษาสภากาแฟ(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต) และกลุ่มประกายไฟ )

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
 "...ถ้ารัฐไม่มีหน้าที่บริการประชาชน มหาวิทยาลัยก็จะทำให้เป็นของเอกชน โรงพยาบาลก็จะเป็นเอกชน รถเมล์ น้าประปา ไฟฟ้า ก็จะต้องเป็นของเอกชน แล้วเราจะมีรัฐไปทำไม” เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กล่าว  
ประกายไฟ
จริงอยู่ที่ทางกลุ่มแอดมินไทย อาจจะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่อยู่คนละข้าง คนละสี....(บอกมาเถอะว่าสีอะไรปิดไม่มิดหรอก) กับสมาชิกในเพจที่เป็นเพื่อนร่วมชาติชาวไทย แต่นี้มันเพจระหว่างประเทศ ที่ผู้เขียนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในเพจมีสิทธิที่จะบอกความเป็นจริง....(รับได้ไหมท่านแอดมิน???)...  
ประกายไฟ
..นักสหภาพหลายๆคนมักมาสอบถามกับผู้เขียนบ่อยๆว่า ทำไมฝ่ายบุคคลมักมีทัศนะคติที่เลวร้ายกับสหภาพหรือที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมหาวิทยาลัยสั่งสอนให้มองสหภาพในแง่ไม่ดีรึเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่พวกนักศึกษาที่จบไปเป็นฝ่ายบุคคลในโรงงานนั้น เขามองสหภาพแรงงานอย่างไร เราจึงจัดทำบทสัมภาษณ์สั้นๆชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเขา (ว่าที่ฝ่ายบุคคล) คิดยังไงกับเรา(สหภาพแรงงาน)..
ประกายไฟ
..ทำไมคนส่วนใหญ่มักชอบพูดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาทีระบบสวัสดิการที่ดีเยี่ยม จนเป็นประเทศในฝันของทุกคน เมื่อได้อ่านความเป็นจริงจากบทความชิ้นนี้แล้วคงทำให้เรามองสหรัฐอเมริกาในแง่ความเป็นจริงมากขึ้น และเลิกพูดมั่วๆซะที ว่าอเมริกามีสวัสดิการดีกว่าไทย
ประกายไฟ
...การที่รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา รวมถึงรัฐบาลชุดนี้กำลังจะขึ้นภาษีทางอ้อมจาก 7 เป็น 10% นั้นถือว่าเป็นการเปิดศึกทางชนชั้นกับชนชั้นกรรมกรและคนระดับล่างของสังคมโดยตรง คือ โยนภาระก้อนโตให้คนระดับล่างเป็นผู้จ่าย โดยที่คนร่่ำรวยลอยตัว...
ประกายไฟ
...ดูๆไปแล้วดันไปสะดุดตรงเหตุการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นที่ดันตรงกับช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี แหมมมมมมมมมมมม เล่นเล่าซะ คณะผู้ก่อการดูเป็นตัวร้ายไปถนัดตา แถม ร.7 ยังดูน่าสงสารจนเกินเหตุ “ตั้งแต่เกิดมาไอ้เคนยังไม่เห็นว่าในหลวงท่านจะทำอะไรไม่ดีเลย” “เหาจะกินกระบาล” 5555 เอาละวะ ...  
ประกายไฟ
อธิการ.มทส. ค้านนศ.แต่งกายข้ามเพศ เข้ารับปริญญาฯ อ้างเป็นบัณฑิตต้องมีคุณธรรม จริยธรรม รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โต้ประเทศนี้อ้างอะไรไม่ได้ ก็อ้างคุณธรรมจริยธรรมปลอมๆ กลวงๆ ย้ำคุณธรรมของบัณฑิตต้องมีจิตใจที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่เป็นอยู่
ประกายไฟ
ผมท้าเลยครับ หลังจากเผาอากง อากงจะถูกลืม..เว้นแต่เรียก กม. "ม.112" ว่า "อากง" เราจะไม่มีทางลืมอากง เพราะมันก็จะอยู่อย่างนี้อีกนานเท่านาน - ด้านเกษียร ตอบ ความทรงจำของสังคมไม่ได้เป็นเรื่องอัตโนมัติ หากต้องสร้างและผลิตซ้ำขึ้น แม้แต่การเอาชื่อไปวางไว้เป็นสมญาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะได้รับการจดจำจากสังคมหรือจำอย่างถูกต้องครบถ้วนแม่นยำ  
ประกายไฟ
 ..สิ่งที่เรียกว่า "ตลาดไม้โบราณ" ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดใหม่ในยุค ร.4 - ร.6 เป็นยุคที่ พ่อค้าจีน (โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋ว) ที่ ได้เป็นเจ้าภาษีสินค้าต่างๆ เช่น มะพร้าว น้ำตาล อ้อย เป็นต้น จนเกิดชุมทางการค้ามากมายตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ทั้งนครชัยศรี ราชบุรี แม่กลอง มหาชัย สามชุก ฯลฯ (ดูดีๆ ทุกๆที่ๆเป็นตลาดไม้โบราณล้วนมีสถานที่ๆเรียกว่า “โรงเจ” และ “ศาลเจ้าทรงเก๋งจีน” แทบทุกๆแห่ง) ที่เรียกว่าสิ่งใหม่ๆสำหรับคววามเป็นไทยในยุคนั้น..
ประกายไฟ
สาระหลักที่น่าสนใจของเรื่องแม่นั้นอยู่ที่จิตสำนึกของปัจเจกชนที่ต่างจากปัจเจกชนในวรรณกรรมรัสเซียเล่มดังๆที่ส่วนใหญ่มุ่งเสนอการดิ้นรนเอาชีวิตของตัวเองให้รอดไปวันๆ เป็นปัจเจกชนที่กำหนดชะตาชีวิตของตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
ประกายไฟ
แนะสภาฯเดินหน้าวาระ3 มั่นใจผ่านฉลุย พร้อมด้วยสนทนากับนายซิม ไฮแอท เยาวชนผู้อดข้าวหน้าพรรคเพื่อขอให้นายอภิสิทธิ์ถอนคำพูดเหยียดคนเสื้อแดง
ประกายไฟ
"..คุณอาจจะคิดเอาง่ายๆว่าขอแค่เพียงคุณเป็นคนรักเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเผชิญกับความบ้าคลั่งของพวกคลั่งเจ้า (ชี้แจงเพิ่มเติมไว้หน่อยว่าสำรับผม "รักเจ้า" กับ "คลั่งเจ้า" นี่ไม่เหมือนกัน) แต่จากกรณีคุณโกวิทก็เป็นอีกตัวอย่างรูปธรรมหนึ่งที่ทำให้เราเห็นได้ว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร รักหรือไม่รักเจ้า คุณจะมีโอกาส/มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญความบ้าคลั่งแบบนี้ได้ทั้งนั้น"