Skip to main content

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน


ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน


ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์

 

ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งเราก็เป็นนักพัฒนาตัวเองไปในตัวด้วย เพราะในแต่ละครั้งที่ได้ทำงานกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่งานที่ต้องทำกับตัวเอง การทำงานนี้ก็เป็นการขัดเกลาให้เกิดคุณค่าภายในตัวเอง เป็นการสร้างประโยชน์แก่ตนในการเพิ่มพูนทักษะ ความสามารถ ศักยภาพ และวิธีคิด ทัศนคติต่างๆ ในการมองโลก และการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม

ในแง่มุมของการทำงานนั้น มีหลายคนที่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาที่จะสำรวจจิตใจตัวเอง หรือการได้กลับมามอง ความสุข ความทุกข์ ความรัก ความสัมพันธ์ และพลังชีวิตด้านในของตน แต่ก็สนุกกับการทำงาน การคิด วิเคราะห์ ถกเถียง อภิปราย และลงมือปฏิบัติทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งการทำงานที่เคร่งครัดต่างๆ เหล่านี้ บ่อยครั้งที่นำพาความตึงเครียดมาสู่คนทำงาน กลายเป็นบรรยากาศการทำงานที่เคร่งขรึม ไม่มีความสุข ขาดกำลังใจในการทำงาน และยังทำให้การทำงานไม่สามารถดำเนินการไปได้ตามที่คาดหวังไว้ และทำให้สมดุลในชีวิต ความรักและความสัมพันธ์สะดุดลง


สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มีหลายองค์กรหน่วยงาน ที่เริ่มต้นให้สมาชิกในองค์กรมีกิจกรรมในการหันกลับมารู้ใจตัวเอง อยู่กับตัวเอง มาจัดการดูแลความสุข ความทุกข์ และเสริมสร้างพลังจากภายในจิตใจของตน ผ่านการภาวนาในรูปแบบต่างๆ บ้างก็ไปฝีกอบรมแนวจิตวิญญาณ บ้างก็ทำกิจกรรมกันเอง เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ทำงานอย่างมีความสุข และมีพลังใจในการทำงานร่วมกัน


การกลับมาดูแลจิตใจตัวเองของคนทำงาน ถือเป็นเรื่องที่ควรทำไปพร้อมๆ กับการทำงานเพื่อผู้อื่น นั้นคือ นอกจากจะเป็นการสร้าง
“ปัญญา” จากภายในตัวเองแล้ว การทำงานกับคนอื่นด้วยความกรุณา เมตตา ปรารถนาดีก็เป็นความสมดุลที่จะนำพาความเข้าใจ ความสุข มาสู่การทำงานอย่างแท้จริง


ฉะนั้นแล้วปรากฏการณ์นี้ จึงเป็นบรรยากาศ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทำงานในระดับองค์กร และเครือข่าย ได้กลับมาพูดคุยสอบถามความสุขความทุกข์ของกัน มีความสัมพันธ์กันในแง่
“ความเป็นคน” มากกว่า “ความเป็นงาน” ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในองค์กรที่ปิดกั้นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันของนักทำงานพัฒนาสังคม


ดังนั้นแล้ว คนทำงานสังคม ไม่ว่าจะอยู่ระดับใดก็ตาม ก็ย่อมเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ในชีวิต เจอเรื่องที่ทุกข์ใจ สุขใจ เปลี่ยนแปลงไปมา ด้วยเหตุนี้การวางความคิด การใช้หัวสมอง หรือแม้แต่ถอดหมวกบทบาทหน้าที่และนำใจตัวเองกลับมาดูแลเรียนรู้อารมณ์ “ความรู้สึกภายใน” ตัวเองและคนรอบข้างจึงเป็นอีกเรื่องที่ควรทำให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ชีวิตความสัมพันธ์ที่สมดุลและอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจและมีความสุข

 


ใช้ความเป็นคนเข้าหากัน


ในความหลากหลายทางเพศ รสนิยมทางเพศ ชีวิตทางเพศ หรือแม้แต่รูปแบบความสัมพันธ์ทางเพศของคนนั้นมีมากมายแตกต่างกันไปตามสภาพสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมของแต่ละคน ทว่าการอยู่ร่วมกันอย่างไรที่จะทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้อย่างเคารพและเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายนี้ย่อมเป็นเรื่องท้าทายของแต่ละคนที่จะเข้าหาปฏิสัมพันธ์กัน


การอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพและเข้าใจนี้ หลักการสำคัญหนึ่งคือ
“ใช้ความเป็นคนเข้าหากัน” ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีรสนิยมทางเพศแบบใด มีชีวิตทางเพศแบบไหน สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องเราควรมองข้ามไป เพื่อนำมาสู่ความจริงแท้ของแต่ละคนนั้นคือ “ความเป็นคน” เช่น ไม่ว่าเรารักใครก็ตามเรารักในความเป็นคนของเขา ไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาเป็นชายหรือเขาเป็นหญิง หรือ หญิงรักหญิงก็จำเป็นต้องเป็นทอมกับดี้ตามความเข้าใจของคนทั่วไป แต่อยู่ที่ว่า คนสองคนมีความรู้สึกดี และมีความรักแก่กัน


เมื่อเรามองตัวเองว่าเราเป็นคนๆ หนึ่งที่เติบโตมา มีสรีระทางเพศที่แตกต่างกัน และความเป็นเพศก็เป็นสิ่งที่หล่อหลอมขัดเกลาของสังคม และวัฒนธรรม ที่บอกเราเสมอว่าลักษณะแบบใดที่เรียกว่าชาย หรือหญิง
, ลักษณะแบบใดเรียกว่าชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง และพฤติกรรมทางเพศแบบใดที่ปกติ หรือผิดปกติ สิ่งที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจาก “ความคิด” ที่เรานิยามความหมายให้ค่ากับความเป็นเพศของคนนั้นๆ จนกลายเป็น “ความคิดฝังหัว” ที่เราได้ตัดสินแบบตายตัว ว่าแบบไหนคือใช่ หรือไม่ใช่ ซึ่งสิ่งที่เกิดจากความคิดได้ให้ค่าในความเป็นคนของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป โดยเอาประเด็นเรื่องเพศมาเป็นเงื่อนไขกำกับ และโดยมากจะตัดสินความเป็นคนบนฐานคิดเรื่องเพศแบบ 2 ขั้วเท่านั้น


ดังนั้นก่อนที่เราจะเรียนรู้เรื่องเพศวิถีของคนแต่ละคน เราจึงควรวางเรื่องความคิดต่างๆ ลงก่อน และกลับมามองที่ความเป็นคน กลับมาสู่ความจริงแท้ในสิ่งที่เป็นมนุษย์ของคนแต่ละคน เพื่อให้เราสามารถที่จะสัมผัสประสบการณ์จริงของชีวิตที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในอดีตและปัจจุบันของแต่ละคนได้อย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่ความเคารพและเข้าใจในความเป็นคนของคนคนนั้น


ในความเป็นคนจริงแท้แล้ว ไร้เพศ ไม่มีชาย ไม่มีหญิง ไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่มีใช่หรือไม่ใช่ มีแต่ว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรที่เคารพในความเป็นมนุษย์ของคนนั้นๆ และเข้าใจในความเป็นคนที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อให้นำไปสู่ชีวิตที่ปลอดภัย ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่แบ่งเขา แบ่งเรา เลือกปฏิบัติและก่อให้เกิดความรุนแรง อันนำไปสู่ความเป็นสุขร่วมกันอย่างแท้จริง

 

 

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
ในสภาวการณ์ใกล้มรสุมช่วงนี้, คนสูงวัยมากมายเหล่านั้นต่างขะมักเขม้นทั้งกายและใจ กับการหาเสียงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงเพื่อการเข้าร่วมหรือจัดตั้งทางการเมืองครั้งใหม่อย่างสุดกำลังตัวเสริมที่พวกเขานำมาป่าวประกาศเพื่อให้ประชาชนเลือกนั้นคือ “นโยบาย” ของแต่ละพรรค (ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลมาเกี่ยวข้อง – ซึ่งมีมากจนไม่อาจกล่าวในที่นี่ได้) เช่นนี้แล้วเรามาดูกันที่นโยบายของพรรคการเมืองกันดีกว่าว่าได้กล่าวไว้อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะเลือกหรือไม่เลือกใคร หลายนโยบายของพรรคการเมืองต่างมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปทางการเมือง โดยเฉพาะการมุ่งหวังไม่ให้อำนาจเก่าได้กลับมามีอำนาจอีกและยังมีนโยบายต่างๆ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
 ลมฟ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนแปรไปตามสภาพ ฝนตกเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ลมหนาวเยือนมาพัดผ่านท้องทุ่งจนต้นข้าวโยกเอียง บ้างล้ม บางตั้งตระหง่าน ตอนเช้าๆ อากาศแถวบ้านผม, จังหวัดเชียงราย อำเภอพาน ตำบลแม่อ้อ บ้านแม่แก้วเหนือ อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ ชีวิตของผมทุกวันนี้ไม่เหมือนห้าเดือนก่อนที่ผ่านมา เพราะต้องย้ายสำมะโนครัวจากเชียงใหม่ กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย ซึ่งตลอดระยะเวลาสี่ปีที่อยู่เชียงใหม่ ผมได้พบเจอเรื่องราวหลายเรื่อง ทั้งการงาน ความรัก ชีวิต ความสัมพันธ์ เพื่อน ฯลฯ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่อยู่บ้านที่เชียงรายอย่างมากสภาพอากาศ ความสงบ การดำเนินชีวิต…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาถึงเชียงใหม่แสงแดดยามเช้าตรู่ ปลุกให้ผมตื่นจากการหลับใหล – เวลาทั้งคืนที่ผ่านมา, ผมนอนไม่ค่อยหลับ กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่รู้ว่าพี่บัวจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเป็นจะตายยังไง เป็นเรื่องที่คิดมาตลอดเส้นทางพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรงกับฝั่งที่ผมนั่งบนรถ พนักงานบริกรประจำรถพาร่างเล็กๆ ของเขาหยิบข้าวของขนมหวานนมกล่องให้ผู้โดยสารแต่ละคน “ท่านผู้โดยสารทุกท่าน เรายินดีนำท่านมาสู่จังหวัดเชียงใหม่....” พนักงานหญิงแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสาร ด้วยท่าทีกระฉับเฉงอรชร เชียงใหม่เช้านี้ ท้องฟ้าไม่ค่อยมีเมฆมาก พระอาทิตย์สีแดงที่เส้นขอบฟ้า ปล่อยแสงแสบปวดตา ผมลงจากรถทัวร์คันใหญ่ เดินมุงหน้าไปหารถแดง…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมจะได้รู้จักชีวิตในอีกมุมหนึ่งของคนที่ถูกเรียกว่า “แก๊ง” ได้มากกว่าที่คิดไว้แม้ว่าในช่วงแรกๆ ความสัมพันธ์ของผมกับเขาจะเป็นแบบ ถามเพื่อเอาข้อมูลไปทำโครงการ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่าการเก็บข้อมูล นั้นคือความผูกพันธ์ มิตรไมตรี และการช่วยเหลือกันและกันของเพื่อนๆ พี่ๆ ผมได้เรียนรู้ว่า ความจริงใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเรา เมื่อก่อนมีเขาและมีผม แต่ตอนนี้คำว่า “เรา” มันทำให้ไม่มีเขา ไม่มีผม หลายสิ่งที่ผมได้ทำ หรือเพื่อนๆ ได้ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่วัยอย่างพวกเราต้องเผชิญ อาจต่างกันมากน้อยคละเคล้ากันไปตั้งแต่จบมัธยมปลายมาหลายปี…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ต้นเดือนเมษายน – เทศกาลปีใหม่เมืองหรืองานสงกรานต์ใกล้เข้ามาถึงในอีกไม่กี่วัน วันหนึ่งพี่เหน่งโทรศัพท์มาหาผมเพื่อชวนผมไปเยี่ยมรุ่นน้องคนหนึ่งที่คุกแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผมไม่ปฏิเสธ และได้ตระเตรียมข้าวของต่างๆ เพื่อไปเยี่ยมรุ่นน้องพี่เหน่งไม่บอกว่าใครอยู่ในคุก เพราะอยากให้ผมได้รู้ด้วยตัวเองว่ามาหาใคร ไม่กี่นานพี่เหน่งก็มารับผมที่บ้านพัก แล้วรีบบึ่งรถไปยังจุดหมายโดยเร็วแดดร้อนแผดเผาไปทั่วใบหน้า รถชอบเปอร์คันโตของพี่เหน่งพาเราสองคนมาถึงคุกในไม่กี่อึดใจ พี่เหน่งเดินบ่ายหน้าเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อขอเยี่ยมผู้ต้องขัง…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ข้อมูลจากการพูดคุยกับคนทำงานด้านเยาวชน พบว่าวัยรุ่นชายที่อยู่ในกลุ่มมีความคึกคะนองสูง ดังนั้นในการเรียนรู้เรื่องสุขภาพ หรือการดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพ จึงเป็นเรื่องที่ถูกละเลย หรือมองข้ามความสำคัญไป หลายคนยังขาดความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพ มีความประมาท ยกตัวอย่างเช่น การสวมถุงยางอนามัย สลับกับไม่ใส่ แกล้งดึงหัวจุกถุงยางอนามัยออกเพื่อแกล้งให้เพื่อนหญิงท้อง พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการละเลยเรื่องการติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ไป ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องที่วัยรุ่น มีเรื่องชกต่อยกันทำให้เกิดการบาดเจ็บและถึงขั้นถูกดำเนินคดีและบางรายถูกตัดสินให้อยู่ในเรือนจำ เป็นต้นนอกจากในกลุ่มจะมีเด็กชายและ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
หากวัยรุ่นคนหนึ่งจะเข้ามาร่วมในกลุ่มนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการสมัคร หรือทดสอบก่อน คือ ใครต้องการเข้าร่วมกลุ่มก็สามารถเข้ามาทำความรู้จักได้เลย เพียงแค่มีความเป็นเพื่อนและจริงใจเท่านั้นการเข้ามาในกลุ่มแก๊งของคนใหม่ๆ หรือการพยายามสร้างตัวแทนของกลุ่ม นับว่าไม่ได้เป็นไปตามกรอบเกณฑ์ เพราะการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในกลุ่มแก๊ง เกิดขึ้นโดยระบบความสัมพันธ์แบบเพื่อนกับเพื่อน การเคารพผู้ที่อายุมากกว่าว่าคือรุ่นพี่ การเคารพผู้ที่อายุน้อยกว่าหรือรุ่นน้อง เป็นการสร้างความสัมพันธ์แนวราบ คือ การส่งต่อเพื่อนสู่เพื่อน พี่สู่น้อง…