Skip to main content

        เชื่อว่าหลายคนเวลาไปเดินเล่นร้านหนังหรือร้านดีวีดีมักจะได้เห็นหนังเกรดบีหลาย ๆ เรื่อง วางขายอยู่บนแผงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งต้องบอกว่า หนังเกรดบีเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพราะความนิยมของคนหลายคนที่อยากจะหาหนังอะไรง่าย ๆ ดูไม่ต้องคิดมาก ซึ่งอย่างที่เราเห็น หนังส่วนมากนั้นมักจะเป็นหนังเกรดบีง่าย ๆ อย่างสัตว์ประหลาดกินคน เป็นต้น แต่ที่ทำให้ใครหลายคนต้องสงสัยก็คือ ในบรรดาหนังสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่มักถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เกรดบีออกวางขายเสมอ ๆ และที่สำคัญนับวันพวกมันจะยิงไปไกลเกินกว่าที่ใครจะคิดเสียอีก

                นั่นก็คือ ฉลาม น่ะเองครับ

          ใครจะคิดว่า นับจากภาพยนตร์เรื่อง JAWS ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่ออกฉายเมื่อสามสิบปีก่อนนั้นจะเป็นการเปลี่ยนชีวิตของสัตว์โลกน้ำเค็มตัวนี้ไปตลอดกาล ดั่งคำที่โปรโมทหนังเรื่องนี้ของสปีลเบิร์กว่า แน่ใจหรือว่า ทะเลปลอดภัย ? ได้ทำให้ฉลามกลายเป็นสัตว์กินคนเบอร์ 1 ที่ใครหลายคนต่างหวาดกลัวไปเสียแล้ว และสปีลเบิร์กก็คงไม่คิดหรอกนะครับว่า ฉลามของเขาจะกลายพันธุ์ไปไกลชนิดกู่ไม่กลับไปเสียแล้ว แถมยิ่งนับวันฉลามจะพัฒนาตัวเองออกมาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนหลายเชื่อว่า มันจะครองโลกได้ในอนาคตจริง ๆ

          แต่ที่น่าสนใจก็คือ หนังฉลามไม่ได้มีคุณค่าเพียงแค่การเป็นหนังเกรดบีห่วย ๆ ไว้หลอกต้มคนดูเท่านั้น แต่หนังฉลามยังพากระโจนไปสำรวจโลกในมุมมองหนึ่งที่เราไม่คิดว่า หนังฉลามพวกนี้จะพาเราไปสำรวจได้

          1. ฉลามกับความกลัวของมนุษย์

          ต้องบอกว่า ก่อนหน้าที่ภาพยนตร์เรื่อง JAWS จะออกฉายนั้นก็มีคดีเกี่ยวกับคนถูกฉลามกัดอยู่เนื่อง ๆ อยู่แล้วครับ จนคนเริ่มมีความหวาดระแวงทะเลกันบ้าง แต่มาระเบิดเอาที่หนังเรื่องนี้แหละครับที่ทำให้คนไม่กล้าลงทะเลกันไปพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียวครับ แน่นอนว่า หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากนิยายของ ปีเตอร์ เบนช์ลีย์ ที่นำเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามโจมตีใส่ผู้คนมาเขียนออกมาเป็นหนังระทึกขวัญที่กลายเป็นผลงานแจ้งเกิดของผู้กำกับโนเนมในตอนนั้นแต่เป็นพ่อมดในตอนนี้อย่าง สปีลเบิร์ก ไปจนได้ เอาจริง JAWS เป็นหนังระทึกขวัญที่สร้างปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่างขึ้นในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านรายได้ที่ทำให้หนังขึ้นอันดับหนึ่งไปชั่วเวลาหนึ่ง การเปิดศักราชของหนังบล็อกบัสเตอร์ (หรือการเปิดโรงฉายเยอะ ๆ ปูพรมแบบทุกทุกวันนี้) แต่ที่สิ่งที่เรียกว่า JAWS ทำทิ้งเอาไว้ได้ดีก็คือ การทำให้หวาดกลัวทะเลไปเลย

          ก่อนหน้านี้ที่ JAWS จะออกฉายนั้น ทะเลมีสภาพเป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนในฝัน สถานที่ที่ใช้ในการผ่อนคลายในวันที่ร้อนและเหนื่อยยากของเหล่าคนชนชั้นกลางในวันหยุด ลองนึกภาพของทะเลที่เต็มไปด้วยผู้คนดูสิครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ทะเลเป็นที่พักผ่อนของพวกเขาจริง ๆ และที่น่าตลกก็คือ ทะเลเป็นเสมือนการพาตัวเองออกจากโลกอันแสนวุ่นวายของมนุษย์ชนชั้นกลางทั้งหลาย พวกเขามาที่นี่และทิ้งความเบื่อหน่าย ภาระอันหนักอึ้งลงบ่าและปลดปล่อยไปกับมันให้เต็มที่ และลองคิดดูสิครับว่า ถ้าสถานที่ในฝันแห่งนี้กลายเป็นฝันร้าย มันจะมีสภาพแบบไหน

          ตรงนี้เองที่ JAWS ใช้ได้ผล มันทำให้สถานที่ที่เหมือนจะปลอดภัยอย่างทะเลกลายเป็นที่ไม่ปลอดภัย ยิ่งไม่ต้องคิดถึงภาค 3 ของหนังที่ไปเกิดในสวนน้ำเองก็ยิ่งตอกย้ำว่า บางครั้งสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็อันตรายที่สุดได้เหมือนกัน อย่างที่โปสเตอร์ของหนังภาคสองเขียนไว้ว่า แน่ใจหรือว่า ทะเลปลอดภัยแล้ว ? มันยิ่งบอกเราว่า ความตายอยู่ใกล้ตัวเรามากเพียงใด เพราะไม่ใช่แค่ฉลามเท่านั้นที่น่ากลัวในทะเล เอาจริง มันมีความตายอยู่รอบตัวเรานั้นแหละ และนี่เองที่ทำให้ใครหลายคนมีอาการกลัวทะเลไปชั่วขณะหนึ่งเลย

          แน่นอนว่า การมาของ Snow Shark หรือ Avalanche Sharks ที่พาเราไปเจอกับฉลามบนภูเขาหิมะที่ฟังดูแล้วงี่เง่ามาก ๆ ในสายตาของใครหลาย ซึ่งถ้ามองกันดี ๆ แล้วมันคือ การรีเมค JAWS และเปลี่ยนสถานที่ไปเกิดในที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา (ตามสไตล์หนังเกรดบี) ทว่าผลของมันก็คล้ายกันตรงที่มันบอกเราว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยสำหรับเราหรอก

          ถ้าเราประมาทต่อให้ที่บ้านก็อาจจะเป็นสุสานสำหรับเรา ได้ทั้งนั้นแหละ

          ดังนั้นหนังอย่าง Swamp Shark , Shark Night หรือ Bait เองก็ขึ้นจากคำถามที่ว่า บางครั้งที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็นำพาอันตรายมาได้เสมอนั่นเอง

          2. ฉลามกับฝันร้ายของวิทยาศาสตร์

          ถ้ามองกันเผิน ๆ แล้วภาพยนตร์อย่าง Deep Blue Sea ของผู้กำกับเรนนี่ ฮาร์ลิน อาจจะเป็นเพียงหนังฉลามกินคนธรรมดาที่มีตัวละครโง่ ๆ ที่พร้อมจะหาเรื่องตายได้ทุกห้านาที กระนั้นเองที่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความโดดเด่นนอกจากการเล่าเรื่องที่สนุกและวิ่งอยู่กับสถานการณ์ติดกับใต้น้ำแล้ว มันยังพาเรากระโจนไปสำรวจสิ่งที่เรียกว่า ฝันร้ายจากวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าตื่นตะลึงเลยทีเดียว

          นับจากนิยายเรื่อง Frankenstein ของ แมร์รี่ เชลลี่ ออกวางขายเมื่อร้อยปีก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวต่อวิทยาศาสตร์ออกมาอย่างชัดแจ้ง เพราะ คนในยุคนั้นมองว่า มันเป็นการก้าวล่วงอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่จะกระทำการอย่างใดอยู่หนึ่งที่เสมือนการตั้งต้นเสมอเทพเจ้า นัยว่า มนุษย์ไม่ควรไปยุ่งกับพันธุกรรมหรือการสร้างสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า ตรงนี้ที่เราเห็นว่า มันเป็นงานเขียนที่สะท้อนภาพของศาสนาที่พยายามจะเอาชนะวิทยาศาสตร์ที่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ในทุกขณะ ทุกคำอธิบายที่งมงายของศาสนาโดนล้มล้างโดยวิทยาศาสตร์เสียหมด (ตั้งแต่โลกแบน ไปจนถึง โลกคือศูนย์กลางจักรวาล) และหากปล่อยไว้ พระเจ้าอาจจะถูกล้มล้างได้โดยวิทยาศาสตร์ก็ได้ ส่งผลให้มีงานเขียนที่เกี่ยวข้องกับความหวาดกลัวในวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น เพื่อบอกว่า บางครั้งเราก็ไม่ควรไปยุ่งกับอะไรที่ไม่ควรยุ่งน่ะเอง

          ดังนั้นนิยาย Frankenstein จึงเป็นเหมือนพิมพ์เขียวให้กับหนังระทึกขวัญสยองขวัญทั้งหมดที่สร้างขึ้นมาบนโลกว่า ถ้าคุณคิดล่วงล้ำอำนาจของพระเจ้าล่ะก็จะต้องเจอดี และอย่างที่เห็นไม่ใช่แค่ฉลามเท่านั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือตัดต่อทั้งหลายที่แสดงถึงการก้าวล่วงอำนาของพระเจ้าโดยมนุษย์แล้วล่ะก็

          มักประสบเคราะห์กรรมเหมือน ๆ กันแทบจะทั้งสิ้น ก็คือ มนุษย์ผู้คิดว่า ตัวเองคือพระเจ้าถูกสิ่งที่สร้างมาไล่กินไล่ฆ่าอย่างไร้ความปราณี

          Deep Blue Sea เองก็เช่นกัน ฉลามในเรื่องนี้ ฉลาดขึ้น ตัวใหญ่ขึ้นได้เพราะ นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้พยายามจะหาสร้างยารักษาโรคความจำเสื่อมให้ได้ โดยใช้ยีนส์สมองของฉลามเป็นวัตถุดิบ ทว่า สมองของฉลามไม่สามารถรับการทดลองนั้นได้ พวกเขาจึงละเมิดกฎด้วยทดลองให้ฉลามฉลาดขึ้นน่ะเองจึงไม่แปลกใจที่พวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อของฉลามที่ฉลาดขึ้นซึ่งพวกเขาสร้างขึ้นมาเองนี้กันไปที่ล่ะคนจนสุดท้าย แม้แต่ด็อกเตอร์ผู้สร้างมันขึ้นมายังเอาตัวไม่รอดเองเสียด้วยซ้ำ ทำให้เรานึกถึงสำนวนที่ว่า หมองูตายเพราะงูลอยขึ้นมาในสมองได้ในบัดดล ความวิบัติในหนังเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นเพราะ การละเมิดกฎหรือล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตที่มนุษย์ทั่วไปไม่ทำกันและส่งผลให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นอย่างที่เห็นกันน่ะเอง

          แน่นอนว่า หนังฉลามอื่น ๆ อย่าง Sharktopus หรือ Sharkman เองก็เกิดขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุเดียวกันคือ การทดลองของมนุษย์ที่ทำให้ฉลามพวกนี้กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดสุดสยองที่ออกไล่ล่าฆ่าคนที่สร้างมันจนต้องวุ่นวายมาไล่ล่ามันกันไปทั้งเรื่อง และดูเหมือนว่า มนุษย์จะยังไม่เข็ดเพราะ เรากำลังจะเห็นหนังอย่าง Mega Shark vs Macha Shark หรือฉลามเหล็กโผล่มาในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

          3. ฉลามกับนัยยะเชิงสงคราม

          ถ้าพูดประเด็นที่หนังสัตว์ประหลาดเกรดบีทั้งหลายมักจะนำมาใช้ในการสร้างเรื่องของสัตว์ประหลาดนั้นแล้วล่ะก็ประเด็นยอดนิยมที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือ ประเด็นที่ว่าด้วย การสร้างอาวุธพลังทำลายสูงนั่นเอง ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะเป็นประเด็นที่ปัญญาอ่อนมาก ๆ แต่เอาจริงแล้วก็มีการบันทึกเอาไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ามีความพยายามจะใช้สุนัขหรือกระทั่งปลาโลมาในการเป็นอาวุธเสียด้วยซ้ำไป และในช่วงสงครามเย็นที่เกิดขึ้นในยุค 80-90 ก็ทำให้เกิดการวิจัยและพยายามพัฒนาอาวุธทางทหารมากมายจนเป็นข่าวลือมากมายเกินขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์เต็มไปหมด ซึ่งวงการภาพยนตร์เองก็รับอิทธิพลนั้นมาด้วยโดยเฉพาะหนังเกรดบีทั้งหลายที่พาเหรดกันสร้างหนังสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์กันอย่างเป็นล้ำเป็นสัน หรือไม่ก็มีความเกี่ยวกับสงครามเย็นไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งเหมือนเช่น Piranha ของโจ้ ดังเต้ ที่กล่าวถึงปิรินย่าตัดแต่งพันธุกรรมของกองทัพที่หลุดออกมาจากแท็งค์กักเก็บ หรือ สัตว์ประหลาดในหนังเรื่อง Humanoids from the Deep ของโรเจอร์ คอร์แมน ที่กล่าวถึงการทดลองสร้างสัตว์ประหลาดเพื่อเอาชนะสงครามของกองทัพด้วยเช่นกัน แต่ผลก็อย่างที่รู้ ๆ ก็คือ พวกมันหลุดออกไปและทำให้กองทัพต้องตามล้างตามเช็ดพวกมันอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่

          แม้กระทั่งปัจจุบันสงครามเย็นจะจบลงไปแล้ว แต่สงครามก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในปี 2001 ได้ทำให้ความหวาดกลัวของประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาเกิดขึ้นอีกครั้ง และนั่นเองที่ทำให้หนังสัตว์ประหลาดเกรดบีกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง แม้จะถูกลดเกรดไปเป็นหนังดีวีดีแล้วก็ตาม แต่นัยยะเชิงเสียดสีสงครามและกองทัพก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เสื่อมคลายลงเลย

          อย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่อง Sharktopus ของ โรเจอร์ คอร์แมน ที่กล่าวถึงการสร้างฉลามพันธุ์ใหม่ขึ้นโดยนำไปผสมกับปลาหมึกยักษ์ออกมาเป็นฉลามพันธุ์ใหม่ที่ใช้เป็นอาวุธได้ ทว่ามันกลับหลุดจากการควบคุมไปและออกไล่ล่าพวกที่สร้างมันอย่างโหดร้ายก็อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาด้านอาวุธสงครามของมนุษย์ที่ไม่มีวันจบสิ้นเสียที ขณะเดียวกันมันก็บอกเราว่า แม้โลกจะสันติสุขสักเพียงใด ก็ยังมีคนที่ปรารถนาให้โลกเป็นนรกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว ไม่ต้องนึกถึงหนังฉลามเหล็กกล้าอย่าง Mega Shark Vs Macha Shark ที่มนุษย์สร้างฉลามเหล็กขึ้นมาเพื่อสู้กับฉลามยักษ์ตัวแสบ หรือกระทั่ง Swamp Shark ที่ฉลามก็ถูกสร้างขึ้นเพื่ออาวุธเหมือนกัน ซึ่งก็แสดงนัยยะว่า มนุษย์ยังคงคิดค้นอาวุธใหม่ ๆ อยู่เสมอไม่เปลี่ยนแม้ว่า โลกจะสงบไปแล้วก็ตามที

          ไฟแห่งสงครามก็ไม่เคยจางหายไปเลย

          4. ฉลามกับมนุษย์ ใครร้ายกว่ากัน

          Sharknado อาจจะเป็นหนังคัลท์ ๆ ที่ฮือฮ่ากันในอินเตอร์เน็ตไม่ใช่ด้วยไอเดียอย่าง ฉลามที่บินมากับพายุได้ทำให้ใครหลายคนไม่คิดว่า ฉลามจะพัฒนาไปถึงขั้นนี้ได้ แต่สิ่งที่มีนอกเหนือจากฉลามคัลท์ ๆ เรื่องหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็คือ การที่ฉลามได้กลายเป็นตัวแทนของพิโรธของธรรมชาติที่เข้าโจมตีใส่มนุษย์อย่างบ้าคลั่ง อันเป็นผลจากกระทำของมนุษย์เองที่ทำให้โลกร้อนเกินไปและส่งผลให้ธรรมชาติวิปริตราวกับต้องการลงโทษมนุษย์เหล่านี้ เหมือนเช่นที่หนังอย่าง Jurassic Shark ได้พาเราไปเจอกับ เมก้าโลดอน ฉลามดึกดำบรรพ์ที่รอดชีวิตมาได้หลังการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทแห่งหนึ่งและมันได้ฆ่าคนของบริษัทนี้ไปจนเกลี้ยงอันเป็นเสมือนการลงโทษมนุษย์ว่า อย่าได้ดูถูกธรรมชาติ เพราะ ธรรมชาติมักจะกลับมาเล่นงานคุณทั้งต้นทั้งดอกเหมือนเช่นที่หนังฉลามเหล่านี้ได้ทำให้เห็นว่า มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าฉลามซะอีก ซึ่งหนังเรื่อง Bait 3D ที่บอกเล่าเหตุการณ์หลังจากสึนามิถล่มเมืองแห่งหนึ่งในออสเตรเลียไปแล้วทำให้คนที่รอดอยู่ไม่กี่คนติดอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่น้ำท่วมและฉลามสามตัว ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ฉลามแต่คนที่อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้ต่างหากที่น่ากลัวกว่าพวกมันหลายเท่านัก

          หากย้อนกลับในหนังเรื่อง JAWS เราจะพบว่า เมื่อมีฉลามฆ่าคนเกิดขึ้น นายากเทศมนตรีก็ไม่ยอมให้ปิดหากเพราะกลัวว่า คนจะหวาดกลัวจนสูญเสียเงินมหาศาลไป ตรงนี้ล่ะที่กลายเป็นบรรทัดฐานให้กับหนังฉลามอื่น ๆ อย่าง Swamp Shark หรือ Avalanche Sharks เองก็มีตัวละครเป็นเจ้าของภูเขาหิมะบ้างหรือนายอำเภอบ้างไม่ให้ปิดหาดก่อนจะพบกับความย่อยยับในที่สุด

          นอกจากนั้นเอง หนังอย่าง Ghost Shark เองก็พาเราไปเห็นว่า การกระทำของมนุษย์นำมาสู่ความเลวร้ายได้อย่างไร เมื่อฉลามตัวหนึ่งถูกสังหารโดยชาวประมงที่ต้องการล่ามันเพื่อสนุกเท่านั้น ส่งผลให้ฉลามตัวนี้หนีโซซัดโซเซไปตายในถ้ำโบราณแห่งหนึ่งที่มีคำสาปร่ายไว้แก่วิญญาณที่ไม่สงบให้ฟื้นคืนชีพ และเจ้าฉลามก็ฟื้นขึ้นมาเป็นฉลามผีออกไล่ล่าแก้แค้นมนุษย์ทุกคนที่ทำให้มันต้องตายอย่างเจ็บปวดนั้นก็บอกเราว่า อะไรที่ทำใครไว้

          มันจะกลับมาสนองเราอย่างคาดไม่ถึงสักวันหนึ่งเลยทีเดียว

          ต้องบอกว่า แม้ว่า หนังฉลามในปัจจุบันจะเป็นเพียงหนังเกรดบีราคาถูกที่หาได้ง่ายในท้องตลาด แต่ทว่าผู้กำกับหนังพวกนี้กลับไม่ได้จมอยู่กับหนังฉลามธรรมดาเพียงอย่างเดียว แต่ก็พยายามจะหาทางฉีกแนวของหนังให้แตกต่างมากที่สุดจนถึงขั้นหลุดโลกกันไปเลยทีเดียว ไม่แปลกที่ทุกวันนี้เราจะได้เห็นหนังฉลามใหม่ ๆ แปลก ๆ โผล่ขึ้นมาให้เราได้ชมกันอีกเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น

          และนี่คือรายชื่อหนังฉลาม 10 เรื่องที่ผมแนะนำให้ลองหามาชมเพื่อเตือนภัยทุกท่านถึงการรุกรานของฉลามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้ครับ

1. JAWS (1975) (Steven Spielberg)

2. Deep Blue Sea (1999) (Renny Harlin)

3. Ghost Shark (2013) (Griff Furst)

4. Sharknado (2013) (Anthony C. Ferrante)

5. Sharktoous (2010) (Declan O'Brien)

6. Open Water (2003) (Chris Kentis)

7. 2-Headed Shark Attack (2012) (Christopher Douglas-Olen Ray)

8. Sand Sharks (2011) (Mark Atkins)

9. Avalanche Sharks (2013) (Scott Wheeler)

10. SharkNight 3D (2011) (David R. Ellis.)

แถม

Bait 3D (2012) (Kimble Rendall)

มาร่วมกันปกป้องโลกจากฉลามกันเถอะครับก่อนที่ฉลามจะครองโลกจริง ๆ

เพราะปีนี้เรายังมีหนังฉลามออกมาบุกตลาดให้คุณได้วิ่งหนีเขี้ยวของมันต่ออีกหลายเรื่องเลยล่ะครับ ตั้งแต่ Ghost Shark ภาค 2 , SharkNado 2 หรือ Maga Shark Vs Macha Shark เป็นต้น

และผมยังขอยืนยันว่า ฉลาม เป็นสัตว์ร้ายที่คิดจะครองโลกจริง

บล็อกของ Mister American

Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า