Skip to main content

              ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมืองไทยที่ถึงจุดพลิกพันอีกครา หลังเกิดการัฐประหารขึ้นอีกครั้งได้ส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์โดยรวม แน่ล่ะว่าภาพยนตร์ไทยที่สามารถทำรายได้มหาศาลในตอนนี้นั้นคงไม่พ้นหนังอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 ยุทธหัตถีที่กวาดรายได้ไปเป็นกอบเป็นกำ ผ่านการออกฉายในแบบบล็อกบัสเตอร์ใส่โรงเยอะ ๆ เพิ่มรอบมาก ๆ จนหนังทำเงินไปมหาศาลถึง 100 ล้านใน 4 วันเท่านั้น

                ทว่า ตัวของหนังนั้นกลับแบ่งเป็นสองความคิดอย่างเห็นได้ชัด ฟากที่ชื่นชอบก็บอกว่า นี่คือ หนังที่ส่งเสริมความรักชาติ ศาสน์ สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุด ขณะที่อีกฟากหนึ่งนั้นบอกว่า หนังไม่มีอะไรแปลกใหม่เพราะ มันยังคงเป็นหนังอนุรักษ์นิยมแบบเดิมที่เล่าเรื่องอย่างไร้ศิลปะ และ เต็มไปด้วยภาพความคลั่งชาติที่เหมือนหลุดจากหนังยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างไรอย่างนั้น นี่ยังไม่ร่วมถึงตัวหนังที่มีสภาพค่อนข้างเลวร้ายทางคุณภาพไม่ใช่น้อย

                แน่ล่ะว่า ท่ามกลางกระแสการโต้เถียงของผู้คนต่อหนังเรื่องนี้นั้นในโรงภาพยนตร์นั้นกลับมีภาพยนตร์จากประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง อินโดนีเซีย กับ The Raid 2 : Berandal (2014)  ภาคต่อของหนังแอ็คชั่นเมอร์เชียลอาร์ตสุดมันที่ได้รับคำวิจารณ์และคำชมทั่วโลกเข้าฉายพร้อม ๆ กันพอดี ซึ่งแน่ล่ะว่า คุณภาพของหนังได้ทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบหลาย ๆ อย่างกับหนังในประเทศเราว่า ในขณะที่เรากำลังมั่วคลั่งชาติสร้างความฮึกเหิมผ่านหนังที่เล่าเรื่องในอดีตอันแสนห่างไกล เพื่อนบ้านของเราอย่างอินโดนีเซียกลับไปไกลกว่าด้วยการยกระดับหนังแนวต่อสู้ที่หลายคนหมางเมินมันในฐานะหนังขยะที่ไม่ได้มีคุณค่าทางภาพยนตร์ นอกจากการสร้างความรุนแรงอย่างไร้สติ ให้กลายเป็นหนังที่พาเรากระโจนไปสำรวจโลก สำรวจสังคมมนุษย์ในด้านที่หนังแนวนี้ไม่เคยทำมาก่อน และช่วยให้รู้ว่า หนังต่อสู้ไม่จำเป็นต้องเขียนบทง่าย ๆ อย่างการตามหาช้าง หรืออะไรสักอย่างอีกแล้ว

                หนังต่อสู้จึงถูกยกระดับขึ้นในคราวนี้นั่นเอง

                The Raid 2 เล่าเรื่องต่อโดยทันทีหลังจากภาคแรกเพียงสองชั่วโมง รามา ตำรวจหนุ่มผู้รอดชีวิตจากปฏิบัติการตึกนรกมาได้นั้นได้พบว่า แอนดี้ พี่ชายของเขาที่เลือกจะควบคุมอำนาจของแก๊งค์ยาเสพติดแทนเจ้าพ่อเดิมที่ตายไปนั้นถูกสังหารโดย เบโจ้ มาเฟียตะวันออกที่คิดตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองนี้ ท่ามกลางอิทธิพลของสองแก๊งค์ที่เคยต่อสู้กันและสงบศึกไปนานแล้ว ได้แก่ แก็งค์ชาวญี่ปุ่นที่นำโดย โกโต้ และ แก๊งค์ชาวอินโดของนักการเมืองฉ้อฉลอย่าง บันกุน ที่มีลูกชายเลือดร้อนและหวังพิสูจน์ตัวเองกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถดูแลสืบทอดแก็งค์นี้แทนได้อย่าง อูโก้อยู่ด้วย แน่ล่ะว่า เมื่อ รามาได้รู้ว่า พี่ชายของตัวเองถูกฆ่าตาย เขาจึงตัดสินใจที่จะร่วมมือกับตำรวจลับที่พยายามจะถอนรากถอนโค่นแก๊งค์ของบันกุนลงให้จงได้ เขาจึงต้องแฝงตัวเข้าไปในคุกเพื่อตีสนิทกับอูโก้ ลูกชายของบันกุน และเข้าไปร่วมแก๊งค์นี้ ก่อนที่เขาจะได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ครั้งใหญ่ เมื่อเบโจวางแผนให้ทั้งแก๊งค์ญี่ปุ่นและแก๊งค์ของบันกุนฆ่ากันเอง เพื่อตัวเองจะได้ขึ้นมาครองอิทธิพลในเมืองนี้ และความเชื่อใจของเขากับตำรวจเริ่มลดน้อยลงไปทีล่ะน้อย จนในที่สุดก็นำมาสู่การตัดสินของรามาอีกครั้ง

                ครับ แน่ล่ะว่า นอกจากฉากต่อสู้ที่มันสะเด็ดเจ็ดย่านน้ำชนิดเป็นหนึ่งในตองอูอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว (นี่อาจจะเป็นหนึ่งในหนังต่อสู้ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งบนโลกเลยทีเดียว) ทั้งคุณภาพการถ่ายทำและบทภาพยนตร์ของหนังยังไปไกลจากหนังต่อสู้มาก ๆ เรียกว่า เป็นการยกระดับหนังต่อสู้ให้ก้าวไปไกลกว่าที่มันเคยเป็นเสียอีก

สามภาพเป็นการจัดแสงที่ทำให้โลกนี้ราวกับฝันร้าย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนังดาริโอ อาเจนโต้ และ Only God For Give

                ใครจะคาดคิดว่า จะได้เห็นการเคลื่อนกล้องช้า ๆ นิ่ง ๆ ราวกับหลุดมาจากหนังอาร์ตเฮ้าส์ ใครจะคิดว่า เราจะเห็นการจัดแสงอันจัดจ้านราวกับหลุดมาจากฝันร้ายของดาริโอ้ อาเจนโต้ (ที่หนังอย่าง Only God For Give นับไปใช้สร้างภาพของเมืองไทยในแบบฝันร้าย) ใครจะคิดว่า จะเห็นภาพเหนือจริงหลาย ๆ อย่าง อาทิ หิมะตกในอินโดนีเซียราวกับหนังของหลุยส์ บุนเยล ใครจะคิดว่าจะได้เห็นหนังที่เลือดสาดกระเซ็นเป็นถัง ๆ ราวกับมาจากหนังของริวเฮย์ คิตามูระ ใครจะคิดว่า จะเห็นหนังเจ้าพ่อผู้อิทธิพลแบบหนังฮ่องกงยุค 80-90 ใครคิดว่า เราจะได้เห็นตัวละครที่มีทั้งดีและชั่วในตัวเองจนเอาแน่เอานอนไม่ได้ในแบบฟิลม์นัวร์กันเล่า แน่ล่ะว่า The Raid 2 เป็นการผสมผสานกัน ไม่สิ ต้องเรียกว่า เป็นการกลั่นกรองประสบการณ์และสไตล์ของบรรดาหนังหลาย ๆ เรื่องเข้ามาใช้ในการนำเสนองานนี้ได้อย่างน่าสนใจ และอย่างที่บอกไปมันยกระดับหนังต่อสู้ทั้งมวลนับจากนี้ให้ต้องพยายามมากขึ้นไปอีก เหมือนเฉกเช่นที่องค์บากของไทยเราเคยยกระดับหนังต่อสู้ที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง

ฮมเมอร์ เกริล์ กับ เบสบอลบอย คาแรคเตอร์จัด ๆ แบบนี้ได้อิทธิพลมาจากหนังญี่ปุ่นของริวเฮย์ คิตามูระ และ ทาเคชิ มิกิเอะ ที่มีความเป็นการ์ตูนสูงและน่าจดจำ ขณะเดียวกันเลือดสาดแบบเกรดบีไปพร้อม ๆ กันด้วย 

         

            ขณะเดียวกันสไตล์เหล่านี้ได้พาเรากระโจนไปสู่มิติใหม่ของหนังต่อสู้ที่ไม่ได้มีแค่การสู้กันเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่มันได้พาเรากระโจนไปสำรวจโลกอันแสนมืดมนและชั่วร้ายผ่านสายตาของตำรวจหนุ่มนามว่า รามา ที่ได้พบว่า นับจากเข้าไปในตึกวันนั้น โลกภายนอกอันแสนสวยงามก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

                รามา เป็นชายหนุ่มที่มีฝีมือการต่อสู้ ปันจักสีลัต พอเอาตัวรอดได้ เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางชาวอิสลาม ซึ่งสั่งสอนเขา เรื่องความดีชั่วและศีลธรรมและเชื่อในความดีอย่างสุดขั้ว ด้วยความเชื่อเช่นนั้น เขาจึงสมัครเป็นตำรวจเพื่อจะขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนและไล่จับผู้ร้ายตามความเชื่อเรื่องความดีที่เขาเชื่อมาตลอด ทว่าความเชื่อของเขาก็ถูกสั่นคลอน เมื่อถูกส่งเข้าไปทำภารกิจในการจับตัวพ่อค้ายาตัวเป้งออกมา และพบว่า สิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดนั้นอย่าง ความดี ความถูกต้อง ได้ถูกทำลายสิ้น (ผ่านภาพของรามาที่ได้ล่วงรู้ถึงการคอร์รับชั่นของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่วางแผนให้พวกเขามายังตึกนี้เพื่อจะกำจัดพ่อค้ายาและหลักฐานที่เกี่ยวพันกับตัวเองเสีย โดยไม่สนใจว่า จะมีใครตายไปกี่คนก็ตาม) แน่ล่ะว่า หนังจบไปในทางที่ดี เมื่อรามาสามารถจับกุมตัวของนายตำรวจคนนั้นได้พร้อมหลักฐานที่สามารถเปิดโปงเรื่องนี้ได้ ทว่า สองชั่วโมงจากนั้น เขาก็ได้พบกับ นายตำรวจหน่วยลับที่กำลังทำคดีนี้พอดี เขาได้บอกกับรามาว่า ตำรวจที่เขาจับมาและหลักฐานนี้ทำได้แค่จับไอ้พวกตัวเล็ก ๆ แบบนี้ ไม่สามารถถอนรากถอนโค่นขบวนการคอร์รับชั่นพวกนี้ไปได้ และรามาอาจจะถูกไล่เก็บจากพวกตำรวจที่เสียผลประโยชน์เหล่านั้น รวมทั้งครอบครัวของเขาเองอาจจะซวยไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงชวนให้รามามาเข้าหน่วยลับนี้ด้วยการให้เขาแฝงตัวเข้าไปในคุกเพื่อตีสนิทกับอูโก้ ลูกชายนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้เพื่อหาหลักฐานที่จะกระชากทำลายขบวนการคอร์รับชั่นและอิทธิพลนี้ทั้งยวงไปพร้อม ๆ กัน แน่ล่ะว่า รามาปฏิเสธในตอนแรกก่อนจะได้พบว่า พี่ชายของเขาได้ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของเบโจ้ มาเฟียตะวันออกคนใหม่ที่พยายามสร้างอิทธิพลในเมืองนี้ ความแค้นทำให้รามาตัดสินใจรับงานนี้โดยไม่ทันคาดคิดว่า

                 เขาจะไม่มีวันได้กลับบ้านอีกแล้ว

                แน่ล่ะว่า หากมองดูตัวรามา เราจะพบว่า เขานั้นเป็นชายหนุ่มที่เชื่อถือในความดีอย่างสุดขั้วผ่านการกระทำของเขาที่บอกให้เห็นว่า เขาไม่ต่างจากผ้าขาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้เปื้อนสีอะไร แน่ล่ะว่า รามาในตอนที่เข้าไปในตึกนั้นคือ ผ้าขาวและเมื่อออกจากตึกนั้นมา ผ้าของเขาก็เปื้อนสีไปเล็กน้อย กระนั้นตัวเขาก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ และเชื่อว่า เขาจะสามารถล้างสีที่เปื้อนบนผ้าของเขาออกไปได้ ก่อนจะพบว่า มันก็แค่ฝันเปียกที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น

                เพราะ เอาจริงแล้วหลักฐานที่ได้จากตึกนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ไม่สิ ไม่สามารถขุดรากถอนโค่นความชั่วร้ายออกไปได้ด้วยซ้ำ อันมาจากองค์กรหรือความชั่วร้ายนั้นใหญ่เกินตัวเขาไป ไม่พอ มันยังฝังรากลึกในประเทศนี้มานานจนเขาต้องร่วมมือกับหน่วยตำรวจลับที่เขารู้สึกไม่ไว้ใจเท่าใดนัก

                แน่นอนว่า เมื่อหนังมันดำเนินไปเรื่อย ๆ เราก็ได้พบว่า ผ้าขาวอย่าง รามา กำลังถูกย้อมด้วยสีไปทีล่ะน้อย จนค่อย ๆ หม่นขึ้นทีล่ะนิด ไม่ต่างกับสถานะในความเป็นมนุษย์ของเขาที่เริ่มแปรสภาพไปเป็นสัตว์ป่าอย่างรวดเร็ว

                ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา

          มีคนกล่าวว่า มนุษย์เรานั้นก็ไม่ต่างกับสัตว์ ถึงจะมีสิ่งที่เรียกว่า สมองที่ทำให้คิดได้มากกว่าสัตว์ทั่วไปก็ตาม แต่เอาจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เราต่างจากสัตว์ก็คือ ระบบศีลธรรม ที่คอยเป็นตัวค้ำจุนไม่ให้เราทำอะไรที่มันละเมิดศีลธรรมนั้น ๆ ออกไป การมีศีลธรรมนั้นเองที่มนุษย์อดกลั้น อดทน ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสามารถใช้ชิตได้อย่างมีสติ ทำให้ความรุนแรงที่อยู่ในสายเลือดถูกกดเอาไว้ตลอด นั่นคือ ระบบของสังคมมนุษย์ แน่ล่ะว่า ก่อนหน้านี้รามามีสถานะในฐานะตำรวจที่ตอกย้ำว่า เขาจะต้องมีระบบศีลธรรมที่มากกว่า คนทั่วไปหลายเท่า กระนั้นเองหนังก็ลักลั่นด้วยการให้รามาถอดเครื่องแบบตำรวจและศีลธรรมทิ้งเพื่อปลดปล่อยความรุนแรงออกมา

                ส่งผลให้เขามีสภาพไม่ต่างกับสัตว์ป่าเลยทีเดียว

                ยิ่งเมื่อเขาถูกส่งเข้าไปในคุก ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ความดิบเถื่อน และ ความโหดร้ายที่ตัวเขาต้องเผชิญตลอดเวลากว่า 2 ปีนั้น มันยิ่งทำให้เขาต้องละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมออกไปเสียก่อนเพื่อเอาตัวรอดในสังคมที่ชั่วร้ายแบบนี้ ในตอนแรกเขาอาจจะลังเลที่จะปลดปล่อยความโกรธนั้นและหันมาระดมหมัดใส่กำแพงทุกคืนจนมือแตก อันเป็นภาพสะท้อนว่า เขาพยายามจะอดทน แต่สภาพแบบนี้ เขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ

                เราจึงเห็นรามาปลดปล่อยความโกรธออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ลังเลเลยที่จะระดมหมัดใส่ใครก็ตามที่มายุ่งกับ เขาไม่ลังเลเลยที่จะทำร้ายใครอย่างโหดร้ายชนิดที่ตัวเขาในอดีตคงได้แต่ตื่นตะลึง แน่ล่ะว่า เมื่อรามาออกมาจากคุก (ซึ่งเปรียบเสมือนดินแดนที่เขาต้องปลดปล่อยสันดานดิบออกมาจนหมดสิ้น) รามาก็ถูกพามาร่วมแก๊งค์บันกุนด้วยความช่วยเหลือของอูโก้ที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้

          สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างนั้นก็คือ หนังมันให้เราเห็นว่า ความลักลั่นอีกรอบ เมื่อเขาได้พบว่า แม้แต่ในวงการมาเฟียเองก็มีระบบศีลธรรมของตัวเองขวางกั้นเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อใจของกันและกัน การพูดถึงความกตัญญู และการยำเกรงซึ่งกันและกัน หนังได้ให้เราเห็นว่า แม้แต่โลกมืดที่แสนอันตรายแบบนี้นั้นก็ยังมีกฎของมัน และคนที่แหกฎก็ต้องถูกลงโทษ

                และคนคนนั้นก็คือ อูโก้

                อูโก้ คือ ลูกชายของบันกุน นักการเมืองผู้อิทธิพลที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อของเขานั้นภูมิใจและมั่นใจว่า เขาสามารถเป็นหัวหน้าแก๊งค์คนต่อไป แต่เขาไม่เข้าใจว่า ทำไม พ่อของเขาถึงไม่ยอมมอบแก๊งค์ให้เขาเสียที ด้วยเหตุนี้อูโก้จึงมักพยายามจะทำตัวให้พ่อภูมิใจและมอบแก๊งค์ให้เขา ทว่ายิ่งเขาพยายามพิสูจน์ตัวเองมากเท่าไหร่ มันก็มักจะจบลงด้วยความวุ่นวายเสมอ ๆ จนพ่อของเขาไม่ค่อยชอบใจนักกับการพยายามพิสูจน์ตัวเองเขาและมองว่า เขาทำให้วุ่นวายเปล่า ๆ โดยไม่อธิบายว่า ทำไม หรือ อะไร ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้กลายเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจจะบรรจบอีกต่อไป และยิ่งนานวันเข้า ตัวอูโก้ยิ่งถูกคนรอบข้างมองว่า เขาไม่มีวันยิ่งใหญ่ไปกว่าพ่อได้ แม้ว่า โกโซ นักฆ่าเก่าแก่ของแก๊งค์จะบอกว่า เขาสามารถเป็นแบบพ่อได้ และเขายิ่งใหญ่กว่าแน่นอน ตัวของอูโก้ก็ไม่พอใจจนส่งผลให้เขาตัดสินใจที่จะร่วมมือเบโจ้ เพื่อให้แก็งค์ทั้งสองได้แก่ของบันกุนและแก๊งค์ญี่ปุ่นสงบศึกมากว่าสิบปีตีกันอีกครั้ง โดยใช้การสังหารโกโซ เป็นชนวนให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ด้วยหวังว่า พ่อของเขาจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย กระนั้นพ่อของเขากลับปฏิเสธการแก้แค้นไป จนอูโก้ตัดสินใจฆ่าพ่อตัวเองเสียเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่บ้าง

                โดยไม่รู้ว่า เขานั้นเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของเบโจ้ที่ควบคุมให้เขาไปทำสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น

                เรื่องราวของอูโก้นั้นบอกเราว่า สิ่งสำคัญของการเป็นมาเฟียนั้นไม่ใช่อิทธิพล แต่เป็นเรื่องความเชื่อใจ ไว้ใจต่างหากเล่า

                แน่ล่ะว่า อูโก้นั้นมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าแก๊งค์นี้อยู่มากมาย ทั้งความทะเยอทะยาน และ ความมุ่งมั่น แต่สิ่งที่เขาไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองให้พ่อของเขาเห็นได้ก็คือ ความเชื่อใจ ที่พ่อของเขาไม่สามารถหาได้จากตัวลูกชายคนนี้ เนื่องจากอย่างที่เห็น ลูกชายของเขานั้นพยายามพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา แต่ยิ่งทำก็ยิ่งวุ่น ทำให้พ่อของเขาไม่เชื่อใจ และแน่นอนว่า ตัวอูโก้ก็ไม่เข้าใจเหตุผลนั้นเหมือนกัน

                เอาจริงแล้ว บันกุนนั้นรู้ดีว่า ลูกชายตนนั้นมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้า ทว่าสิ่งที่เขายังขาดคือ ความเชื่อใจ ไว้ใจ และ การยั้งคิดด้วยสติ ที่แน่ล่ะว่า อูโก้ไม่มีสิ่งนั้นเลย ส่งผลให้เขาดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความเลวร้ายที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปทุกที

                กระทั่งฆ่าพ่อตัวเอง

                แน่ล่ะว่า ในวงการนักเลงนั้นการฆ่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ทว่าการฆ่าผู้มีพระคุณอย่าง บิดาหรือมารดาแบบอูโก้ นั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เหมือนเช่นที่โกโต้ หัวหน้าแก๊งค์มาเฟียญี่ปุ่นกล่าวว่า ถ้ากล้าฆ่าพ่อตัวเอง มันก็ฆ่าเราเหมือนกัน

                อันเป็นการประกาศสงครามเต็มรูปแบบอีกครั้ง

                ดังนั้นเราจึงเข้าใจว่า แม้แต่วงการที่มืดมิดนั้นความเชื่อใจ ไว้ใจ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่พวกเขายึดถือ

                ขณะที่รามานั้นกลับต้องพบการสั่นคลอนทางความเชื่อและศีลธรรมของตัวเองอยู่แทบจะตลอดเวลา จนในที่สุดเขาก็สูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจแทบจะทั้งหมดลง พร้อม ๆ กับเชื่อมั่นในความดีที่ได้หมดลงไปแทบจะพร้อม ๆ กัน

                เขาเชื่อใจใครไม่ได้ แม้แต่ตำรวจในหน่วยเดียวกัน ยิ่งหน่วยลับแล้ว ตัวตนของพวกเขานั้นค่อนข้างน่าฉงนใจ และการกระทำต่าง ๆ ในหนังที่ทำให้เราไม่สามารถเชื่อใจพวกเขาได้เลย (ทั้งการติดเครื่องดักฟังทั้งที่รามาไม่ให้ติด ทั้งการที่จู่ ๆ มีตำรวจมาไล่ล่าตัวเขา ทั้งการที่ตำรวจเก่าในหน่วยลับอย่าง เอก้า ถูกทิ้งให้หลงลืมไปกับแก๊งค์นี้) ยิ่งทำให้เรารู้สึกเคว้งไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                จนที่สุดเราก็ไม่เชื่อเรื่องระบบศีลธรรม ความดีอีกต่อไป

                เหมือนเช่นที่รามาได้พบ

                รามานั้นเป็นตัวแทนของคนดูที่เข้ามานั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความเชื่อมั่นอย่างน้อย คนส่วนมากก็ยึดถือและเชื่อในความดี เขาเชื่อมั่นว่า โลกใบนี้สามารถเป็นโลกที่น่าอยู่ได้หากเราสามารถกำจัดคนชั่ว คนโกง คนคอรับชั่นออกไปได้ เราสามารถสร้างสังคมแบบนั้นอย่างที่ศาสนาทุกศาสนาได้สอนไว้ว่า ความดีย่อมชนะความชั่วเสมอ ทว่า รามาก็ได้พบว่า อุดมการณ์เรื่องความดีของเขานั้นได้ถูกขยี้จนยับเยินไม่มีชิ้นดี เพราะแม้แต่องค์กรที่เขาเชื่อว่า เป็นตัวแทนคุณธรรมอย่าง ตำรวจนั้นกลับเต็มไปด้วยความมืดมิด มีแต่การเมือง ผลประโยชน์และคอร์รับชั่นที่ตำรวจตัวเล็ก ๆ แบบเขาไม่มีวันกำจัดมันไปได้ และที่สำคัญกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกถึงความเชื่อใจไม่ได้ และพร้อมแทงข้างหลังกันเสมอ ต่างจากวงการมาเฟียที่จะดิบเถื่อนเพียงใดก็ยังมีกฎที่คนนับไว้เป็นที่ยึดถือเสมอ

                การได้มาคลุกคลีกับโลกมืดนี้ทำให้รามาได้รับรู้ว่า สังคมที่มีแต่คนดีปราศจากคนโกงคนคนคอร์รับชั่นที่เรา ๆ ท่าน ๆ ใฝ่ฝันและอยากให้เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้ต่างกับฉากหิมะตกในอินโดนีเซียเท่าไหร่นัก (มันคือ ฉากเหนือจริงที่หลายคนถึงอึ้ง) เพราะมันเป็นแค่อุดมคติโลกสวยที่ไม่มีวันได้เป็นจริงในโลกที่คนยอมจำนนต่อความชั่วร้ายแบบนี้

          นับจากภาคแรก เราเห็นรามาทำละมาดตามพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม อันสื่อถึงความศรัทธาในความดีที่มีอยู่ย่างเปี่ยมล้นในจิตใจเขา ทว่านับจากนั้นมาเราก็ไม่ได้เห็นรามาทำพิธีละมาดอีกเลย

                เพราะเขาสิ้นหวังในความดีไปแล้วนั่นเอง

                รามาเป็นเหมือนภาพตัวแทนศาลเตี้ย การใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ยึดกฎเกณฑ์ อันสะท้อนว่า กฎหมายของประเทศนี้ได้ล้มเหลวลงแล้ว และบุกตะลุยเดี่ยวเข้าไปถล่มแก๊งค์ของเบโจ้อย่างบ้าคลั่ง และได้รับชัยชนะออกมาอย่างสะบักสะบอม กระนั้นเองมันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อย่างที่ตำรวจลับบอกเขาว่า ต่อให้ถล่มแก๊งค์เบโจ้หมดแล้ว  มันก็มีแก๊งค์อื่นเกิดขึ้นมาอีก ฆ่าตำรวจเลวไปคนก็มีตำรวจเลวขึ้นมาอีก ฆ่านักการเมืองคอร์รับชั่นสักคนก็มีคนใหม่อีก เสมือนวงจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุดและช่วยตอกย้ำว่า เราไม่มีวันล้างความชั่วได้อย่างหมดสิ้นแน่นอน

                ที่น่าตกใจก็คือ หนังมันจงใจไม่บอกว่า เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองไหน แม้สำนึกของเราจะบอกว่า มันคืออินโดนีเซีย แต่หนังก็แอบเงียบไม่พูดว่า หนังเกิดขึ้นที่ไหน ราวกับต้องการจะให้เรารู้ว่า หนังเรื่องนี้อาจจะแทนภาพของสังคมใดก็ได้บนโลกที่มีเหตุการณ์แบบนี้

                มันบอกเราว่า ทุกสังคมก็แบบนี้แหละ

                ดังนั้น รามาจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับวินาทีที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราไปพร้อม ๆ กัน

                หนังจึงจบลงด้วยความสิ้นหวัง แน่นอนว่า รามานั้นอาจจะรอดชีวิตไปได้ เพียงแต่ว่า เขาก็ไม่ได้กลับมาบ้านเหมือนกับที่โดโรธีกลับมาจากเมืองแห่งออซ

                ไม่สิ ต้องบอกว่า รามา คนเดิมไม่ได้กลับออกมาจากตึกนรกแห่งนั้น รามาคนที่เชื่อมั่นในความดีได้ตายไปแล้วตั้งแต่คราวนั้นแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มที่ถูกโลกใบนี้ทำร้ายจนชีวิตตัวเองแทบหาไม่ก็เท่านั้นเอง

                เหมือนคำกล่าวว่า เราไม่ได้อยู่ในเมืองแคนซัสอีกต่อไปแล้ว

                เมืองแห่งความฝันนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป เช่นเดียวกับอุดมการณ์ความดีที่เป็นเพียงลมปากของนักบวชที่ไม่เคยรู้ว่า โลกใบนี้ชั่วร้ายเกินกว่าที่จะหาคำใดนิยาม

                แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันร้าย !!

ป.ล. หนังทิ้งปมต่าง ๆ เอาไว้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวครอบครัวของรามาที่หนังทิ้งปมไว้ไม่สานต่อ ซึ่งทำให้เราเดาได้ว่า หนังภาคต่อที่มี จา พนม ร่วมแสดงด้วยนั้น อาจจะเป็นการตามหานางสีดาของรามาก็ได้

ป.ล. ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า จากหนังบู้อย่าง marantru ที่เหมือนการหยิบเอาองค์ประกอบขององค์บากไปสร้างในแบบอินโดนีเซียนั้น The Raid 2 จะกลายเป็นหนังที่ห่างไกลเรื่องอุดมคติรักชาติแบบบ้าคลั่งนี้ไปเสียแล้ว จนกลายเป็นหนังบู้ที่บอกเล่าสังคมโลกใบนี้ออกมาได้อย่างน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าหนังบู้ต่อสู้เรื่องใดก็ตาม

ณ บัดนี้หนังต่อสู้ได้ไปไกลเกินกว่าจะคาดคิดเสียแล้ว

……

ป.ล. คลิกไลท์อ่านรีวิวหนัง รีวิวมังงะ รีวิวหนังสือ รีวิวอนิเมชั่นได้ ที่ แฟนเพจ จิบชา รับลม กับ มิสเตอร์อเมริกัน

https://www.facebook.com/amarica2029?ref_type=bookmark

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า