Skip to main content

"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"
อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน
"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน
"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก"
"ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง
"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"

ฉันบอกเธอว่า จำนวนหมาสามสิบกว่า กับแมวสี่สิบกว่าๆ ไม่ได้หมายความว่าฉันรักอะไรมากกว่าอะไร
"อยู่ที่ว่าช่วงไหนฉันมีโอกาสช่วยอะไรมากกว่าต่างหาก"
"ถ้างั้นแสดงว่า มีคนเกลียดแมวมากกว่าหมา" คราวนี้เธอหันไปตั้งท่าวิจัยคนอื่น "ถึงมีแมวถูกทิ้งมาให้เธอช่วยมากกว่าหมา จริงมั้ย"
ฉันขำปนอ่อนใจในความไร้เดียงสาของเพื่อน
"แล้วทำไมเธอไม่คิดว่า บางทีหมาอาจจะถูกทิ้งมากกว่าแมว แต่เผอิญหมาอาจจะป่วยตาย อดตาย หรือถูกรถชนตายไปมากกว่าแมวบ้างเล่า"

เธออึ้งไปสามวินาที แล้วตั้งหลักใหม่
"งั้นเอางี้ ระหว่างแมวกับคน เธอชอบอะไรมากกว่ากัน"
"นี่เธอจ๊ะ" ฉันยกมือเท้าเอวเพื่อที่จะได้ไม่เผลอเขกหัวเพื่อนรุ่นน้องผู้สนิทพอจะด่ากันได้โดยไม่โกรธ "โลกนี้ไม่ได้มีแค่รักกับเกลียดนะ ไม่ได้มีแค่สองสี แต่เอาเถอะ เพื่อไม่ให้เธอคาใจ ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบแมวมากกว่าคน เธอจะสรุปผลการวิจัยได้หรือยัง เพราะตอนนี้ฉันชักจะเริ่มรำคาญคนแล้วละ"
..............

ฉันเป็นคนสองบ้าน บ้านหลังหนึ่ง(บางทีฉันเรียกโกดัง) อยู่ริมทุ่งนาที่บ้านนอก เอาไว้เป็นบ้านพักแมวๆ หมาๆ ที่อกหักไปจากเมืองใหญ่ ส่วนอีกหลัง เป็นบ้านหลังจ้อยชานเมืองกรุง มีไว้สำหรับซุกหัวนอนในเวลาทำงาน

ใครๆ มักพูดว่าฉันเป็นคนรักหมารักแมว แต่บางครั้งฉันกลับไม่แน่ใจ รักน่ะใช่ แต่ก็บอกไม่ได้ว่า เพราะมีโอกาสได้ช่วยเหลือใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกมัน จึงรู้จักและรัก หรือว่า ที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือพวกมัน เพราะฉันรักมันอยู่แล้วกันแน่  

แต่วันดีคืนดี ฉันก็คิดว่าถ้าเกลียดแมวได้ เรื่องคงจะง่ายกว่านี้ เช่นวันที่มีสุภาพสตรีวัยป้าคนหนึ่ง (ซึ่งฉันไม่เคยรู้จัก) มายืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูรั้วบ้านชานเมือง แล้วสั่งว่า
"หนูไปช่วยเอาแมวมาทีสิ"
หน้าตาฉันคงจะเอ๋อเอามากๆ คุณป้าจึงพูดประโยคเดิมซ้ำ แล้วย้ำด้วยคำถามว่า
"ได้ข่าวว่ารักแมวไม่ใช่เหรอ"
อยากรู้จริงว่าข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับไหน ฉันนึกในใจแบบขวางๆ พลางตั้งสติพยายามอธิบายว่า ฉันไม่ได้รับอุปการะแมวหมาทั่วราชอาณาจักร

คุณป้า (ซึ่งดูท่าจะไม่สนใจคำอธิบายของฉันเลย) บอกว่าสัปดาห์ก่อนไม่รู้ใครเอาแมวท้องแก่มาทิ้งหน้าบ้าน เธออุตส่าห์ไล่ตีจนมันหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับอุตริมาออกลูกที่หลังช่องแอร์บ้านเธอจนได้ ตอนแรกเธอจะกวาดพวกมันทิ้งถังขยะ แต่มีคนบอกว่าบาปและแนะนำให้เรียกฉัน
"หมายความว่าถ้าให้คนอื่นเอาไปแล้วจะไม่บาปใช่ไหมคะ" ฉันพยายามจะไม่ประชด แต่อดไม่ได้ (นิสัยฉันแย่มาก)  

คุณป้าทำหน้างอ แล้วบอกว่า ไม่รู้ละยังไงๆ ถ้าไม่อยากให้เอามันทิ้งถังขยะละก็ ไปเอามันมา ฉันรู้สึกเหมือนถูกต้อนเข้ามุม ได้แต่เดินตามคุณป้าไปบ้านใหญ่หลังสวยที่อยู่ถัดไปอีก ๓ ซอย เพื่อควักเอาแม่กับลูกที่ยังไม่ลืมตาสามตัวออกมาจากหลังเครื่องแอร์ของเธอ

แม่แมวสีน้ำตาล หน้าตาโรยๆ มีลูกตัวผอมๆ ที่ดูเหี่ยวซีดเพราะเพิ่งออกพ้นท้องแม่ไม่นาน คุณป้ายื่นตะกร้าใบหนึ่งให้ เพราะฉันบอกว่าอุ้มไปได้ไม่หมด

คุณสามีวัยใกล้ชราที่นอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ริมสวนเลิกคิ้วมองลอดแว่นมาที่ฉัน คุณภรรยาก็อรรถาธิบายทันใดว่า เขาอยากมาเอาแมว
แน่ะ ฉันไปบอกว่าอยากตอนไหนไม่ทราบคะคุณป้า นึกในใจเท่านั้นแหละ เพราะว่าพูดไม่ออก

นึกถึงสมาชิกทั้งหลายในบ้านสี่ขา รวมทั้งบ้านอื่นๆ ที่อุปการะแมวหมาไร้ที่พึ่ง เคยสงสัยว่าทำไมพวกมันจึงถูกทิ้ง ความสวยงาม สายพันธุ์ ราคา ล้วนไม่ใช่ประเด็น เพราะฉันพบว่าหมาพันธุ์ดีราคาแพงจำนวนมากก็ถูกทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์สวยอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ดัลเมเชี่ยน อัลเซเชี่ยน หรือพันธุ์น่ารักน่าเอ็นดูอย่างชิสุห์ พุดเดิ้ล หรือบีเกิ้ล

ภาพหมาพุดเดิ้ลขนหยิกน่ารักที่ถูกนำมาทิ้งที่วัดใกล้บ้าน เพียงเพราะมันป่วยเป็นอัมพาต เจ้าลาบราดอร์สีดำที่ถูกเห็บกินจนผอมโกรกถูกทิ้งให้นอนรอความตายอยู่ข้างถนน กับหมาร็อตไวเลอร์แก่ๆ ที่ถูก(แอบ)ทิ้งไว้หน้าร้านหมอที่ฉันรู้จัก บอกให้รู้ว่า ความรักของคนช่างเต็มไปด้วยเงื่อนไข

เพราะคน (บางคน) ไร้หัวใจ หมาแมวหลายตัวจึงต้องไร้บ้าน
................

"ไม่อยากเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสักตัวหรือคะ" ฉันลองถามด้วยความหวังเล็กๆ น้อยๆ
"โอ๊ย เลี้ยงทำไมให้เปลือง หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้" คุณป้าพูดเสียงสูงขณะเปิดประตูให้ฉันออกมา "เอาไปไหนก็เอาไปให้หมดเถอะ ชอบเลี้ยงก็ดีแล้วนี่ ได้บุญด้วย"
"ไม่ได้เลี้ยงเพราะอยากได้บุญค่ะ" ฉันสวนเหมือนคนไร้มารยาท "เลี้ยงเพราะสงสารที่มันถูกทิ้ง แต่สงสารมากๆ ก็แย่ค่ะ เฉพาะแมวตอนนี้สี่สิบกว่าตัวแล้ว คนก็ไม่เลิกทิ้ง"
"แหม เลี้ยงมาได้ตั้งสี่สิบกว่าตัว อีกแค่สี่ตัวจะเป็นไรไป เคยเห็นในทีวีมีป้าอะไรนะเลี้ยงตั้งหลายร้อยตัว เขายังเลี้ยงได้เลย" ถ้อยประโยคท้ายคล้ายให้กำลังใจ แต่กลับทำให้ฉันหมดคำพูด ได้แต่หันหลังกลับ
"แล้วอย่าลืมเอาตะกร้ามาคืนด้วยนะหนู" เสียงตะโกนไล่หลังมา เร่งให้ฉันเดินเร็วขึ้น

จ้ำกลับมาถึงบ้านด้วยความเศร้าใจที่อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ยินดีที่ได้แมวมาเลี้ยงเพิ่มอีกสี่ตัว แต่ก็ทนเฉยไม่ได้โดยไม่ช่วยพวกมัน ถ้าฉันเกลียดแมว เรื่องอาจจะง่ายกว่านี้

ก้มมองในตะกร้า ลูกแมวกระจ้อยร่อยสามตัวนอนซุกท้องแม่ที่แหงนหน้าขึ้นสบตาฉัน มันร้องเหมียวเบาๆ แล้วก้มลงไปเลียลูกๆ ฉันสงสัยว่า มันถูกทิ้งมากี่ทอดแล้ว มีใครบ้างที่สนใจว่าพวกมันไปนอนตายอยู่ในถังขยะที่ไหนสักแห่ง แมวสี่ตัวอาจไม่มีความหมายอะไรในโลกใบนี้

นาทีนั้น ฉันจึงได้ตระหนักว่า ฉันไม่เคยอยากเกลียดแมว ที่ฉันอยากเกลียดคือสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ที่ (ว่ากันว่า) มีสมอง มีความคิด และมีจิตสำนึกสูงกว่าสัตว์สี่ขาอย่างแมวต่างหาก

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…