Skip to main content
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
\\/--break--\>

บางคนเห็นแล้วคิดว่า ใครนะช่างลงทุนซื้อชามตราไก่มาวางไว้ที่ป้ายรถเมล์
บางคนรู้สึกว่าป้ายรถเมล์ดูมีชีวิตชีวาเมื่อมีชามใบใหม่
บางคนอดสงสัยไม่ได้ ว่าชามใหม่จะวางอยู่ได้กี่วัน

ทุกๆ วัน ราวตีห้าครึ่งถึงแปดโมงเช้า ป้ายรถเมล์จะมีคนมายืนหันขวาเหมือนๆ กันเพื่อรอขึ้นรถ
จากนั้นราวค่อนวัน ป้ายรถเมล์ก็จะเงียบเหงาอบอ้าวอยู่ในแสงแดด
พอบ่ายสามโมงกว่าๆ ก็จะเริ่มมีคนลงจากรถ พลุกพล่านเป็นพิเศษราวๆ หกโมงเย็นถึงสองทุ่ม จากนั้นก็จะค่อยๆ เงียบลงจนว่างเปล่าเหมือนเพิงร้างๆ ในความมืดสลัวของกลางคืน

ป้ายรถเมล์คือที่จอดรถเมล์ มีคนมารอรถ ขึ้นรถ ลงจากรถ แล้วเดินผ่านไปตามทิศทางของแต่ละคน
อาจมีบางคนแวะนั่งพักเมื่อยบ้าง เช่น คนกวาดถนน คนเดินขายธูป คนหาบไข่ปิ้ง คนถีบซาเล้งเก็บของเก่า หายเมื่อยก็ลุกเดินจากไป

แต่วันหนึ่ง มีหมาสีดำตัวหนึ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน มาอย่างไร อยู่ๆ ใครๆ ก็มองเห็นมัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นมัน เพราะบางคนก็ไม่ได้สนใจ
หมาสีดำนั่งเหลียวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เหมือนมองหาหรือรอคอยใคร นานๆ ก็ลงนอนหมอบ บางทีก็ลุกเดิน
แต่มันไม่เคยเดินไปไกลจากป้ายรถเมล์ อย่างมากก็เข้าไปขับถ่ายในดงหญ้าคาข้างทาง หรือเดินไปหมอบหลบร้อนอยู่ในตู้โทรศัพท์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ห้าเมตร
เคยมีหมาบางตัววิ่งเล่นผ่านมา มันวิ่งตามไปไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนใจ วิ่งกลับมานั่งเหลียวไปมาที่ป้ายรถเมล์อย่างเดิม

ใครคงเอามันมาทิ้ง บางคนรำพึง
หรือมันอาจจะหลงทาง บางคนคาดเดา
อาจมีคนสั่งให้มันรอที่ป้ายรถเมล์ มันก็รอ และยังคงรออยู่ บางคนคิดถึงเรื่องเศร้า
หรือว่ามันสายตาไม่ดี อีกคนสงสัย เข้าไปก้มดู เห็นขี้ตาแฉะเต็มตาหมา จึงควักกระดาษเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้

ไม่นาน หมาสีดำก็เริ่มมีสมบัติส่วนตัว มันไม่ได้เสาะหามาเอง แต่อยู่ๆ มันก็มี
เป็นชามใส่อาหารใบหนึ่ง ใส่น้ำใบหนึ่ง
มีคนใจดีสงสารหมา หามาวางไว้ให้
แต่ไม่กี่วันถัดมา ชามเหล่านั้นก็หายไป อาจมีคนที่ไม่มีชามใช้ จึงมาขอยืมของหมา
คนใจดีอีกคนเห็นชามหายไป เลยหาใบใหม่มาวางแทน

ภาชนะใส่อาหารของหมาสีดำจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ชามพลาสติก จานรองกระถางต้นไม้ กะละมังบุบๆ ถาดโฟม กระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก หรือบางครั้งไม่ทันหาใหม่ ต้องใช้พื้นซีเมนต์เป็นจานอาหารก็มี (พื้นซีเมนต์ยังไม่เคยหาย)

บ่ายวันหนึ่ง คนขายน้ำแข็งถีบรถมาถึง พบว่าถังพลาสติกใบเล็กหายไป
เปล่าหรอก ไม่ใช่ถังของเขา เขาเพียงผ่านมาเกือบทุกวัน และเติมน้ำใส่ภาชนะอะไรก็ตามที่วางอยู่ เขาจำได้ว่าเมื่อวานเป็นถังใบเล็กๆ
เขาโกรธแทนคนใจดีที่อุตส่าห์หาถังมา อีกทั้งโมโหแทนหมาที่ไม่มีน้ำกิน
ไอ้ห่...เอ๊ย ขโมยกระทั่งของหมา เขาพูดคำหยาบอีกสองสามคำ แล้วหยิบขวดน้ำพลาสติกเปล่าๆ มาบรรจงตัดครึ่ง เอาน้ำเทใส่วางไว้แทนถังใบที่หาย

หน้าหนาว หมาสีดำจะได้สวมเสื้อยืดเก่าๆ ที่ใครสักคนหามาใส่ให้
เมื่อเสื้อมอมจนเน่าหรือเก่าจนขาด ก็จะมีใครอีกคนเอาเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยน
บางทีมีคนใจดีตรงกัน แต่มาไม่พร้อมกัน คนที่มาช้ากว่า เห็นหมาเปลื่อนเสื้อแล้ว ก็จะถือเสื้อกลับไปแบบเขินๆ ปนยินดีที่มีคนคิดถึงหมา นึกในใจว่า ไม่เป็นไร เก็บไว้เปลี่ยนคราวหน้า(ถ้าอากาศยังหนาวอยู่)
มีคนเอาผ้าห่มเก่าๆ มาปูใต้ที่นั่งป้ายรถเมล์ หมาสีดำนอนอุ่นในกองผ้าได้สองวัน ผ้าก็หายไป
คงมีคนที่ยากไร้และหนาวยิ่งกว่าหมา เจ้าของผ้ารำพึง
วันต่อมามีอีกคนเอากระดาษกล่องหนาๆ มาปูไว้ เพื่อให้หมาไม่ต้องนอนขดบนพื้นปูนเย็นๆ แต่วันรุ่งขึ้นกระดาษก็หายไป คงถูกใครเก็บไปชั่งกิโลขาย

เมนูอาหารของหมาสีดำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มันไม่อาจคาดเดา
บางวันในชาม(หรือจาน หรือกระดาษ หรือพื้น) นั้นจะเป็นข้าวคลุกปลากระป๋อง
บางวันเป็นข้าวคลุกตับย่าง
บางวันเป็นเศษแกงปนกันหลายอย่าง
บางวันเป็นอาหารเม็ด
เป็นปีกไก่ไม้หนึ่ง
เป็นหัวปลา กระดูกไก่ ข้าวเหนียว เศษขนมจีน ลูกชิ้น ขนมชั้น โดนัท สาลี่ เศษเค้ก(ในช่วงปีใหม่)
นอกจากเมนูที่หลากหลาย หมาสีดำอาจมีจำนวนมื้ออาหารมากกว่าหมาตัวไหนๆ
ตั้งแต่ตีห้า หกโมงเช้า แปดโมงครึ่ง บ่ายสามโมง หนึ่งทุ่ม และห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน แล้วแต่เวลาผ่าน หรือความสะดวกของคนใจดีแต่ละคน
แต่วันที่ไม่มีอะไรเลย ก็มีเหมือนกัน อาจเป็นวันที่คนใจดีทั้งหลายบังเอิญมาไม่ได้ หรือไม่มีอะไรติดมือมา
บางคนอยากรู้ว่าหมาสีดำรออะไร หรือรอใคร แต่ก็ไม่รู้จะไปถามที่ไหน เพราะคนแถวนั้นก็ไม่รู้

ถึงวันนี้ หมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์มาครบปีแล้ว
มันยังคงเหลียวมองซ้ายขวา บางทีนอนหมอบเหมือนรอคอยใคร
ปลอกคอเส้นเก่าๆ ที่เคยคล้องคอมันมาแต่แรกขาดไปแล้ว และมีคนหาเส้นใหม่มาเปลี่ยนให้

ป้ายรถเมล์ยังเป็นป้ายรถเมล์ เป็นจุดรอรถ ขึ้นรถ ลงรถ
แม้ว่าจะมีหลายคน ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เคยสังเกตเห็นว่าป้ายรถเมล์มีหมา แต่ก็มีหลายคนที่ทุกครั้งผ่านมาต้องทักทายหมา
บางคนแค่เดาะลิ้นเรียก บางคนลูบหัว บางคนนั่งลงเกาพุงให้ บางคนก้มดูว่าในชามหมามีอะไร และบางคนปรับทุกข์กับหมา ตั้งแต่ราคาค่ารถ ค่าข้าว ไปจนถึงค่าเช่าบ้าน

หมาสีดำรู้จักคนเหล่านั้น แต่คนเหล่านั้นไม่รู้จักกัน

ทุกคนรู้แต่ว่า ในความวุ่นวายของชีวิต ยังมีใครบางคนที่มีหัวใจเอื้ออารีเหมือนๆ กัน
พวกเขารู้จักหมาสีดำตัวเดียวกัน และอาจเคยพูดคุยทักทายกัน ผ่านจาน ขัน ถังน้ำ เสื้อ และเศษอาหารนานาชนิด

พวกเขารู้ว่าที่ป้ายรถเมล์มีหมาสีดำ ที่เหมือนกำลังรอคอยใคร
และรู้ว่าอีกไม่กี่วัน ไม่ใครก็ใคร จะได้หาชามใหม่มาวางไว้ที่ป้ายรถเมล์

 

กำลังคอยใครกัน

 
 

นอนอย่างนี้ทุกวัน

 
 

แล้วชามใหม่ก็หายไป (จริงๆ) เหลือแต่ใบนี้

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…