Skip to main content
 

ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก


พอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัว


ลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ

"บนถนนหนทางซุปเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจรท่องไปตามฝัน ฝันของเจ้าดูเลิศล้ำลาวัณย์ฝันเจ้าฝันว่าโลกพิสุทธิ์เมลืองมลัง..."


สาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณกำลังก้มๆ เงยๆ หยอดเมล็ดแตงโมกันอย่างสนุกสนาน สายฝนหลงฤดูทิ้งความร่าเริงไว้ตั้งแต่หัวไร่ถึงปลายนา ดอกโสนเหลืองไสวจนน่าเก็บไปชุบไข่ทอดกินกับน้ำพริกปลาทู


ฝนยังทำให้ตลาดสดแจ่มใสเป็นพิเศษ ด้วยหลากสีสันสดชื่นของผักและผลไม้ ปลากระโดดโผงผางอยู่ในกะละมัง เห็ดหลากสีวางกองในกระจาด มีกบมัดเป็นพวงวางขายหลายเจ้า คงจะมากับฝนคืนก่อน


พ่อค้าแม่ขายที่คุ้นหน้าพากันทักฉันเกรียวกราว บางคนที่ค่อนข้างสนิทสนมแกล้งแซวว่า "อ้าว ยังอยู่เหรอเนี่ย"

ตรงไปแผงไก่เจ้าประจำ สั่งให้สับโครงไก่อย่างเคย แม่ค้าคว้าอีโต้พลางถามว่า

"พี่ไม่มาหลายวัน ลูกสมุนกินอะไรกันล่ะจ๊ะ"

"กินลมชมวิว" ฉันยักคิ้วตอบแบบไม่กลัวอีโต้ที่กำลังสับไก่ดังโป๊กๆ


......


"ซื้อไข่ไก่ไข่เป็ดดีจ๊า" แม่ค้าไข่ส่งเสียงหวาน

"ไข่ไก่สิจ๊า" ฉันล้อเลียน แล้วหยุดยืนพิจารณาไข่ไก่สดในกระจาดที่ติดป้ายไว้หลายราคา

"อ้าว สิบฟองยี่สิบแปดบาท ขึ้นเป็นสามสิบแล้วเหรอ" ฉันจิ้มที่ป้าย

"ขึ้นแล้วจ้ะ ฉลองรัฐบาลใหม่" แม่ค้ายิ้มแจ่มใส ไม่รู้ตอบจริงใจหรือประชด

"งั้นเอาแค่ห้าฟอง"

"แหม ทุกทีซื้อสิบ" เธอค้อนควักขณะหยิบไข่

"ไว้อาลัยรัฐบาลเก่า" ฉันแกล้งว่า


.........


แม่ค้าปลาทูส่งยิ้มแต้มาแต่ไกล

"พี่ วันนี้ซื้อปลาทูหนูไหม เข่งนี้สิบ นี่ยี่บห้า นี่สามสิบ ตัวโต๊โต"


อืม ตัวโตจริงๆ ด้วย นึกถึงแมวๆ บ้านสี่ขา ไม่เคยมีวาสนาได้กินปลาทูเข่งละสามสิบ

"ทำไมเข่งนั้นไม่เหมือนเข่งนี้คะ ปลาทูเหมือนกันหรือเปล่า" ฉันอดถามไม่ได้

"มันคนละทะเลพี่ ตัวเล็กนี่ปลาทูไทย ตัวใหญ่นี่ปลาทูอินโด"

"แล้วทะเลไหนอร่อยกว่า"

"แหม มันก็แล้วแต่รสนิยม" ฟังค่ะ ฟังสำนวนสาวแม่กลอง

"เอ้า งั้นรสนิยมน้องเป็นไง" ฉันซักอย่างสนุก

"ถามหนู หนูก็ว่าปลาทูไทย ไม่รู้สิ ของใคร ใครก็ต้องว่าดี แต่บางคนเขาไม่สนหรอก อร่อยไม่อร่อย เขาว่าตัวโตต้องดีกว่าเพราะเนื้อเยอะกว่า แต่บางคนก็ไม่สนเหมือนกัน อะไรๆ ก็ขอให้ถูกๆ ไว้ก่อน"


เธอคงอยากบอกว่า สำหรับบางคน ปริมาณสำคัญกว่าคุณภาพ

"คนมันไม่เหมือนกันเนอะพี่ บางคนกินเพื่ออยู่ บางคนอยู่เพื่อกิน"

ปรัชญาแม่ค้าถูกใจ ฉันเลยอุดหนุนปลาทูไทยไปสองเข่ง


.......


เดินผ่านแผงกับข้าวปรุงสำเร็จ พ่อค้าหนุ่มกำลังทอดปลาอยู่ในกระทะใบใหญ่เสียงดังฉี่ฉ่า ปากก็เรียกลูกค้าแบบไม่ขาดตอน

"กินอะไรครับ กินอะไรดี แวะก่อนพี่ มีแกงเขียวหวานลูกชิ้น ยำเห็ด ต้มจืดมะระซี่โครงหมูเอามั้ยครับ ถุงสิบบาท เอาซักถุงน่า ดีกว่าไปแกงเอง สิบบาทซื้อมะระก็หมดแล้ว ยังไม่ได้ซี่โครงหมูสักท่อน ค่าน้ำปลาค่าแก๊สอีก ทำเองไม่คุ้มหรอกเชื่อผม"


ฉันเชื่อหลักเศรษฐศาสตร์ของพ่อค้า เลยได้ผัดหน่อไม้กับแกงจืดมะระมาอย่างละถุง ตั้งใจเดินกลับไปแผงขายไก่ ยังไม่ทันถึงก็โดนสกัดเสียก่อน

"พี่ พี่แต่งงานยัง"

ฉันสะดุ้ง คิดว่าหูฝาดที่ได้ยินคนถามถึงสถานภาพกลางตลาดสด

"พี่ยังไม่แต่งงานใช่ป่ะ" ชัดเลยคราวนี้ เสียงมาจากแผงขายของชำจำพวกของแห้ง กะปิ น้ำปลา ผงซักฟอก

ฉันเดินยิ้ม (แบบงงๆ) เข้าไปหาแม่ค้าวัยรุ่น

"ถามทำไมเนี่ย"

"พี่ตอบหนูก่อน พี่ยังไม่แต่งใช่มั้ยล่ะ"

"เออ ใช่"

"นั่นไง หนูว่าแล้ว พี่ยังโสดแหงๆ" เธอตบเข่าฉาด

"ทำไม หน้าพี่มันใสเด้งหรือโทรมดูไม่ได้" ฉันถามแบบเผื่อใจไว้ทั้งร้ายและดี

"ไม่รู้สิ หนูใช้สัญชาติญาณ นั่งนานๆ มันเซ็งต้องหาอะไรเล่นสนุกๆ หนูทายถูกว่าใครโสดไม่โสดมาเกือบสิบคนแล้วนะจะบอกให้"

ฉันเดินยิ้มค้างไปถึงแผงขายไก่ เสน่ห์ตลาดสดช่วยลดไข้ใจได้ชะงัดนัก นึกถึงตลาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้า ที่ชีวิตชีวาหายไปกับเครื่องปรับอากาศและเครื่องคิดเงิน


ใครหลายคนอาจถูกใจความสะอาด สะดวก และสบาย แต่ฉันยังรักตลาดสดที่เฉอะแฉะ วุ่นวาย มากมายการเจรจา เผลอๆ แม่ค้ายังแถมปรัชญาใส่ตะกร้ากลับบ้านให้ด้วย


....


"ไม่ซื้อไก่สักไม้เรอะหนู" เสียงทักของป้าหน้าตะแกรงย่างไก่ที่กำลังควันคลุ้ง ส่งกลิ่นหอมเกรียมๆ ฟุ้งไปรอบบริเวณ

"แหม มันแด๊งแดงจังเลยค่ะป้า" ฉันชะโงกดูไก่ย่างเสียบไม้ที่ย้อมสีจนแดงสด

"เอ๊า ไม่แดงได้ไง ก็ไก่มันใส่สี แต่ป้าใช้สีผสมอาหารนะ"

"แล้วทำไมถึงต้องใส่สีแดงคะ"

"เอ๊า" ป้าร้องอีก "ไม่แดงเขาก็ไม่กินกัน เขาว่ามันไม่สวย ไม่สด"

"อ้าว" ฉันร้องบ้าง "เนื้อไก่จริงๆ มันก็ไม่ได้สีแดงสดสักหน่อย"

"ก็นั่นแล้ะ..." ป้าเน้นเสียง "นั่นแหละ คนมันชอบอะไรจริงๆ ที่ไหน มันชอบอะไรปลอมๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่ามันดีไงล่ะ"

"ป้าคงไม่ว่าอะไรนะถ้าหนูไม่ซื้อ หนูไม่ชอบไก่สีแดง"

"จะว่าอาไร้ ต่างคนต่างใจ กระเพาะใครกระเพาะมัน"

ไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว ว่าแม่ค้าแถวนี้เขามีปรัชญา


.......


แล้วฉันก็หอบโครงไก่ ไข่ ปลาทู ผัก และของจิปาถะ พร้อมปรัชญาอีก ๒-๓ บทขี่รถกลับบ้าน รถเก่ายังส่งเสียงโกร่งกร่าง ในขณะที่ฉันรู้สึกว่ากายและใจเข้าที่เข้าทางกว่าเดิม

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…