Skip to main content

อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วย

มือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์

สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบ

เสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโต

ความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง แต่เกิดมีหมาๆ พากันเจ็บป่วยต่อเนื่องกันถึงห้าตัวในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดบ้านสี่ขาเกิดภาวะ "วิกฤติเศรษฐกิจ"

โครงการทำหมันแมวประสบภาวะชะงักงัน เนื่องจากการเงินของเจ้าของแมวขาดสภาพคล่อง เพื่อความปลอดภัย ฉันตัดสินใจเอาเสือจิ๋วกับสตางค์ใส่กรงไว้ก่อน เพราะมีแมวสาวๆ ที่ยังไม่ทำหมันอยู่หลายตัว

สองแมวน้อยไม่มีทีท่ารังเกียจกรง แถมยังรักกันนักหนา เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวเลียเนื้อตัวให้กัน กอดปล้ำกันจนกรงสะเทือน บางทีมีส่งเสียงเหมียวๆ คุยกันเสียด้วย ยามนอนก็กอดกันหลับปุ๋ยทุกคืน ใครจะนึกว่า ระหว่างแมวตัวผู้ "ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร"

เช้าวันหนึ่ง ฉันจึงตื่นด้วยเสียงแหบห้าวสองเสียงที่แผดใส่กันดังสนั่น ตอนแรกนึกว่าฝันไป เฮ้ย ไม่ใช่นี่หว่า เสียงมาจากกรงแมว ลุกไปดูด้วยความแปลกใจ ไม่ทันคิดว่าลูกแมวน้อยจะแตกเนื้อหนุ่มในช่วงข้ามคืน

เสือจิ๋วกับสตางค์เบียดพิงกรงอยู่คนละด้าน กำลังโก่งตัวพองขน ส่งเสียงเถียง(หรือท้ารบก็ไม่รู้) กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันที่ฉันจะประเมินสถานการณ์ สองแมวก็พุ่งใส่กันเหมือนคู่ชกมุมแดงและมุมน้ำเงินบนเวทีมวยราชดำเนิน โรมรันพันตูอยู่ในกรงจนขนกระจุยกระจาย ฉันกลัวสตางค์ที่ตัวเล็กกว่าจะโดนฟัดตาย จึงเปิดกรงเอื้อมมือเข้าไปดึงสตางค์ออก

พริบตานั้น เสือจิ๋วที่กำลังเมามันกับการต่อสู้ก็กระโจนเข้าขย้ำมือขวาของฉันเต็มที่ ฉันสะบัดมือขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขี้ยวที่ยังฝังอยู่จึงแหวกเนื้อเป็นทางยาว เสือจิ๋วถอนเขี้ยวแล้วกัดซ้ำ ทั้งกัดและตะกุยด้วยกรงเล็บตั้งแต่หลังมือจนถึงข้อศอก พริบตาเดียว มือฉันก็พรุน เลือดพรูออกมาจากทุกๆ รอยแผลเหมือนถุงใส่น้ำที่มีรูรั่ว

ฉันร้องไม่ออกเพราะตกใจ ผงะหงายหลังออกจากกรงจนเกือบหกล้ม รีบใช้ชายเสื้ออุดปากแผล แต่เอาไม่อยู่ (เพราะมีหลายรูเกินไป) เลือดไหลจนชุ่มเสื้อ บางส่วนหยดเป็นดวงๆ บนพื้นบ้าน ฉันก้มหน้าเห็นเลือดก็ตาลาย นึกได้ว่าต้องล้างแผลเป็นอันดับแรก รีบตะกายไปเปิดก็อกน้ำใส่มือและแขน เลือดไหลพลั่กๆ ปนกับน้ำจนแดงเต็มพื้น สีเข้มยิ่งกว่ายาอุทัยทิพย์

ฉันตกใจเสียดายเลือดตัวเองจนใจสั่นหวิวๆ รีบเอามือซ้ายรัดข้อมือขวาเพื่อห้ามเลือด เดินโซเซกลับมาล้มนอนบนแคร่เพราะหน้ามืด รู้สึกปวดแผลจนจะเป็นลม แต่ไม่กล้าเป็น เพราะกลัวว่ามือที่กดแผลไว้จะหลุด แล้วเลือดจะไหลหมดตัว จินตนาการว่าถ้าตายไปใครจะให้ข้าวหมาแมว

นอนหลับตากดแผลอยู่ราวห้านาที นึกได้ว่ากรงเปิดอยู่ ตายละ เดี๋ยวมันกระโจนไล่กันข้าวของพังหมด (ยังอุตส่าห์ห่วงสมบัติ) ฝืนสังขารลุกมาดู เห็นกรงว่างเปล่า ปรากฏว่าสองแมวไปแอบหลบกันอยู่คนละมุมบ้าน จานอาหารกับอ่างน้ำหกกระจายระเนระนาด

เจ้าน้อยหน่า หมาในบ้านตัวหนึ่งกระโดดไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนโมเม หมาพิการผู้น่าสงสารของฉันอุตส่าห์กระเสือกกระสนไปซุกอยู่ใต้แคร่ เลยจำต้องเลิกหน้ามืด กัดฟันล่อให้เสือจิ๋วเข้ากรง ไล่สตางค์ลงตะกร้าแล้วปิดฝา รู้สึกปวดแผลจนหน้ามืดอีกรอบหนึ่ง กลั้นใจดูสภาพยับเยินของมือและแขนแล้วก็เห็นว่าต้องไปโรงพยาบาลสถานเดียว กัดฟัน(จนเกือบหัก) อีกครั้ง ซมซานขี่รถออกไป ไม่รู้ว่าขี่ได้ยังไงโดยไม่ตกถนน แต่แล้วฉันก็ฝืนไปโรงพยาบาลไม่ไหว เพราะอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกม.เลยไปหมดแรงแค่สถานีอนามัยตำบล

“แผลลึกนะคะนี่ ต้องรักษากันยาวเลย” เจ้าหน้าที่พยายามยัดผ้าก็อซชุบยาลงไปในแผลจนหมดทั้งชิ้น ฉันมองดูกรรมวิธีทำแผลที่ดูเหมือนการยัดนุ่นใส่หมอนแล้วก็เกือบเป็นลมอีกครั้ง

กว่าจะเสร็จเรื่อง วันนั้นหมาแมวได้กินข้าวเกือบเที่ยงคืนเพราะฉันหิ้วหม้อข้าวไม่ไหว

ผ่านไปสองวัน มือและแขนของฉันก็อักเสบ บวมเป่งเหมือนใส่นวมนักมวย ลองกดดูก็นิ่มๆ เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำเข้าไปจนพองแทนการเป่าลม  มองอีกทีก็เหมือนแขนป๊อบอายหลังกินผักโขม ดูแล้วตลกดี

นึกถึงปฏิกิริยาของบางคนที่รับรู้เหตุการณ์ระทึกใจในบ้านสี่ขา

คนที่ทำแผลให้ฉันบอกว่า
“ยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือคะ น่าจะทิ้งๆ ไปซะ เดี๋ยวก็ถูกกัดอีกหรอก”

เพื่อนบ้านคนที่เคยเอาหมาแลกถังถึงกับเดินมาขอดูบาดแผล แล้วแสดงทัศนะส่วนตัวว่า
“เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะทุบหัวให้ตายคามือเดี๋ยวนั้นเลย”

อีกคนบอกว่า “บอกแล้วไง อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน เลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่อง” แถมอาสาว่า “ถ้าไม่กล้า จะจัดการให้เอามั้ย”

ทำไมบางคนจึงชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ฉันโทรศัพท์เล่าให้แม่ฟัง แม่(ซึ่งถือหางข้างแมว)บอกว่า “จะเอาสำนึกอะไรนักหนากับหมาแมว อยู่ๆ มันมากัดเล่นๆ เมื่อไหร่ เราไปยุ่งกับมันเองแท้ๆ ทีคนมีสมองมากกว่ายังทำผิด แล้วก็ไม่ใช่จะประหารชีวิตกันง่ายๆ นะ ยังมีขออภัยโทษ นี่อาไร้ เป็นสัตว์เข้าหน่อย เอะอะก็จะฆ่าจะแกง”

แล้วแม่ก็สรุปว่า “คนใจดำ”

ในเรื่องร้ายๆ ฉันพบว่ามีหลายเรื่องดีๆ การที่มือขวาใช้ไม่ได้ ทำให้ฉันค้นพบศักยภาพของมือซ้ายที่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

ชีวิตประจำวันของบ้านสี่ขา อันประกอบไปด้วย ก่อไฟ หุงข้าว(ให้หมา) ซักผ้า ล้างจาน หิ้วน้ำรดต้นไม้ เผาขยะ กวาดอึหมา เก็บอึแมว และอีกร้อยเรื่องจิปาถะ ฉันพบว่ามือซ้ายก็ทำได้ แม้จะไม่เรียบร้อย และใช้เวลามากกว่ามือขวาหลายเท่า รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นอีกเยอะ

เป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า “ปากกัดตีนถีบ” จริงๆ อะไรที่มือเดียวทำไม่ได้หรือไม่ถนัด ฉันจำเป็นต้องใช้ทั้งปากและเท้าช่วย

ใครอยากรู้ว่ายากแค่ไหน ลองนุ่งผ้าถุงด้วยมือข้างเดียวดูนะคะ มือข้างที่ไม่ถนัดนั่นละค่ะ ใครนุ่งได้ง่ายๆ และรวดเร็วช่วยบอกวิธีให้ด้วย

มีคนถามว่าฉันจัดการยังไงกับเสือจิ๋ว ฉันว่า หาวิธีจัดการกับตัวเองสนุกกว่า

สิ่งหนึ่งที่ฉันคิด ขณะที่กำลังพยายามเขียนเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยมือซ้าย ก็คือ ถึงแม้เราจะรักและหวังดีต่อชีวิตแมว หรือชีวิตใครก็ตาม ในบางวิถี เราก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปแทรก

ขอบใจเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋ว ที่ทำให้คน(บางคน)ตระหนักในที่ทางและศักยภาพของตัวเอง

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…