Skip to main content

ความเป็นเด็กบ้านนอกด้วยก็เป็นได้  และความจริงก็มักเป็นอย่างนั้นเสมอ  คือ...เรื่องมีอยู่ว่า เวลาที่เราต้องขึ้นรถโดยสารสาธารณะระหว่างเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่ง  ก่อนโน้นคราวที่เรายังเด็ก รถรายังไม่ได้มีมากนักในสังคมชนบท  ว่าก็เมื่อก่อนชาวบ้านยังไม่รู้วิธีกูเงิน หรือหาเงินทีละเยอะๆ นั่นเอง   ดังนั้นเวลาเดินทาง ผู้คนจำนวนมากจึงต้องอาศัยรถโดยสารเป็นสำคัญ  ทีนี้เรื่องมันก็มีต่อไปว่า  เด็กรถ กระเปารถ มันจะดุมากๆ มันไม่รู้จะดุไปทำไม  แล้วชาวบ้านก็ไม่กล้าว่าอะไรมัน ด้วยท่าทางวางท่าแบบอันธพาลของมัน(เราจะเรียกคนแบบนี้ว่าอันธพาล ไม่ใช่นักเลง เพราะนักเลงคือคนกล้าที่จะปกป้องคนอื่น)  บางทีเราก็สงสัยอยู่ว่า เวลาที่มันบอกให้ "เดินในหน่อยเพ่ เดินในหน่อยเพ่" ด้วยเสียงที่ดุดันนั้น  มันได้ดูหรือเปล่าว่า มันเดินไปไม่ได้แล้ว  หรือเพียงแต่มันก็ใช้อำนาจของมันไป ซึ่งมันนึกว่ามันเหนือกว่าชาวบ้านขณะนั้น  แทนที่มันจะดำรงตนในฐานะผู้ให้บริการ


ความเป็นเด็กบ้านนอก  เมื่อยามที่เราเข้าเมือง หรือไปตลาด สมัยโน้นเรามักเรียกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดว่าเจ๊ก ด้วยความที่พวกเขาทั้งหลายมักเป็นคนจีน  ดังนั้นเวลาที่เราเหล่าคนบ้านนอกไปซื้อของ เจ๊กในตลาดก็มักดุเรา ว่าเรา ขู่เข็ญเราเสมอ  เช่นเมื่อเราอยากได้ของสักอย่าง พอเข้าไปในร้านเขาก็มักถามเสียงแข็งๆ ว่า "เอาอะไร"  เมื่อเราแจ้งว่าจะเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้  หรือเราถามว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือไม่ เขาก็บอกว่า "มี เอาเท่าไหร่" ด้วยความเป็นคนบ้านนอก เราก็ไม่กล้าไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา  บ่อยครั้งเราก็จำยอมซื้อของของเขามา  โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าความจริงเรามีทางเลือกมากกว่านั้นหรือไม่

เมื่อเราโตขึ้น เราได้รู้จักคำๆ หนึ่ง นั่นก็คือคำว่า "บริการ"  โชคดีที่เราได้ยินได้ฟังเรื่องราวดีๆ ของการบริการ  เราได้ยินคนบางคนบอกว่า เขาชอบทำงานนี้มากเลย  เขารู้สึกว่าเขาเองมีความสุขมากเมื่อเขาได้บริการคนอื่น  แน่นอนว่ามันไม่ใช่การรับใช้  แต่มันคือการบริการ  การบริการที่ทำให้คนอื่นเข้าถึงเรื่องราวบางเรื่อง เข้าถึงความรู้ เข้าถึงทรัพยากร เข้าถึงความเท่าเทียมในสังคม เข้าถึงสาธารณูปโภคที่เท่าเทียมที่ทุกคนควรได้รับ  และเข้าถึงความเป็นมนุษย์ดั่งเดียวกับคนอื่นๆ เหมือนกับคนเมือง ด้วยศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีเงินอยู่สามร้อยบาทกับคนที่มีเงินอยู่สามร้อยล้านก็ตาม  นั่นทำให้เรารู้สึกดีกับงานบริการ.....

ปรากฏการณ์ที่ยังเห็นในโลกสมัยใหม่ก็คือ  งานบริการก็เป็นงานหนึ่งที่ก่อให้เกิดรายได้  นั่นก็ทำให้มีคนจำนวนมากที่ได้ทำงานบริการ  และนั่นทำให้เราพบว่า หลายครั้ง ผู้คนหลายคนก็ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ตนทำ  แน่นอนว่า ลับหลังพวกเขาอาจจะเรียกลูกค้าด้วยคำหยาบคาย  แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาทั้งหลายก็เหนื่อย และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายก็มักถูกเรียกใช้อย่างเกินเลยขอบเขตของความบริการในหลายครั้งหลายโอกาส ถึงบางคนก็โดนบ่อยๆ ในแต่ละวัน นี่ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ  ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการที่ที่ไม่ค่อยกล้าพูดกล้าเรียกร้องสุทธิของตัว บางคราวก็ถูกผู้ให้บริการบางคนดุด่าว่าเอาแรงๆ นั่นก็มีให้เห็นกันอยู่มิได้ขาด แล้วบางครั้งก็ยังมีเรื่องความไม่รับผิดชอบกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ก็ตัดรำคาญไป สำหรับเราแล้วนั่นนับเป็นเรื่องเสียหายมิใช่น้อย เพราะมันคือการเอาเปรียบกันอย่างโจ่งแจ้งและสมยอม

ว่ามาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกว่า  ไม่ว่าเราจะเป็นใครบนโลกใบนี้  ใช่ว่า วิถีของเรา สถานะของเราไม่ได้เท่ากัน  แต่สิ่งที่เราควรจะเท่ากันคือความเป็นมนุษย์  เรามักนึกภาพในฝันของเราว่า เมื่อเราอยู่ในฐานะผู้ใช้บริการ  เราก็ใช้ในขอบเขตที่เราเคารพผู้ให้บริการก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา   เมื่อเราอยู่ในฐานะผู้ให้บริการ เราก็เกื้อกูลผู้รับบริการตามสมควร และเคารพเขาในฐานะมนุษย์เช่นเดียวกับเรา  และทุกคนก็เคารพตัวเอง เคารพหน้าที่การงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจและมีศักดิ์ศรี  แค่นี้ก็พอแล้ว...

 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
จะเขียนทุ่งเขียนทางเขียนช้างม้า                  เขียนความคิดขานค่าจังหวะวิถี
นาโก๊ะลี
ทนายจำเลย ชูรถเมล์จำลอง แล้วถามพยานโจทย์ ซึ่งก็คือ Jacky ตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้นได้นั่นเอง  ทนายจำเลยถามว่า รู้ได้ไงว่า จำเลยคือคนกระทำผิด Jacky บอกว่า ก็เขาเป็นคนไล่จับจำเลยมา แล้วจำเลยก็หนีขึ้นรถเมล์  ทนายชูรถจำลองนั้นแล้วถามว่า เมื่อคุณมองดูรถเมล์ คุณเห็นมันทั้งคันหรือเปล่า เขาก็บอกว่า เปล่า อีกข้างหนึ่งก็มองไม่เห็น  ทลายจำเลยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของรถเมล์เกิดอะไรขึ้น  การโต้เถียงประเด็นนี้ ทำให้ศาลพิพากษา ยกฟ้อง  แต่นี่เป็นเพียงเรื่องราวในหนังครับ วิ่งสู้ฟัดภาคแรก ของเฉินหลง  แต่เรื่องนี้ มันมีเรื่องน่าสนใจ....
นาโก๊ะลี
หากว่า ผืนแผ่นดินที่งดงาม สร้างคนให้งดงาม  แล้วผืนแผ่นดินที่ยากแค้นลำเค็ญเล่า จะสร้างคนมาแบบใด...ความจริงนี่ก็อาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากนัก  แต่ ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่...นี่ก็อาจต้องมองเข้าไปในรายละเอียดมากขึ้น...กระมัง  การเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิต  ในซากปรักหักพัง ของภัยธรรมชาติอันได้คร่าชีวิตคนไปมากมาย  ในกลิ่นของความตายและความเศร้าโศก เราได้เห็นหน่ออ่อนของต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมา ในความชื้น ภายใต้ซากปรักหักพังนั้น
นาโก๊ะลี
การสูญเสีย ดูจะเป็นเงื่อนไขใหญ่ที่ทำให้คนเราตกไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เสียศูนย์”  มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามีตาย ภรรยาตกอยู่ในสภาวะเสียศูนย์ถึงยี่สิบปี ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม  นี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโม้ก็ไม่อาจรู้ได้  แต่ความจริงที่เห็นโดยส่วนใหญ่ ความสูญเสียก็มักเป็นเรื่องที่กระทบกับหัวใจคนอย่างรุนแรง  เช่น อกหัก  หรือ คนที่เรารักตายไป  หรือความพ่ายแพ้  ซึ่งความพ่ายแพ้นี่ก็คือการเสียฟอร์ม มันก็คือการเสียศูนย์ความเป็นตัวตนนั่นเอง
นาโก๊ะลี
ชีวิตหลุดลอยไปในบางวาระ           ซึ่งในสถานะแห่งมนุษย์ กับการเดินทางอันไม่สิ้นสุด            บางคราวนั้นจึงสะดุด จึงทรุดโทรม พลาดหวังพังพ่ายสลายสิ้น             ทั่วผืนแผ่นดินทุกข์ท่วมถั่งโถม เสพย์สิ่งใดได้บ้างพอปลอบประโลม เมามายโง่โงมระทมร้าว ภาวะเช่นไรเหนี่ยวนำพา                เมื่อความปรารถนาที่บอกกล่าว ล้มเหลวไปในทางที่ทอดยาว     …
นาโก๊ะลี
คนสวนนักสะสมเมล็ดพันธุ์
นาโก๊ะลี
บ่อยไป หรือหลายครั้งหลายหนในการงานของชีวิต  ที่เราต้องทำงานบางอย่าง  บางอย่างที่ไม่ใช่หน้าที่  ไม่ใช่งานของเรา  เพียงแต่ว่า  นั่นคืองานที่มันเกี่ยวข้องกับเรา งานที่ต้องเกื้อหนุนงานของเรา  และเราก็มักจะไม่พอใจที่คนที่เขามีหน้าที่นั้น เขาทำไม่ได้อย่างที่เราต้องการ 
นาโก๊ะลี
ยามที่บางคนกล่าวคำว่า “มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต” มันฟังดูคล้ายเขาจะบอกว่า สิ่งที่เขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญกว่านี้ไปอีกแล้ว.... และหลายครั้งที่เราจะพบว่า คนๆ เดียวกันนี้ก็กล่าวถึงสิ่งอื่นๆ ในเรื่องอื่นๆ ในวาระอื่นๆ ว่า “มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต” และด้วยท่าทีที่คล้ายว่า สิ่งนั้นเป็นที่สุดแห่งความสำคัญดั่งเดียวกับทุกๆ ครั้ง ทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา
นาโก๊ะลี
ถ้อยคำที่ประทับใจ แม่ทับเหวินไท่ บอกกับแม่ทัพ ฮัวมู่หลานว่า “เมื่อเจ้าสวมเกราะแม่ทัพ ชีวิตก็ไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว” ในสมรภูมิหนึ่ง เมื่อกองทัพของฮัวมู่หลานถูกหักหลัง น้องชายลูกพี่ลูกน้องของฮัวมู่หลาน และทหารจำนวนหนึ่งถูกจับเป็นเชลย และถูกเอามาล่อให้ทหารออกไปช่วย ในสภาวะที่ไม่อาจทำอย่างไรได้ มีทหารคนหนึ่งบอกกับแม่ทัพว่า เราต้องออกไปช่วยพวกเขา “นั่นเสี่ยวหู่นะ เขาเป็นน้องชายท่านนะ” แม่ทัพบอกว่า “พวกเจ้าก็เป็นพี่น้องของข้าเช่นเดียวกัน”
นาโก๊ะลี
วัดเซนแห่งหนึ่ง พระเซนต่างก็ปฏิบัติภาวนาในวิถีแห่งเซน คราวหนึ่งในวัดเกิดเรื่องขึ้น มีของหายในวัด หลายครั้งหลายหน เกิดความเดือดร้อนไปทั้งวัด เมื่อทำการสืบสวน สอบสวนในที่สุดก็พบขโมย ซึ่งก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวัด มีการเรียกประชุมสมาชิกทั้งวัด เหล่าพระเซนทั้งหลายต่างก็เรียกร้องให้ขับขโมยออกจากวัด ทั้งมีเสียงสนับสนุนมากมายต่อการลงโทษขั้นเด็ดขาดด้วยการขับออกจากวัดนั้น ในที่สุดเจ้าอาวาสก็กล่าวต่อคณะสงฆ์ และสมาชิกวัดทั้งหมดว่า “พวกเธอทั้งหลายผู้ได้เรียนรู้แล้วถึงความถูกต้องดีงาม พวกเธอสามารถใช้ชีวิตอย่างรู้ผิดชอบชั่วดี พวกเธอทั้งหลายจึงสมควรเป็นผู้ออกจากวัด แต่ผู้ที่เป็นขโมยนั้น…
นาโก๊ะลี
คนสวน ปลูกพืชผักธัญญาหาร เฝ้าดูกี่เติบโต จนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต คนสวนบอกว่า เมื่อต้นไม้เริ่มงอกออกมา มันต้องการอาหาร ต้องการการบำรุงรักษา จนกว่ามันจะโตเต็มที่ เริ่มให้ดอกผล บางอย่างเก็บดอก บางอย่างเก็บใบ บางอย่างเก็บผล ก็ว่ากันไป แต่เมื่อมันให้ผลนั่นแล้ว มันก็จะค่อยๆ แห้งเหี่ยว ตายไป ระหว่างนี้มันไม่ต้องการอาหารมาก มันไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก.......
นาโก๊ะลี
ในชีวิตของเรา มีความพยายามมากมายนัก พยายามที่จะทำบางสิ่ง พยายามที่จะไม่ทำบางสิ่ง พยายามที่จะรัก พยายามที่จะไม่รัก ดูเหมือนโลกไม่ได้จัดวางชีวิตเราให้เป็นไปตามความปรารถนา และหลายครั้งเราก็เชื่อได้ว่า ความสมบูรณ์พร้อมนั้น ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แม้แต่คนที่เขาแสดงออกว่า ชีวิตเขาช่างพรั่งพร้อม ได้ทุกอย่างตามที่ตนปรารถนา นั่นก็เป็นเพียงการโม้โป้ปดเท่านั้นเองกระมัง เพราะที่สุดแล้วเขาอาจซ่อนบางสิ่งเอาไว้ บางสิ่งที่เขามิได้ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด