Skip to main content
เมื่อเราเด็กๆ เราจำได้อยู่ว่า ในหมู่บ้านของเรา เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ด้วยสายตาของเด็ก เราจะรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวนั้นใหญ่โต เส้นทางแต่ละทางมันก็ยาวไกล กระนั้นเราก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับความไกลและใหญ่โตนั้นเสมอ เป็นต้นว่า เดินไปโรงเรียน เดินไปลำห้วยท้ายหมู่บ้าน หรือเดินไปไร่ไปนา สิ่งสำคัญที่อยากจะเล่าเอาไว้ก็คือ ช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะไปไหน เราก็เดินไป ไม่ใช่เฉพาะเราเด็กๆ เท่านั้น ผู้ใหญ่เอง หรือคนเฒ่าคนแก่ก็เดิน ไปไร่ไปนาก็เดิน ขึ้นเขาหาหน่อไม้ก็เดิน ไปตลาดเท่านั้นถึงจะนั่งรถไป หรือกระทั่งบางครั้งก็ยังได้เคยซ้อนท้ายจักรยานคนเฒ่าไปตลาด นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตเราง่ายเหลือหลาย อยากไปไหนเราก็ไปทันทีทันใด โดยไม่ต้องรอ จะรอก็แต่รอเพื่อนเท่านั้น


เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เมื่อขี่จักรยานเป็น เริ่มมีจักรยานเป็นของตัวเอง ยิ่งเฉพาะเป็นจักรยานวิบากด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นเรื่องสนุกสนาน ดังนั้นเวลาไปไหนมาไหนเราก็ไม่ต้องเดิน ทุกๆ ที่ในหมู่บ้านเราไปถึงด้วยจักรยานสุดเท่ห์ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เพื่อนๆ ทั้งหลายก็ล้วนต่างมีรถใช้เช่นเดียวกัน ใครที่บ้านมีเงินหน่อยก็ใช้มอเตอร์ไซค์ จนเมื่อเริ่มเป็นหนุ่ม เข้าเมืองหลวง หรือไปอยู่ตามเมืองใหญ่อื่นๆ เราก็เริ่มเดินน้อยลง ด้วยสภาพอากาศในเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายนั้นไม่เหมาะแก่การเดินเท่าไหร่นัก

 

เมื่อคราวขึ้นไปอยู่บนดอย หมู่บ้านปกาเกอะญอ ไม่ว่าจะไปไหนวาระนั้นเราต่างก็เดินไป ทางไกล ทางใกล้ข้ามเขากี่ลูก เราก็เดินกันไป จนเราคุ้นเคยกับการเดินไม่สร่างซา แต่ก็นั่นแหละ หลายปีผ่านไป ในหมู่บ้านบนดอยก็เริ่มมีรถมอเตอร์ไซค์ คนที่เริ่มมีรถ ก็เริ่มเดินน้อยลงไป

 

กลับเข้าเมืองไม่นาน เราก็แทบจะไม่ได้เดินเลยในแต่ละวัน หลายครั้งเราก็ได้คุยกับผู้คนใครต่อใคร รวมถึงเพื่อนๆ ด้วยถึงเรื่องการเดินที่หายไปจากถนนหนทาง ทางไปซื้อของตามร้านของชำใกล้บ้านก็ยังขี่รถไป ถึงยุคสมัยนี้ก็แทบไม่มีคนเดินถนนเสียแล้ว

 

เมื่อออกจากเมืองกลับสู่ชนบท ภาพของคนเดินถนนที่เราคุ้นตาตั้งแต่เยาว์วัยก็หายไปหมดแล้ว แม้ว่าทางเดินจะสั้นลงเมื่อมองจากสายตาของความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งของที่เกี่ยวข้องก็เล็กลง ภาพที่ปรากฏวันนี้ก็คือ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไปไหนมาไหนใกล้หรือไกลในหมู่บ้าน ทุกคนก็ใช้รถ อย่างน้อยก็มอเตอร์ไซค์ ดังนั้น ถนนหน้าบ้าน แม้จะมีคนสัญจรผ่านทางมิได้ขาด แต่ก็มีแต่การสัญจรโดยรถเท่านั้น แล้วเด็ก ๆ เล็กๆ ก็ลำบากมากขึ้นในการออกไปวิ่งเล่น

 

ความปรารถนาที่จะกลับมาสู่ความง่ายงามเหมือนเมื่อเยาว์วัย ทำให้เราเริ่มอยากกลับมาเดินไปไหนมาไหน แต่สิ่งที่ปรากฏก็คือ ภาพที่ทุกคนในช่วงเวลานี้ คือ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เดินบนถนน ดังนั้นปกติเวลาเราเดินไปไหน ก็จะมีหมาเห่าเต็มไปหมด ขณะที่เมื่อเราเด็กๆ เราเดินไปไหนก็ไม่มีปัญหาเรื่องหมาเห่า นอกจากหมาบ้านไหนดุ ซึ่งเราก็จะหลีกเลี่ยงบ้านนั้น และเราก็จะกลายเป็นคนแปลกประหลาด ถึงขั้น เวลาเดินสวนกับคนบางคนที่ขี่รถมา เขาก็ยังอุตส่าห์ถามว่าเรามาจากไหน จะไปไหน ด้วยสายตาคลางแคลง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนั้นพวกเขาทั้งหลายก็เดินอยู่เช่นเดียวกัน หนักเข้ายิ่งหากสะพายย่ามมาด้วยก็จะถามเอาเลยว่าสะพายอะไรมา.....

 

ทางเดินในชนบทวันนี้ ก็ไม่ต่างจากเมืองเสียแล้ว แม้อากาศยังบริสุทธิ์ ท้องฟ้าแจ่มใส บรรยากาศจะน่าเดินเพียงใด แต่ทั้งหมดก็เหมือนว่า ถนนหนทางสงวนไว้สำหรับรถราเท่านั้น....

 

 

 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
บางกอก เมืองหลวงที่รวมของทุกสิ่งในประเทศ ที่รวมของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ความหลากหลายตามที่ใครต่อใครบอกกล่าวกันว่า นั่นเป็นเรื่องสวยงาม ก็ว่ากันไป บางคนก็อาจเข้าใจได้ตามที่กล่าว แต่บางคนก็แค่ตีฝีปากเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ก็แล้วแต่ต้นทุนของใครของมัน มีความจริงอันหนึ่งก็คือ ในบางกอก ที่ที่มีทุกอย่างให้แสวงหา แต่ก็กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพ ซึ่งดูเหมือนเมืองที่มีทุกสิ่งอย่างบางกอก จะไม่มีสิ่งนี้ หรือเปล่า...มั้ง...
นาโก๊ะลี
เดือนธันวาคม....คล้ายกับว่า ผู้คนมากมายล้วนให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายต่อเดือนนี้ เป็นพิเศษ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะด้วยว่ามันเป็นเดือนสุดท้ายของปี และก็เป็นเดือนของฤดูหนาว ที่ผู้คนจะได้ออกเดินทาง จะได้ท่องเที่ยว เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวๆ เป็นเดือนที่ทุกคนคล้ายอยากให้ถึง หรือไม่อยากให้ถึง เพราะนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ว่า อีกปีหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว สายลมที่นำพาลมหนาวมาหยุดพัดไปบ้างแล้ว ในชนบท สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเหน็บหนาวที่แทรกอยู่ในอากาศ ดังนั้นแม้ไม่มีลมหนาว ก็ยังหนาว ใต้ถุนเรือน หรือลานบ้าน เป็นที่ก่อไฟให้ล้อมวงผิงไฟ เช้าๆ หรือยามค่ำคืน…
นาโก๊ะลี
  ริมฝั่งน้ำที่ไม้ได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดนัก ลมเหนือพัดพาไอหนาวมาถึง และนั่นก็พอก่อให้ผืนน้ำเกิดก่อเป็นคลื่นเล็กๆ เคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง หรือแปลเปลี่ยนทิศทางไปตามแรงลม นั่นมิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างออกไป หากแต่ว่า ในผืนน้ำอันมิได้กว้างใหญ่เท่านั้นนั้น ปรากฏเศษหญ้าที่ลอยไปตามน้ำและลม เราเห็นแล้ว มันเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย มันเคลื่อนไปเพราะไม่ใช่ต้นหญ้าอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีชีวิต มันไม่มีที่ทางให้หยัดยืน มันมิได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเอง มันย่อมไม่เรียกว่ามันดำรงอยู่  
นาโก๊ะลี
สิ่งแรกที่อยากบอกเล่าก็คือเรื่องของความมหัศจรรย์ ติช นัท ฮันห์ บอกว่า ความมหัศจรรย์ของชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การเดินบนน้ำได้ หรือการเหาะได้ แต่การยืน และเดินอยู่บนผืนแผ่นดิน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว เช่นนั้นแล้วยามใดที่ชีวิตมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น นั่นก็คงเป็นความมหัศจรรย์ด้วยนั่นเอง
นาโก๊ะลี
การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์... มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย
นาโก๊ะลี
อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
นาโก๊ะลี
ฉันจะดำรงอยู่เพื่อเธอ                      และฉันเรียนรู้เสมอเป็นอย่างนี้ เราเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมี                มาหลอมเป็นวิถีเป็นทางของเรา ฉันยังได้ยินเสียงของเธอ                 ถ้อยคำนำเสนอมาบอกเล่า พาไปค้นแก่นแท้จากวัยเยาว์             เห็นดวงจิตเก่าซึ่งงดงาม ฉันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ  …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างก็เคยล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ นั่นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกออกไป เราทั้งหลายรับรู้และประสบเช่นนั้นเสมอมาว่ากันไป แต่สิ่งที่เรานึกถึงในช่วงเวลานี้ก็คือ หลายครั้งหลายคราวที่เราประสบความล้มเหลวกับกิจการงานแห่งชีวิต เรามักมองเห็นเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยอันนำมาสู่ความล้มเหลวนั้น นี่ก็ว่าถึงคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยนั้น คนเดียว และสาเหตุเดียวที่มิได้เกี่ยวข้อง และอยู่นอกเหนือเงื่อนไขนั้นก็คือเรา (หรือเปล่า...มั้ง) หรือว่าเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นเป็นสาเหตุอันเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ว่ากันไปตามสภาพที่พบทั่วไป…
นาโก๊ะลี
เช้าวันนี้....มีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความรู้สึกบอกเราว่า นี่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูที่ใครๆ หลายคนนิยมชมชอบ หมอกจางๆ ทำให้ทางเดินในสวนสลัวราง มองไปไกลๆ ในบึงเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ในความสลัวนั้น นับเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยนัก พระอาทิตย์สีแดงดวงโตๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากสายหมอก นับเป็นยามเช้าที่เบิกบานและงดงามได้ไม่น้อยทีเดียว
นาโก๊ะลี
“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในชีวิต
นาโก๊ะลี
เมื่อยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรนัก เวลาที่เราเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเหนือกว่าธรรมชาติ เราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การบินของเรือบิน เราคิดว่านั่นเป็นความพิเศษที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วยังมีสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ไฟฟ้า ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรารู้มาว่ามันเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ และเราก็คิดว่า นั่นไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มันคือความเก่งของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
นาโก๊ะลี
แผ่นดินกี่แดนใด               มีเอาไว้ให้พักพิง ยามเหนื่อยได้แอบอิง         หลบมาพักเพื่อฟื้นฟู ออกไปจากบ้านเก่า            จากวัยเยาว์ไปเรียนรู้ เติบโตค่อยมาดู                 ผืนแผนดินแห่งวันวาน หรือจากแล้วไปลับ             เดินทางกลับเลยทางผ่าน เป็นเวลาชั่วกาลนาน           ที่ลับล่วงแล้วพ้นเลย…