Skip to main content

รุ่งอรุณ สัมปัชชลิต” แปลเรื่อง จากเถ้าธุลี จากต้นฉบับ Out of the Ashes ที่เขียนโดย “Michael Morpurgo” นักเขียนชาวอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากคนหนึ่งในฐานะนักเขียนวรรณกรรมเยาวชน


จนถึงปัจจุบัน “Michael Morpurgo” มีผลงานทั้งหมด 95 เรื่อง ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกกว่ายี่สิบภาษาและนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ห้าเรื่องด้วยกัน


เขาได้รับรางวัลทางด้านวรรณกรรมเยาวชนมากมาย เช่น รางวัล The Children’s Book Award, The Whitbread Award นอกจากนี้ เขายังได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีเกียรติสูงสุดด้านวรรณกรรมสำหรับเด็กของประเทศอังกฤษ


รวมทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE (Member of the Order of the British Empire) จากโครงการ “ฟาร์มสำหรับเด็กเมือง” ซึ่งเป็นโครงการเพื่อการกุศลที่เขาจัดขึ้นเพื่อให้เด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับสัตว์


หนังสือเรื่อง Out of the Ashes หรือ จากเถ้าธุลี นั้นมีเนื้อหาว่าด้วยความรัก ความผูกพันในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูกแห่งครอบครัวปศุสัตว์ในชนบทของประเทศอังกฤษ และระหว่างเด็กน้อย “เบกกี้” กับสัตว์เลี้ยงหลากชนิดในฟาร์มของเธอ แต่แล้วเธอก็สูญเสียสัตว์เลี้ยงแสนรักไปทั้งหมดเพราะโรคระบาด


โรคระบาดปากและเท้าเปื่อยในประเทศอังกฤษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง คือเกิดขึ้นในปี ค.. 2001 เป็นการระบาดครั้งแรกในรอบยี่สิบปีของอังกฤษ การระบาดเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางรุนแรง ยังผลให้มีการทำลายสัตว์เลี้ยงไปถึงสามล้านตัว เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ลืมไม่ลงของเกษตรกรชาวอังกฤษ


จากเถ้าธุลี ถือเป็นพันธกิจและความรับผิดชอบในฐานะนักเขียนที่มีต่อสังคมที่อาศัยอยู่ นอกจากจะเป็นการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในรูปแบบของวรรณกรรมแล้ว ยังถือเป็นกำลังใจผู้เขียนอยากจะมอบให้แก่เกษตรกรผู้ประสบเคราะห์กรรม


หนังสือเล่มนี้อุทิศแด่เกษตรกรและชุมชนเกษตรทุกแห่งที่ประสบความเสียหายในช่วงโรคปากและเท้าเปื่อยระบาดในปี 2001”


(
ว่าที่จริง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาในประเทศไทยก็เกิดโรคระบาดไข้หวัดนกที่ทำให้ต้องทำลายสัตว์เลี้ยงไปเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สำหรับเกษตรกรของไทย แต่ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ในรูปแบบของวรรณกรรมแต่อย่างใด)


จากเถ้าธุลี ถูกถ่ายทอดด้วยวิธีการเล่าง่าย ๆ ในรูปแบบบันทึกประจำวันของเด็กหญิงเบกกี้ มีรูปวาดสัตว์เลี้ยงประกอบการเล่าเรื่องตามสมควร และเพื่อต้องการตอกย้ำให้เห็นถึงความจริงจังหนักแน่น เบกกี้เริ่มต้นบันทึกว่า


เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นเลย ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจริง ฉันรู้เพราะฉันอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ฉันเห็นด้วยตาตัวเอง มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ฉันไม่มีวันลืม”


รูบี้-ม้าสีน้ำตาลแดง แผงคอและหางสีเข้ม เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักที่อยู่ในใจอันดับหนึ่งของเบกกี้ ต่อมาคือแบรด-สัตวแพทย์รูปหล่อที่คอยดูแลรักษาสัตว์ในฟาร์ม เบกกี้บอกว่า “หน้าตาเขาหล่อมาก เหมือนแบรดพิตต์ สวมหมวกออสเตรเลียนด้วย” อันดับสามคือบ๊อบ-สุนัขเลี้ยงแกะจอมขี้เกียจที่ชอบวิ่งตามอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวได้ยกเว้นสัตว์ในฟาร์ม


บันทึกของเบกกี้ค่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันของเธอที่มีต่อทุกอย่างรอบตัวตั้งแต่พ่อแม่ ครูและเพื่อนที่โรงเรียนและที่เบกกี้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของเธอ สัตว์ทุกตัวมีชื่อเรียก แม่วัวพันธุ์จะถูกตั้งชื่อเหมือนดอกไม้ เช่น ทิวลิป แมรีโกลด์ ซีแลนไดน์ ส่วนหมู จะใช้ชื่อที่มีตัว “จ” เช่น เจสสิกา เจไมมา เจเซอเบล ส่วนลูกแกะที่เบกกี้ทำคลอดให้ด้วยตัวเองมีชื่อว่าลิตเติลจอช


ครอบครัวของเบกกี้อยู่กันอย่างมีความสุข จนกระทั่ง วันหนึ่งสัญญาณร้ายก็มาเยือนเมื่อมีข่าวการแพร่ระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อย แม้ว่าจะห่างออกไปถึงสามร้อยไมล์แต่ก็สร้างความกังวลใจให้กับครอบครัวของเบกกี้อย่างใหญ่หลวง

โรคระบาดลุกลามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งอยู่ใกล้ไม่เกินสองไมล์ บรรยากาศในครอบครัวมีแต่ความหดหู่กังวล ความสุขครั้งเก่าก่อนหายไป


พ่อแทบไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน ไม่กินข้าวเที่ยงและแทบไม่แตะมือเย็นด้วย แม่พยายามเต็มที่เพื่อให้พ่อร่าเริง ฉันก็เหมือนกัน แต่โรคปากและเท้าเปื่อยเกาะกุมจิตใจพ่อเหมือนกับเงามืดจนพ่อแทบไม่ได้ยินเรา ราวกับพ่อตัดขาดจากเราอย่างสิ้นเชิง ราวกับพ่อถูกขังอยู่ในตัวเองและไม่สามารถออกมาได้ ฉันไม่เคยเห็นพ่อเป็นแบบนี้มาก่อนและมันทำให้ฉันกลัว” (หน้า 38)


ในที่สุดความกังวลใจอย่างใหญ่หลวงก็กลายมาเป็นความจริง เมื่อพบตุ่มพุพองบนเท้าของเจสสิกา-แม่หมูตัวหนึ่ง ผลการตรวจยืนยันว่าสัตว์ในฟาร์มของเบกกี้ติดโรคปากและเท้าเปื่อย จากนั้นคนชุดขาวในฐานะทูตมรณะก็ปรากฏตัวขึ้น สัตว์ทุกตัวถูกฆ่า ไม่เว้นแม้แต่ลิตเติลจอช-ลูกแกะตัวน้อยที่เบกกี้พยายามเอาไปซ่อน ฟาร์มถูกเผาจนราบเรียบ


พ่อของเบกกี้กลายเป็นโรคซึมเศร้าถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล กว่าจะอาการดีขึ้นก็ต้องพักรักษาตัวอยู่ถึงสองสัปดาห์ แต่หลังจากพายุร้ายผ่านไป ก็ถึงเวลาของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


วันที่ 30 ตุลาคม เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน ฉันพบแกะตัวเมียฝูงใหม่ยี่สิบห้าตัวในฟร้อนต์ฟีลด์ พันธุ์คอตส์โวลด์อีกแล้ว หญ้าขึ้นมาทับหลุมศพแล้ว—แทบมองไม่ออกเลยว่ามันอยู่ตรงนั้น เราปลูกต้นโอ๊กที่ท้ายหลุมเพื่อระลึกถึงลิตเติลจอชกับเฮกเตอร์และทุก ๆ ตัว มันจะผลิใบจากเถ้าธุลีและอยู่ตรงนั้นไปอีกเป็นร้อย ๆ ปี พวกหมูมาถึงแล้ว แค่สามตัว แต่อย่างที่พ่อบอก “กับหมูน่ะ จากสามแป๊บเดียวก็กลายเป็นสามสิบ” ทุกตัวเป็นพันธุ์กลอสเตอร์โอลด์สปอต เราเรียกหมูตัวผู้ว่าจิม ส่วนแฟนของมันสองตัวชื่อเจอรัลดีนกับจอร์เจีย พวกมันสวยที่สุดเลย!”


บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…