Skip to main content

   เรื่องเล่ามหาสนุกจากทุ่งหญ้าสีเขียว เป็นวรรณกรรมเด็กที่โด่งดังของธอร์นทัน ดับบลิว. เบอเกตส์ (Thornton W. Burgess) เขาได้แต่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ป่าและธรรมชาติเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับลูกชาย ปลูกฝังให้ลูกชายเติบโตขึ้นอย่างมีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ


ต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดรวม 20 เล่ม ได้รับผลสำเร็จอย่างมาก จนเขาได้แต่งเรื่องเล่าเพิ่มเติมรวม 170 เรื่อง


ตอนที่หยิบมานำเสนอนี้คือตอน "กระต่ายน้อยเจ้าปัญญา" แปลและเรียบเรียงโดย "คีรีบูน" วาดรูปประกอบ โดยอมรวัชร กอหรั่งกูลและจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ "คีรีบูน"


เรื่องเริ่มต้นที่กระต่ายน้อยปีเตอร์ปรารถนาจะเปลี่ยนชื่อ เขาไม่ชอบชื่อ "กระต่ายปีเตอร์" ที่แม่เฒ่าแห่งธรรมชาติตั้งให้เพราะว่ามันแสนจะธรรมดา คิดไปคิดมาเขาก็เปลี่ยนชื่อเป็น "ปีเตอร์หางปุยฝ้าย" ที่ฟังดูไพเราะและน่ารักกว่า เขาขอร้อง "สายลมหรรษา" ช่วยกระจายข่าวเรื่องการเปลี่ยนชื่อให้สัตว์ต่าง ๆ ได้ทราบ แต่มันกลายเป็นเรื่องตลกไป สัตว์ทุกตัวต่างหัวเราะเยาะในเรื่องนี้ กระต่ายปีเตอร์ช่างงี่เง่าที่อยากจะเปลี่ยนชื่อ


"จิมมี่ สะกังค์" บอกกระต่ายปีเตอร์ว่า "ไม่มีอะไรสำคัญอยู่ในชื่อของเรา แต่สิ่งที่เราเลือกกระทำต่างหาก ที่จะอยู่ติดกับเราและชี้ให้ผู้อื่นเห็นว่า เราเป็นคนชนิดไหน เป็นคนอย่างไร สิ่งที่เราทำและสิ่งที่เราพูด ทั้งวิธีการดำรงชีวิตประจำวันของเรานี่แหละที่ทำให้ชื่อของเราเพิ่มค่าขึ้นหรือด้อยค่าลง"


ไม่มียอมรับในเรื่องนี้และพากันกลั่นแกล้งจนกระทั่ง "ปีเตอร์หางปุยฝ้าย" เปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ "กระต่ายปีเตอร์" เหมือนเดิม


แต่ที่สนุกมากก็คือการไล่ล่าล่อหลอกระหว่างกระต่ายปีเตอร์กับ "สุนัขจิ้งจอกเรดดี้" สัตว์ทั้งคู่เป็นคู่แค้น

ที่ตามห้ำหั่นกันโดยตลอด สุนัขจิ้งจอกเรดดี้ต้องการเนื้อกระต่ายเพื่อนำไปให้ย่าของมันที่กำลังป่วยซึ่งปฏิเสธที่จะกินเนื้อสัตว์อื่นใดนอกจากเนื้อกระต่ายอันโอชะเท่านั้น เจ้าจิ้งจอกเรดดี้จึงต้องตามจับกระต่ายปีเตอร์ให้ได้ การวางแผนไล่ล่าจึงเกิดขึ้น


เมื่อสายลมหรรษาพัดเข้ามาใกล้ เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ร้องตะโกนถามว่า

"พวกเจ้าทำอะไรให้ข้าหน่อยได้ไหม"

"ได้สิ" สายลมหรรษาร้องตอบ พวกมันยินดีช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

"ข้าอยากให้พวกเจ้าตามหาเจ้ากระต่ายปีเตอร์และบอกเขาว่าข้าได้พบแปลงแครอตแห่งใหม่ในสวนผักของนายบราวน์ แครอตในแปลงนี้ทั้งอ่อน กรอบ มีรสชาติอร่อยเหาะ บอกเขาว่าข้าเชิญเขาไปที่นั่นกับข้าพรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปรับเขาทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น"


กระต่ายปีเตอร์รู้ทันแผนการของจิ้งจอกเร้ดดี้ มันจึงแอบไปที่แปลงแครอตเพียงลำพังตั้งแต่เช้ามืดและจัดการกับแครอตเสียจนอิ่มแปล้


   จิ้งจอกเจ้าเล่ห์โกรธมากที่เป็นฝ่ายถูกหลอกแต่ข่มเก็บความโกรธนั้นไว้ มันขอร้องสายลมหรรษาให้บอกกระต่ายปีเตอร์อีกครั้งว่ามันอยากเชิญชวนเจ้าปีเตอร์ไปกินต้นถั่วหวานที่มันเพิ่งพบใกล้ต้นฮิกคอรใหญ่ มันจะไปรับเจ้าปีเตอร์ถึงที่พำนักในตอนเช้า

กระต่ายปีเตอร์รู้ทันตามเคย แอบไปที่ต้นถั่วหวานเพียงลำพัง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มันบอกจิ้งจอกเรดดี้ว่า "ข้าอยากกินต้นถั่วหวานจนทนไม่ไหว จึงรอจนพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ ข้าไปที่นั่นมาแล้วเมื่อสองชั่วโมงก่อน ข้าหวังว่าเจ้าคงให้อภัยข้า ข้าซาบซึ้งใจมากที่เจ้ามีเมตตาบอกข้าเรื่องแปลงต้นถั่วหวานแปลงใหม่"


จิ้งจอกเรดดี้ ยังไม่เข็ด คิดว่าครั้งหน้าจะไม่พลาดอีก มันนัดกระต่ายปีเตอร์เพื่อไปกินกะหล่ำปลีอีกครั้ง แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิมคือมันถูกกระต่ายปีเตอร์ใช้สติปัญญาล่อหลอกอีกครั้งหนึ่ง


จิ้งจอกไม่ละความพยายาม มันไปหาเจ้าวีเซิ้ล ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย ชอบกินหนูและตัวเล็กพอที่จะบุกดงหนามเข้าไปยังที่พำนักของกระต่ายปีเตอร์เพื่อร่วมมือกันจัดการ แผนการในครั้งนี้คือให้เจ้าวีเซิ้ลบุกเข้าไปในรังของกระต่ายปีเตอร์ วิ่งไล่ล่าจนกระทั่งกระต่ายปีเตอร์หนีออกมาข้างนอกซึ่งมีจิ้งจอกรอคอยอยู่


กระต่ายปีเตอร์คาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว จึงสร้างทางแคบ ๆ ไว้หลายสายพาดตัดกันไปมาชวนสับสน เจ้าวีเซิ้ลวิ่งวนอยู่ในทางวกวนเหล่านี้กระทั่งพลาดลงไปตกบ่อน้ำเปียกปอน กระต่ายปีเตอร์รอดตัวไปอีกครั้ง ครั้งต่อมาจิ้งจอกเรดดี้ขอความช่วยเหลือจากนกตะขาบให้พาไปกระต่ายปีเตอร์ไปที่ขอนไม้กลวงซึ่งมันซ่อนอยู่ข้างใน แต่แผนการณ์นี้ล้มเหลวเช่นกัน แผนต่อมาของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คือการแกล้งตายซึ่งก็ไม่ได้ผลเช่นกัน


กระต่ายปีเตอร์โชคดีที่จอห์นนี่ ชัค ยื่นมือเข้าช่วยเหลือก่อนที่จิ้งจอกเฒ่าผู้เป็นย่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง จอห์นนี่ ชัค หลอกให้จิ้งจอกเรดดี้วิ่งไปชนรังแตน ฝูงแตนจึงพากันฝังเหล็กในเข้าไปในเนื้อตัวเสียของจิ้งจอกเรดดี้จนบวมไปหมด


ช่วงท้าย ๆ ของนิทานก่อนนอนเล่มนี้คือเรื่องที่ว่าด้วยการจำศีล กระต่ายน้อยไม่เข้าใจที่สัตว์ต่าง ๆ พากันจำศีลในฤดูหนาว มันเลยลองทำดูบ้างแต่ปรากฎว่ามันทำไม่ได้เหมือนสัตว์อื่นเพราะธรรมชาติของมันไม่ใช่สัตว์จำศีล กระต่ายน้อยปีเตอร์ได้บทเรียนอีกบทหนึ่งว่ามันไม่ควรทำในสิ่งที่ธรรมชาติไม่ได้ปรารถนาจะให้มันทำ

 

 

 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…