Skip to main content

 

 
คงเป็นเพราะรูปเล่มงามตาน่าหยิบจับและเครดิตก่อนเข้าสู่เนื้อเรื่องที่บอกว่า
เล็กน้อยมากจนสามารถนั่งอ่านข้าง ๆ เตียง ยิ่งใหญ่มากจนสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตเร้าความสนใจให้เปิดพลิกและลงมืออ่าน


เนื้อเรื่องสั้น ๆ เป็นเหมือน “ความเรียง”  ที่แม้ภาษาจะไม่หวือหวาแต่สละสลวย บรรจงในการคัดสรรคำแต่ละคำ หรืออาจจะมองว่าเป็น “เรื่องสั้น” ที่มีการดำเนินเรื่องไปสู่การคลายปมในตอนจบ ให้แง่คิดราวกับได้อ่านนิทานสอนใจของนิกายเซน  


เรื่องราวทั้งหมดแบ่งออกเป็นตอนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด 19 ตอน มีทั้งเรื่องของเด็กที่คิดว่าตนเองไม่มีค่า, หญิงสาวในชนบทอันเปล่าเปลี่ยวที่ต้องขับเคี่ยวกับแม่สามี, หรือคนแก่ผู้ซึ่งพยายามเติมคุณค่าความหมายให้กับชีวิต ฯลฯ

ผู้แต่งหนังสือ “เล็กน้อยอย่างที่เห็น แต่เป็นโลกทั้งใบ” คือ
Gail Van Kleeck  ภาคภาษาอังกฤษใช้คำว่า “How you see anything is how you  see  everything” ผู้แปล ชมมณี  สุทธินาค  จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ วิตา ในเครือบริษัทแจ่มใส พับลิชชิ่งจำกัดซึ่งต้องขอชื่นชมที่ “แจ่มใส”  แหวกแนวดั้งเดิมของตนเองที่นิยมตีพิมพ์งานในแนวพาฝันแบบวัยรุ่น มาจัดพิมพ์งานที่ดูเหมือนจะขายได้ยาก

เนื้อเรื่องโดยรวมกล่าวถึงเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พานพบได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยมุมมองที่ละเอียดอ่อนและคมคายเช่นเรื่อง “นกในยุ้งข้าว”  ที่กล่าวถึงเด็กชายคนหนึ่งซึ่งคิดว่าตนเองไม่มีค่าเพราะไม่สามารถเป็นนักกีฬาเบสบอลที่โปรดปรานของโค้ชได้ ทั้งพ่อก็ตั้งความหวังกับตัวเขาไว้สูงซึ่งทำให้เขากดดันอย่างมาก แต่เมื่อเขาเข้าไปในยุ้งข้าวและช่วยปลดปล่อยนกบางตัวซึ่งพยายามบินออกทางหน้าต่างทั้งที่หน้าต่างปิดอยู่  เขาก็ค้นพบว่าตนเองนั้นได้ทำสิ่งมีค่า มันไม่จำเป็นเลยที่ต้องมองหาคุณค่าตนเองจากการเล่นกีฬาเบสบอลเพียงอย่างเดียว

เรื่องสั้นบางเรื่องพาเราไปพบกับความน่าพิศวงในความไร้เดียงสาของเด็กนักเรียน อย่าง เช่นเรื่อง
ครึ่งหนึ่งของแปด คุณครูคณิตศาสตร์ผู้ซึ่งเห็นว่า การสอนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องใช้หัวใจสัมผัส เธอไม่เคยสิ้นความพิศวงกับความอยากรู้ อยากเห็นของเด็ก ๆ และเธอทึ่งกับความตื่นเต้นของพวกเขาเมื่อได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ (หน้า 15)

เมื่อคุณครูถามเด็กนักเรียนว่าครึ่งหนึ่งของ 8 คือเท่าไหร่ นักเรียนเกือบทั้งห้องพร้อมใจกันตอบอย่างตื่นเต้นว่าครึ่งหนึ่งของ 8 คือ 4 คุณครูพยักหน้าอย่างพอใจ แต่แล้วสังเกตเห็นว่าเด็กชายตัวสูงผิวซีดที่นั่งอยู่หลังห้องดูอึดอัดใจ งุนงงกับคำตอบของเพื่อน

ครูไม่พูดอะไรเพราะไม่ต้องการทำให้เขาอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเด็กชายที่พูดขึ้นมาเองว่า 
ผมไม่เข้าใจฮะ ทำไมครึ่งหนึ่งของ 8 ถึงเท่ากับ 4 ล่ะ

เพื่อนบางคนหัวเราะคิกคัก เด็กชายเดินออกมาหน้าห้องเพื่อทำบางอย่างให้ครูดู พอเดินไปถึงกระดานดำ เขียนเลข 8 ตัวใหญ่ลงบนกระดานดำ ยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะปิดวงกลมส่วนบนของแลข 8 ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วก้าวถอยหลังเพื่อให้เพื่อนในชั้นเรียนได้เห็น


ดูสิ เขาพูดอย่างอาย ๆ ครึ่งหนึ่งของแปดคือศูนย์
เด็กชายก้าวเท้าเข้าไปใกล้ตัวเลขบนกระดานดำ ยกสองมือปิดครึ่งด้านซ้ายของตัวเลขนั้น แล้วอธิบายว่า
ทีนี้ครึ่งหนึ่งของ 8 เท่ากับ 3
คุณครูทึ่งและชื่นชมเด็กชายอย่างจริงใจ อย่างไรก็ตาม คุณครูก็มีวิธีที่จะสอนเด็กชายโดยคุณครูหุบนิ้วโป้งของทั้งสองมือไว้แล้วยื่นสองมือนั้นให้เด็กชายดู แล้วถามว่าครูชูกี่นิ้ว

ครูชูแปดนิ้ว มือละสี่นิ้ว เด็กชายตอบ
บอกครูซิว่า ถ้าครูเอาออกไปครึ่งหนึ่งจะเหลือเท่าไหร่
รอยยิ้มฉายขึ้นบนใบหน้าของเด็กชายผู้ไม่มีเพื่อน
เหลือสี่นิ้ว ผมเข้าใจแล้วฮะ เขาพูด พอใจในสิ่งที่ตนได้เรียนรู้ ครึ่งหนึ่งของแปดก็เป็นสี่ได้เหมือนกัน(หน้า 18)

เรื่องสั้นที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ
เร่งรีบอย่างเชื่องช้าเป็นเรื่องราวของชายชราผู้ซึ่งเพียรพยายามจะต่อเรือขึ้นสักลำ แต่ลูกเขยมักจะปรามาส ค่อนขอดอยู่เสมอว่าเป็นงานที่มองไม่เห็นว่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร

ชายชราผู้ซึ่งมีความสุขกับงานของตนเอง ตอบลูกเขยด้วยถ้อยคำคมคายที่เหมือนจะเป็นบทสรุปของชีวิตว่า

“ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการทำให้เสร็จ เมื่อลูกดูงานทั้งหมดนี้ ลูกเห็นแต่โครงการที่ชายแก่คนหนึ่งไม่มีทางทำให้เกิดขึ้นได้และภารกิจไร้ความหวังอันไม่รู้จักจบสิ้น แต่เมื่อพ่อมองมัน พ่อเห็นแนวไม้และรอยร่างแห่งความฝันที่เฝ้าปรารถนามาตลอดชีวิต พ่อไม่เคยมัวแต่มานั่งคิดว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะทำเรือลำนี้เสร็จ สิ่งที่พ่อเห็นคือระยะทางไกลเท่าไหร่แล้วที่พ่อได้มุ่งมั่นเดินทางมาถึง” (หน้า 33-34)


นอกจากนี้แล้ว ถ้อยคำสั้น ๆ กินใจ อัดแน่นอยู่มากมายในตอนต้นของเรื่องสั้นแต่ละเรื่องซึ่งชวนให้ขบคิดตีความ เป็นต้นว่า
เคล็ดลับของการมีความสุขซ่อนเร้นอยู่ในสายตาที่สามารถมองเห็นความอัศจรรย์ของชีวิตแม้จะอยู่ภายใต้ขอบเขตของความจำกัดก็ตาม(หน้า 24) ทั้งหมดทั้งปวง พอกล่าวได้ว่า วรรณกรรมเล่มนี้มีดีพอสำหรับคอวรรณกรรมที่มองหาความรื่นรมย์จากการอ่าน.

 

 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…