Skip to main content

คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามล

สายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย

สายรุ้งคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก คนบางคนอาจล้มป่วยลงโดยไม่มีลางบอกเหตุอะไรเลยหรือบางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ เขาเคยเห็นคนในชุมชนกลายเป็นอัมพาตอย่างเฉียบพลันทันใดทั้งที่ก่อนหน้านี้แข็งแรงปกติ ดังนั้นการที่คุณตาพูดอยู่เสมอว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” นั้นเป็นเรื่องจริงทีเดียว

น้ามลเฝ้าคอยดูแลแม่ บางคืนน้ามลก็มานอนค้างด้วย ชวนแม่คุยสัพเพเหระ น้ามลกับแม่คุยกันถึงเรื่องในวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน

“เธอจำได้ไหมว่าเธอสับสนระหว่างโคมไฟกับดวงจันทร์”     
“จำได้สิ”
“เธอจำได้ไหมว่าเธอสับสนระหว่างแสงหิ่งห้อยกับดวงดาว”    
“แน่นอน ฉันจำได้”
“เธอเคยร้องไห้เมื่อทำให้ปีกบางของผีเสื้อขาด”
“ฉันจำวัยเด็กของฉันได้ดีทีเดียวแหละ”
แม่พูด

ส่วนเด่นพยายามชวนสายรุ้งเล่น เด่นไม่อยากให้สายรุ้งกังวลใจที่แม่ไม่สบาย เด่นมองเห็นความโศกเศร้าของสายรุ้งแล้วก็พาให้รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย  เด่นคิดและรู้ว่าสายรุ้งต่างจากเขา ดังนั้นจึงควรได้รับการเอาใจใส่

เด่นรู้ดีว่าแม่ของสายรุ้งล้มป่วยด้วยโรคอะไร และรู้ดีว่าวันข้างหน้าสายรุ้งก็อาจจะป่วยด้วยสาเหตุเดียวกัน เด่นเก็บความลับไว้เรื่องนี้ไว้กับตัวอย่างดี แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กแต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ แม่ของเขาได้สอนไว้แล้วในเรื่องนี้   

เด่นคิดว่าสายรุ้งต่างหากที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งจะว่าไปก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย สายรุ้งควรจะรู้เกี่ยวกับตัวเองเพื่อจะจัดการได้อย่างเหมาะสมเพราะมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้จักร่างกายของตัวเองดีที่สุด

นอกจากการรักษาโดยแพทย์แผนใหม่ ทานยาจากโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัดและการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างแล้ว ปู่ยังบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิขอให้แม่หายจากอาการป่วย นี่เป็นวิธีที่ปู่จะใช้เวลาที่เกิดเรื่องสำคัญซึ่งอาจต้องพึ่งพาโชคหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลให้แม่หายป่วย”
ปู่บอกกับสายรุ้ง
“แม่ทานยาอยู่แล้วนี่ครับ”
“ยารักษาไม่ได้ทั้งหมดหรอก”
ปู่ว่า “บางทีคนเราก็สามารถหายป่วยโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาหรือหมอ”
“แม่จะต้องหายป่วย”
สายรุ้งพูด “เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยแม่”
 
แม่อ่อนเพลีย ผิวของแม่ซีดลง แต่ดวงตาของแม่ยังแจ่มใสและเปี่ยมไปด้วยความรักยามที่มองสายรุ้ง

สายรุ้งนั่งเฝ้าแม่ไม่ไปไหน คอยดูแลเอาใจใส่ ดูแลให้แม่กินยาตรงเวลาและต่อเนื่องซึ่งก่อนหน้านี้แม่จะกำชับสายรุ้งในเรื่องนี้แต่ตอนนี้สายรุ้งกลับเป็นฝ่ายต้องดูแลแม่ เขาหวั่นใจเหลือเกินว่าอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น

สายรุ้งแทบไม่พูดอะไรเลย หัวใจของเขาและแม่สื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด ความรักที่ท่วมท้นอยู่ในอกนั้นทำให้คำพูดสูญเสียความสำคัญไป

สายรุ้งป้อนข้าว ป้อนน้ำให้แม่ เขาพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้แม่เห็น ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้มแข็งแล้ว เพราะถ้าเขาไม่เข็มแข็งก็อาจจะทำให้แม่เป็นกังวล เขารู้ว่าแม่รักเขามาก แม่เคยบอกว่าแม่รักเขามากกว่าที่แม่รักตัวเองเสียอีก ดังนั้นเขาจะอ่อนแอไม่ได้

แม่น้ำตาซึมด้วยความตื้นตันที่สายรุ้งแสดงความห่วงใยออกมา อะไรจะทำให้ซาบซึ้งใจเท่ากับความรักและความกตัญญูรู้คุณที่ลูกแสดงออกมา

แม่พยายามไม่อ่อนแอเช่นเดียวกัน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะอ่อนแอ สายรุ้งคงไม่สบายใจหากว่าแม่ปล่อยให้น้ำตาเอ่อล้นออกมา

คุณตา น้ามล และเด่นมองสายรุ้งและแม่ด้วยความสะเทือนใจ ประหวั่นพรั่นพรึงถึงโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้นต่อคนทั้งสอง
                                    

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…