Skip to main content

“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย
“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”

เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม

ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ

20080421

ใกล้สงกรานต์เข้ามาทุกที ตาลีเร่งการไถยกร่องเพื่อให้ฉันปลูกมันสำปะหลัง การไถด้วยรถอีแต๊กทำให้ต้นหญ้ากองตะปุ่มตะป่ำบนร่องปลูก ผิดกับของน้าไพที่ยกร่องสวยด้วยรถไถใหญ่  

สาเหตุที่ฉันปฏิเสธการใช้รถไถใหญ่ ที่นอกจากจะไม่มีเงินจ้าง เพราะราคาจ้างพุ่งขึ้นปรู๊ดปร๊าด แข่งกับราคาน้ำมันที่พุ่งปรี๊ด ๆ และเพราะฉันไม่ต้องการให้รถไถใหญ่มาเหยียบย่ำบนผืนดินของฉันอีก แค่สิบกว่าปีที่คนอื่นทำกิน ด้วยการใช้รถไถใหญ่ ใต้แผ่นดินแห่งนี้ ลึกลงไปแค่หนึ่งเมตรก็แข็งเป็นดินดาน

หญ้าที่กองขวางร่องปลูกมัน จึงประจานการทำงานของฉัน ให้คนที่ผ่านมาเห็นได้อมยิ้ม แถมตาลีคนร่วมทำงานยังตอกย้ำเรื่องการฉีดยาฆ่าหญ้า หรืออันที่จริงแกอยากให้ฉันฉีดยาคุมหญ้าเสียด้วยซ้ำ จากประสบการณ์ของตัวแกเองไม่รู้จักเข็ด ปลายปีที่แล้วแกปลูกข้าวโพดส่งบริษัท เพราะฉีดยาคุมหญ้านี่แหละ ผลการคุมของมันจึงคุมการเกิดของหน่ออ่อนข้าวโพดไปด้วย แต่ฉันก็ไม่ได้ย้อนรอยอะไรแก เพราะคิดว่าให้แกรอดูผลงานของฉันก็แล้วกัน

การคิดที่จะปลูกมันสำปะหลัง เพราะฉันหมดเงินลงทุนกับไม้ใหญ้ไปโข จึงคิดจะถอนทุนคืนบ้าง อีกอย่างคิดว่าจะลองสูตรการทำเกษตรแบบอินทรีย์ให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะมันสำปะหลังนี่น่าลองที่สุด เพราะสังคมชาวเกษตรเขาสรุปแล้วว่ามันสำปะหลังเป็นพืชที่สูบเลือดสูบเนื้อพระแม่ธรณีมากที่สุด ถ้าฉันทำให้ผืนดินสมบูรณ์ได้ทั้งที่มีเจ้าพืชชนิดนี้ในแปลงปลูกไม้ยืนต้น ในอนาคตฉันก็สามารถปลูกอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องคุณภาพของดิน

ฉะนั้น...การหมกมุ่นกับการใช้ปุ๋ยน้ำ สารสกัดจากสมุนไพร ที่ต้องลงมือทำเองทั้งสิ้นจึงดูเป็นเรื่องน่าขัน และดูเหลวไหล โดยเฉพาะตาลี ที่ชอบพูดขัดคอไปเสียทุกเรื่องว่า
“มันจะได้ผลเร้อ คุณ”

นั่นสิ มันจะได้ผลหรือคุณ ฉันแอบเคี้ยวคำแล้วกลืนลงคออย่างยากเย็น เอานา...ยังไงก็ดีกว่าการทำอะไรแบบโง่ๆ ที่ไร้หลักการ เช่นการปลูกแตงโมที่อัดฉีดยาเคมีกันแทบโลกทลาย เมื่อฉันถามแกว่า
“เวลาแตงโมเกิดโรค รู้ได้ยังไงว่าจะต้องใช้ยาอะไร” คำตอบที่ฉันได้ยิน เล่นเอาอึ้งไปเลย
“ก็เล่าอาการให้พ่อค้าฟัง เขาก็จัดยามาให้เองแหละ”    

เวทีชีวิตแห่งนี้ จึงต้องมีผลผลิตที่ดีเป็นเดิมพันธุ์  ซึ่งตาลีไม่รู้หรอกว่า ความเชื่อมั่นของฉันสั่นคลอนทุกครั้งไป ที่ได้ยินคำถามแบบนี้
“แล้วมันจะได้ผลหรือคุณ”

นั่นสิ !! ฉันอยากจะตอบแกว่า
“ก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ผลอะไรนักหรอกตาลี แค่ทดลองไปเท่านั้นเอง”

นั่นสิ !! ฉันจะทดลองทั้งชีวิตเลยหรือ  แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ มีอะไรให้ทดลองอีกล่ะนี่

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…