Skip to main content

เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรง
ฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัว

ผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

แสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ
“ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสาร

น้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ  ครั้งนี้ก็เช่นกัน คำว่าพายุฤดูร้อนจะต้องผ่านไปด้วยดีเหมือนที่เคยเป็นมา เพียงแต่ฉันยังไม่ชินกับเสียงฟ้าผ่าในยามดึก ไม่คุ้นกับสายฝนอารมณ์ร้ายที่สาดสายเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนเปียกปอนไปทุกซอกมุม ไม่เว้นแม้แต่ในห้องนอน

ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากความอดทน ยิ่งอดทนยิ่งหวาดกลัว เพราะรู้ดีว่าบ้านไม้หลังนี้ไม่มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะต้านแรงพายุ

สวดมนต์อยู่ในใจ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถิด

แว่บของอารมณ์ วิ่งไปสู่เรื่องราวเมื่อยามค่ำ ความไม่ชอบใจบังเกิดขึ้นทันที ฉันยังไม่ได้สะสางกับความคิดของตัวเองในเรื่องนั้น แล้วยังต้องมาเผชิญในเรื่องนี้ตอนดึกดื่นค่อนคืนอย่างสาหัสสากรรจ์

ใครคนนั้น แวะมาหาพร้อมกับการสนทนาที่เหลวไหลไร้สาระ ทำให้ฉันตระหนักว่า การใช้ชีวิตของฉัน มีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าพายุฤดูร้อน  มันคือแรงโทสะที่อยู่ภายในใจของตัวเอง ที่พร้อมจะโหมกระพือออกมาทุกครั้งไป ยามถูกกระตุ้นด้วยคำพูดและการกระทำของคนบางจำพวก

“เรื่องแต่งงานหรือไม่แต่งงาน มีใครหรือไม่มีใคร ไม่ต้องมาชวนคุย ไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัว และไม่อยากฟังเรื่องส่วนตัวของใคร”  ฉันไม่เกรงใจใคร เพราะฉันถือว่าความอยู่รอดปลอดภัยไม่ได้มาจากความเมตตาสงสารหรือความเอ็นดูของใคร แต่จะอยู่รอดได้ก็เพราะเรี่ยวแรงและความเข้มแข็งของตัวเอง

ฉันจึงไม่ยั้งที่จะปล่อยความเป็นนางตัวร้ายและอาการกระด้างสุดๆ ของฉันออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้  กระแสเสียงที่สืบเสาะถามไถ่ถึงเรื่องของฉัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับความไม่ปกติของฉัน ที่ออกมาใช้ชีวิตที่บ้านไร่ชายป่าเพียงลำพัง

ใครคนนั้นตั้งใจมาเยือนฉันในยามวิกาล ในเวลาที่ไม่ควรจะมา และอย่างหาธุระอะไรไม่ได้

ฉันรู้สึกว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่อาจไว้วางใจผู้ชายที่ดิบหยาบ คิดได้แค่เพียงว่า
“ผู้หญิงจะต้องเป็นช้างเท้าหลัง ต้องพึ่งพาผู้ชายวันยังค่ำ”

ช่างไม่ต่างอะไรกับครั้งหนึ่งของชีวิตที่เกาะลันตา...โลกที่สวยงามเพียงลำพังของฉัน ถูกท้าทายด้วยท่าทีคล้ายกับว่าฉันจะต้องไร้เดียงสาและต้องการผู้คุ้มครอง เมื่อฉันแสดงความร้ายกาจออกมาเพื่อปกป้องโลกส่วนตัว สิ่งที่ฉันได้รับก็คือความจงเกลียดจงชัง ท่าทีที่แสดงออกมาราวกับฉันเป็นผู้หญิงกร้านโลกีย์ ที่กุลสตรีไม่ควรเข้าใกล้

โลกที่อยู่ตรงหน้า ฉันจึงต้องอดทนกับฟ้าฝนที่แปรปรวน ต้องอดทนกับเสียงและสายตาที่ตรวจสอบ ฉันรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนภายใน ที่เรียกได้ว่า “ทุกข์” แม้จะเคยมีบทเรียนจากดินฟ้าอากาศแปรปรวนหลายครั้ง แต่ฉันก็ยังรู้สึกเป็นทุกข์

จนกระทั่งคืนนี้…
ฟ้ากระหน่ำแสงเสียงจนโลกสะท้านสะเทือน ฉันกอดเข่าซุกคางไว้ระหว่างเข่า รับรู้แต่เพียงว่ากำลังกลัวฟ้าสุดขีด

ตั้งสติได้ ถอนหายใจ...อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถิดนะ  ในเมื่อฉันบังคับอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว ฉันยอมแพ้แล้วต่อทุกอย่าง ถ้าจะตายก็ไม่เป็นไร ฉันยอมแล้วจริงๆ

อารมณ์ผ่อนคลายอย่างเห็นชัด  ล้มตัวลงนอน ท่ามเสียงเปรี้ยงๆ ครืนๆที่ขับกล่อม  แล้วเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ แผ่วจางลง ก่อนจะหลับใหลลงสู่ห้วงนิทรารมณ์   มีเสียงรำพึงอยู่ภายใน

ฉันเป็นอะไรก็ได้ เท่าที่คุณอยากให้เป็น  ตามสบายเลยนะ

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  พักหลังๆนี้ลูกอ่านหนังสือเยอะมาก บางครั้งไม่มีหนังสือใหม่มาให้อ่าน ลูกจะเฝ้ารอคนที่รับปากว่าจะเอาหนังสือมาให้ หรือว่าเมื่อพ่อไปในเมือง ลูกก็รอว่าน่าจะมีหนังสือมาให้บ้าง
เงาศิลป์
 
เงาศิลป์
กระปุก หมาเพื่อนรักของลูกต้องกลับไปบ้านบัว เพราะพ่อพามันมาเยี่ยมลูกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น วันที่มันกลับไปกับพ่อ ลูกมองตามอย่างอาลัย แต่คงเข้าใจในความจำเป็น แม้จะรักมันมากแต่ลูกก็รู้ว่ามันต้องกลับไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมัน
เงาศิลป์
ในราวกลางเดือนมิถุนายน ลูกยังลุกขึ้นนั่งได้เองบ้าง และบันทึกประจำวัน นอกจากจะเป็นเรื่องการกินยา อาหาร ที่คล้ายๆกันในแต่ละวัน จะแตกต่างไปบ้างเมื่ออาหารบางอย่างที่ตรวจต่อมไทมัสแล้วกินไม่ได้ ทั้งที่วันก่อนๆเคยกินได้ เช่น บันทึกของวันที่ 19 มิถุนายน ลูกเขียนว่า กินแกงอ่อมไม่ได้
เงาศิลป์
ลูกทำสมาธิด้วยการภาวนาพุทโธตั้งแต่ครั้งแรกที่หลวงพ่อมาสอนให้ ลูกจะนอนหลับตานิ่งๆภาวนา เมื่อวานนี้ แม่ชีคนสวยของลูก มาแนะนำว่า เวลาบริหารร่างกาย ด้วยการยกแขน ยกขา คู้เหยียด จากที่เคยนับจำนวนครั้ง ให้เปลี่ยนมาเป็นท่อง พุท-โธ ยามที่หดขาเข้า พร้อมกับหายใจเข้า ท่องว่าพุท ยามที่เหยียดขาออก พร้อมทั้งหายใจออก ลูกก็ท่องว่า โธ ลูกก็ทำตามนั้น
เงาศิลป์
วันที่ 13 มิถุนายน พ่อต้องไปบรรยายเรื่องเครือข่ายอินแปงกับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมรอบเทือกภูพานที่สกลนคร ลูกตื่นแต่เช้าตรู่ พร้อมพ่อ ในเวลา 03.55 น. พ่อออกไปแล้วลูกนอนต่อ จนตื่นราวๆเจ็ดโมงเช้า เปิดเสียงเทศน์ของหลวงพ่อที่ลูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ฟังวันนี้สดชื่นมาก พ่อบอกว่าหน้าตาแจ่มใส ฉี่ ถ่ายเหลืองเป็นก้อนปกติ(เยอะ) ชงยาญี่ปุ่นกิน แล้วอ่านคำภาวนาอุทิศบุญและคำอธิษฐานบารมีหลวงพ่อกับแม่ชีมาเยี่ยม หลวงพ่อเทศน์สอน ทำสมาธิ แม่ชีคนใหม่สวย จบ doctor บอกว่าจะเอาอาหารเสริมถั่วเหลืงผสมงาดำมาให้ หลวงพ่อกับแม่ชีกลับกินฟักทองแม่ชีเอาอาหารเสริมมาให้ ตรวจแล้วกินไม่ได้
เงาศิลป์
หนึ่งอาทิตย์ที่มาอยู่วัด ในบันทึกของลูกยังเขียนถึงเรื่องอาหารการกินที่เป็นของชอบส่วนตัว เช่น ขนมขาไก่ ทองม้วน ยังมีเรื่องบันเทิงเริงรมย์แทรกเป็นระยะ คือ ดู CD การ์ตูน อ่านหนังสือนิยายที่เป็นบทย่อจากละครโทรทัศน์ ลูกยังมีความรู้สึกนึกคิดแบบเด็กๆยังอยากได้กระเป๋าสตังค์คิดตี้ ยังมีอารมณ์หิวที่เกิดขึ้นรุนแรงจนร้องไห้งอแงยามดึก
เงาศิลป์
เราสามคน พ่อแม่ลูก กลายเป็นคนวัดไปแล้ว อ้อ บางวันมีน้านีมาจากสกลฯ ช่วยทำกับข้าวด้วย และยังผู้รู้เรื่องธรรมชาติบำบัดอีกหลายคน ที่มาช่วยแนะนำสิ่งที่ดีๆให้ แต่แม่ยังต้องเดินไปทำอาหารที่โรงครัวของวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรานัก ที่นั่นสะอาดและกว้างโล่ง มีน้ำประปาภูเขาให้ใช้อย่างสะดวกสบายเหลือเฟือ อันที่จริงก็ใช้กันทุกมุมวัดอยู่แล้ว เพราะว่าน้ำประปาที่ว่านี้ คือน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุเล็กๆ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของภู ความสูงของพื้นที่ซึ่งสูงกว่าที่วัด หลวงพ่อจึงสร้างประปาภูเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย มีถังน้ำพักน้ำ ณ จุดที่มีน้ำพุหนึ่งลูก แล้วใส่ท่อให้มันวิ่งมาตามท่อน้ำ…
เงาศิลป์
แม่กับพ่อเริ่มทำสวนผักข้างๆ กุฏิ ผักที่ปลูกง่ายที่สุดคือต้นอ่อมแซ่บ พืชตระกูลล้มลุก กลีบดอกบอบบางสีม่วงอมชมพู สีของมันสวยหวานสดใส คนทั่วไปเรียกว่า บุษบาริมทาง แต่คนอีสานมองเห็นเป็นของกินได้ จึงเรียกอ่อมแซ่บ คงมาจากการแกงอ่อมแล้วอร่อยกระมัง ลูกแม่ต้องกินทุกวัน เป็นเมนูผักลวก
เงาศิลป์
เช้าวันที่ 6 มิถุนายน ลูกตื่นเต้นมาก แม่รู้ เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทางมาอยู่วัดกับหลวงพ่อ วันนั้นลูกตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมเก็บเข้าของเครื่องใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าคิดตี้ใบเล็กสีชมพูหวานแหววของลูก แต่เพราะลูกยังมีอาการตัวร้อนเป็นไข้รุมๆ ทำให้แม่กับพ่อเป็นห่วง เราจึงวางแผนเดินทางในตอนเย็น วันนั้นลูกร่าเริงมาก และเขียนบันทึกว่า วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 วันแห่งความสุขและความสงบวันนี้ตื่นขึ้นมายิ้มรับวันใหม่ด้วยใจที่เบิกบาน มีความสุขในสมุดบันทึกสุขภาพอีกเล่ม ลูกเขียนไว้ว่า
เงาศิลป์
ตอนที่ 5 บันทึกของลูก  รูปรอยต่างๆของลูก ยังคงอยู่เหมือนที่เคยมีลูก แม้แต่ภายในห้องนอน ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม บ้านไม้หลังเล็กๆใต้ถุนสูงแบบโบราณ ซุกตัวอยู่ใต้ร่มเงาไม้น้อยใหญ่หลังนี้ มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของลูก ที่เตียงนอนยังมีหนังสือเล่มโปรดวางไว้ที่หัวเตียง อาจมีแปลกออกไปบ้างคือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ 4 เล่ม ที่ลูกเขียนทุกวันเกือบทุกเวลา เพราะลูกตั้งใจบันทึกกิจกรรมการดูแลตัวเองและบทธรรมะเอาไว้ ตลอดเวลาสี่เดือนของความป่วยไข้ แม้กระทั่งวันสุดท้าย โดยที่ไม่มีใครร้องขอให้ทำ
เงาศิลป์
การที่คนป่วยคนหนึ่ง ได้เลือกหนทางรักษาตัวเองด้วยตัวเอง น่าจะมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างที่สำคัญ นั่นคือ หนึ่ง ความรู้ที่มีพร้อมในเรื่องวิธีการรักษาที่ตัวเองเลือก สอง ความไม่รู้ในวิธีการใดๆ แต่ต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่คิดว่าสะดวกทั้งต่อตนเองและคนดูแล