Skip to main content

20080509 (1)

20080509 (2)

20080509 (3)

กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง

“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”
ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน

 

เรื่องงานทำบุญยอดห้วย เคยได้ฟังจากปากยายแดงมาบ้าง วันนี้นับว่าโชคดีที่ฉันจะได้ไปเห็นกับตาตัวเอง

“ป่าหินแม่ช้าง” เป็นต้นน้ำสายสำคัญหลายสาย แม้ว่ามันจะไม่ใช่พื้นที่สูงเป็นภูเขา แต่พื้นที่ป่าที่ยังสมบูรณ์สามารถกักเก็บซึมซับสายน้ำฝนเอาไว้ได้อย่างอัศจรรย์ จนเกิดเป็นลำห้วยใหญ่ๆ ที่เรียกว่า “ห้วยใหญ่” และห้วยเล็กอื่นๆอีกหลายสาย ไหลลงไปหล่อเลี้ยงหมู่บ้านต่างๆ แม้ไม่ตลอดปี แค่ฤดูทำนาก็นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งแล้ว

20080509 (4)

20080509 (5)

กว่าฉันจะปิดบ้านเสร็จ คณะอีแต๊กสองคันของยายแดงก็ลับสายตาไปแล้ว แต่แค่เพียงสิบนาที ฉันก็ควบเจ้าสองล้อสัญชาติญี่ปุ่น ฝ่าดงหญ้าเข้าถึงบริเวณที่จัดงานบุญ ฉันไม่รู้หรอกว่าหนทางจริงๆอยู่ตรงไหน อาศัยตามเสียงเพลงและโฆษกของงานผ่านเครื่องขยายเสียง กับแนวควันสีขาวฟุ้งของบั้งไฟน้อยที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าดังฟี่ๆ เป็นระยะ

20080509 (6)

จนได้มาเจอกับคณะทำบุญจากบ้านกุดเลาเพียงบ้านเดียว นับคนได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน พระคุณเจ้าฉันเพลเสร็จแล้ว ญาติโยมกำลังอร่อยกับอาหารของตัวเอง
เสียงเพลงหมอลำ เสียงพูดคุยสนุกสนานเฮฮา หน้าตาฉ่ำเหล้าขาวกันเป็นส่วนใหญ่ ที่ฟ้อนก็ฟ้อนกันไป ใครที่ทำบั้งไฟแล้วไม่ทะยานขึ้นฟ้าจะถูกจับโยนลงน้ำ เป็นที่สนุกสนาน เสียงต่อรองเชิงการพนันดังลั่นฮาเฮ
 “อ้าว บั้งนี้ต้องสองขึ้นแน่นอน” หนุ่มน้อยหน้ามลคนกำลังเมาหันมาพยักพเยิดกับฉัน สองขึ้นหมายถึง เวลาที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่เผาไหม้หมด ทิ้งหางลงมา คือ สองนาที

20080509 (7)

บั้งไฟขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว คือบั้งไฟเสี่ยงทายของลำห้วย ที่นี่เป็นต้นสายของสี่ลำห้วย จึงต้องใช้บั้งไฟใหญ่สี่บั้ง ส่วนบั้งไฟเล็กๆขนาดผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ที่ใช้จุดเล่นกันนับไม่ถ้วน
“การเสี่ยงทายว่าห้วยไหนน้ำดีไม่ดี ดูที่การขึ้นของบั้งไฟ แต่ไม่มีทางหรอกที่บั้งไฟจะไม่ขึ้น” ตาเก้คนข้างไร่อธิบาย ฉันไม่ทันได้มาดูรายละเอียดพิธีกรรม ที่นอกเหนือจากพิธีสงฆ์แล้วยังมี “ขจ้ำหรือเฒ่าจ้ำ” ทำพิธีอีกด้วย

งานบุญครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ร่วมกิจกรรมกับชุมชนเพราะว่ามันเกิดขึ้นที่ข้างไร่และมีความน่าสนใจ จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำความรู้จักกัน และฉันก็เสียมรรยาทมานานนับปีที่ไม่ได้ไปรายงานตัวต่อผู้ใหญ่บ้าน จึงได้ไปไหว้แล้วแนะนำตัว รู้สึกโล่งใจไปอีกหนึ่งอย่าง

กับอีกอย่างหนึ่งที่เก็บเกี่ยวได้คือความมั่นใจว่าฉันเลือกพื้นที่ในการใช้ชีวิตไม่ผิดพลาด เพราะในป่าผืนใหญ่แห่งนี้ยังมีสิ่งที่มีคุณค่ามากมายให้เรียนรู้ ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินตรา เพียงมีเวลาฉันก็สามารถเข้าไปทำความรู้จักกับธรรมชาติต่างๆได้อย่างตื่นตาตื่นใจ

“เจ้าเสือและเจ้าเก๋า” หมาหนุ่มน้อยสองตัวที่ตามมาด้วย ต่างก็มีความสุขแม้จะผวาหวาดกลัวบรรดาหมาเฒ่าที่มาจากหมู่บ้าน แต่พวกมันต่างสงวนท่าทีในการเผชิญหน้า ตอนขากลับฉันขับรถหลงป่าจนมาทะลุบึงน้ำใหญ่ พวกมันจึงได้พักร้อนในน้ำอย่างสบายอารมณ์

ส่วนฉัน ยังได้เจอดอกไม้สวยๆ อีกหลายชนิด

20080509 (8)

20080509 (9)

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…