Skip to main content

ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนรุ่นก่อนช่างกล้าหาญนัก กล้าเดินทางเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า

การเดินทางของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตยิ่งมหัศจรรย์กว่า ในความผันแปรเปลี่ยนของมนุษย์

บางทีคำว่าโชคชะตายังน้อยไปที่จะให้คำจำกัดความถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

พลัดพราก พบพาน หรือพบเพื่อจากลา ล้วนยากจะคาดเดา

ในดินแดนใหม่ที่เขาตั้งรกรากจะมีความท้าทายใดบ้าง

.....

ในพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา Peabody Museum ของฮาร์วาร์ดนับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเอาสิ่งของและวัตถุทางวัฒนธรรมไว้มากมาย บางอย่างไม่สามารถเอามาได้ก็จำลองมาไว้ให้ชมเป็นบุญตา บางอย่างเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาไปพบเห็นในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพยนต์หรือวีดีโอก็บันทึกและเขียนเป็นรูปออกมา ที่ฮาร์วาร์ดทำมากกว่านั้น นักมานุษยวิทยาที่ฮาร์วาร์ดสร้างอันตรภาพ (diorama) ของชีวิตชาวอินเดียนแดงในที่ต่างๆ เช่น ชาวเผ่าซู ชาวเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในทวีปอเมริกาและดินแดนที่ไกลโพ้น 

การเก็บตัวอย่างทำอย่างเอาจริงเอาจังมาก จนเรียกได้ว่าพิพิธภัณฑ์ที่นี่ในระดับมหาวิทยาลัยถือว่ามีของเยอะมากที่สุดแห่งหนึ่ง (จากคำยืนยันของ ผศ. ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร) ไม่ว่าจะเป็นเสาโทเท็ม (totem) ที่มีรูปสัตว์และคน ที่อาจารย์ยุกติทักว่าแปลก บางชิ้นดูเหมือนจริงเอามากๆ อาจารย์ยุกติบอกผมว่าก็คงจะของจริงนั่นแหละ

มีการสร้างอันตรภาพจำลองการแต่งงาน งานเลี้ยงที่แจกจ่ายให้กับคนจำนวนมาก (potlatch) ของพวกทลิงกิต (Tlingit)

เมื่อต้นปีมีข่าวคึกโครมว่าลูกหลานของตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์คนหนึ่งอาจจะไม่ได้ตายหรือหายสาบสูญ ชายคนนี้คือริชาร์ด ร็อคกี้เฟลเลอร์ (Richard Rockefeller) ซึ่งว่ากันว่าหายตัวไปขณะออกสำรวจร่วมกับนักมานุษยวิทยาอีกคนหนึ่ง ริชาร์ดคนนี้เองที่ช่วยเก็บตัวอย่างจากเผ่าดานิ (Dani) ในปาปัวนิวกินีให้กับ Peabody Museum เขาหายไปที่ชายฝั่งของหมู่เกาะในปาปัวนิวกินีนี่เอง ข่าวเมื่อต้นปีเป็นข่าวดังเพราะคนสงสัยว่าเขาอาจจะไม่ได้หายตัวไป ไม่ว่าจะจมน้ำ (ตามประวัติว่าเขาว่ายน้ำแข็งทีเดียว) หรือถูกกิน เพราะแถวนั้นมีการล่ามนุษย์อยู่ บางคนสันนิษฐานว่าเขาอาจถูกจับตัวไปอยู่กับเผ่าอีกเผ่าหนึ่ง เพราะมีคนถ่ายภาพยนต์เห็นชายผิวขาวในหมู่มนุษย์กินคน

เขาอาจจะเบื่ออารยธรรมของโลกศิวิไลซ์...

ชั้นล่างมีนิทรรศการน่าสนใจ เป็นการสร้างนิทรรศการจากสมุดภาพที่ซื้อมาจากหลุมศพของนักรบอินเดียนแดง เผ่าลาโกต้า ที่สามารถเขียนภาพเป็นบันทึกลงสมุดขนาดเล็กด้วยสี ซึ่งเล่าชีวิตของเผ่าลาโกต้า การรบ ความเชื่อและพิธีกรรม การเผชิญหน้ากับคนผิวขาวและความตายของเขา

น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่เรื่องเล่าของเขาถูกสร้างขึ้นว่าการบุกเบิกไปทางตะวันตกนั้นสร้างความสูญเสียให้กับอินเดียนแดงที่เป็นเจ้าของประเทศเดิมขนาดไหน

ผมยังจำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงถนนเส้นหนึ่งย่านมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอนว่าตั้งชื่อตามคนที่เอาผ้าห่มใส่เชื้อฝีดาษไปให้ชาวอินเดียนจนตายไปทั้งเผ่า

บางคนอาจจะสำทับทันทีว่านี่ไง ugly american น่ารังเกียจ

แต่ในความน่ารังเกียจนี้ก็ถูกบันทึกให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และตัดสินด้วยตัวเขาเองว่าบรรพชนสร้างประเทศจากความอัปลักษณ์บนผืนดินนี้อย่างไร บนเลือดและน้ำตาของใคร (ดูรายละเอียดจากลิงค์นี้ได้ครับ https://www.peabody.harvard.edu/node/292)

 

น่าคิดนะครับว่า คนบางคนเพิ่งเป็นไทยเมื่อวานซืน เป็นไทยยิ่งกว่าคนไทยดั้งเดิมเสียอีก (เอ๊ะยังไงกันนะ?)

ชั้นเดียวกันยังมีการฝึกภาคสนามแบบใกล้ๆ คือการขุดค้นบนผืนดินของฮาร์วาร์ดว่านิคมมหาวิทยาลัยยุคแรกนั้นมีอะไรเหลือให้เรียนรู้บ้าง ที่น่าสนใจคือการขุดค้นสามารถอธิบายชีวิตของนิคมมหาวิทยาลัยได้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ภาชนะอาหาร หัวลูกธนูของอินเดียนแดง เศษไปป์ เศษกระเบื้อง เป็นร่องรอยของอะไร เป็นต้น

ชั้นสองเป็นห้องทำงาน ส่วนชั้นสามและสี่เป็นชั้นแสดงที่น่าสนใจ ทั้งส่วนที่เป็นอารยธรรมจากส่วนอื่นๆ เช่น ชั้นสามเป็นนิทรรศการจากเม็กซิโกและอเมริกากลาง เชื่อมทะลุถึง พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาที่ผมเคยเล่าไปแล้ว

ส่วนชั้นสี่เป็นชั้นลอยที่เก็บตู้แสดงอันตรภาพของอินเดียนแดงกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีการเรียนการสอนโดยใช้อันตรภาพนี้ให้นักศึกษาปัจจุบันวิเคราะห์ว่าอันตรภาพเหล่านี้บอกอะไรกับเราบ้าง ช่างเป็นชั้นเรียนที่น่าตื่นเต้นจริงๆ เพราะมันพาเราไปถึงความพยายามอธิบายและจัดแสดงการตั้งถิ่นฐาน ชีวิตประจำวัน และวัตถุทางวัฒนธรรมจากหมู่เกาะโพลีนิเชียน และงานหัตถกรรมจากมุมอื่นๆ

 

ที่สำคัญยังมี collection ที่สามารถชมทางเน็ตได้อีกด้วย (ตามลิงค์นี้ครับ http://pmem.unix.fas.harvard.edu:8080/peabody/)

พิพิธภัณฑ์ Peabody Museum นี้อยู่ถัดจากออฟฟิศผมเอง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็น Harvard Semitic Museum ที่สามารถเดินไปอาคารที่ตั้งของสถาบันฮาร์วาร์ดเย็นชิงที่เพื่อนพี่น้องของผมมีห้องทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์อรัญญา สิริผล อาจารย์ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี และอาจารย์อภิวัฒน์ รัตนวราหะ 

ยามว่างเราก็จะนัดเจอกัน ไปกินข้าวตามโอกาส

และทุกวันพุธเย็น เราจะมีกิจกรรมของโครงการไทยศึกษาร่วมกันกับชุมชนวิชาการของที่นี่และเพื่อนจากต่างมหาวิทยาลัย

ผมถือว่าชีวิตแบบนี้ยากจะหาได้จริงๆ อาจจะมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ได้รับเกียรติเช่นนี้

ในฐานะนักวิชาการคนหนึ่ง ผมถือว่านี่คือโอกาสที่ผมจะได้ตักตวงความรู้จากที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

และคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดอย่างนี้

ดัชนีชี้วัดง่ายๆ คงจะเป็นตำรับตำราที่พวกเราต่างซื้อไว้เพื่อขนเอากลับไปใช้ที่บ้านและเตรียมส่งกลับทางเรืออีกไม่น้อย

 

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
(รอวัน) รื้อ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ญี่ปุ่นมักมีเรื่องราวชวนให้หลงใหลอยู่เสมอหนึ่งในเรื่องประทับใจก็คือการเดินไปเคารพศาลเจ้าจักรพรรดิเมจิย่านใจกลางเมือง ใกล้ฮาราจุกุ เป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่และมีพิพิธภัณฑ์ มีป่าขนาดใหญ่ที่ร่มรื่น เย็นตา ทั้งยังมีสวนญี่ปุ่นโบราณให้เข้าไปชม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมห่างหายจากการเขียนบล็อกประชาไทไปนาน เพราะมีภารกิจมากมายที่ต้องทำตามข้อผูกพัน และตามชะตากรรม โชคชะตาของชีวิต ทั้งส่วนที่ควบคุมได้ และส่วนที่เหนือการควบคุม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
การเดินทางออกจากประเทศญี่ปุ่นในฐานะคนต่างชาติผู้ได้รับสิทธิในการทำงานในญี่ปุ่นนั้นมีความยุ่งยากไม่น้อย ตั้งแต่การไปแจ้งย้ายออกจากเมืองที่พำนักอาศัย ผมต้องไปสำนักงานของเมืองเพื่อไปแจ้งย้ายออก และคืนบัตรต่างด้าวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในเวลาออกจากสนามบินที่ท่าเรือหรือสนามบิน นอกจากนี้ผมยังต้องปิด
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมออกจากกรุงเทพเมื่อยามบ่ายแก่ๆ จนรถเริ่มเข้าสู่เขตป่าเขา ก็เริ่มมีต้นไม้หนาตามากขึ้น แรงลมจากการสัญจรของรถและลมธรรมชาติเร่งเ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
  
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ฝนที่โปรยลงมาในคืนก่อนเร่งรัดให้ใบไม้ที่เหลืออยู่ร่วง
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
นี่ก็ใกล้เทศกาลปลายปี วันคริสต์มาสในวัยเด็กผมและเพื่อนอีกหลายคนจะถูกบราเดอร์จับไปร้องเพลงนี้กับเพื่อนๆ ในงานโรงเรียน ใส่ชุดขา
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อากาศเย็นๆ ปะทะใบหน้าระหว่างผมขี่จักรยานไปจอดใกล้สถานีรถไฟเพื่อเดินทางเข้าเมือง คนแน่นเป็นปกติของชั่วโมงเร่งด่วน 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
กลิ่นหอมของดอกไม้ลึกลับโชยมาตลอดทางที่ผมขี่จักรยานไปรอบๆ มหาวิทยาลัย มันหอมอ่อนๆ สดชื่น รัญจวนใจ ไม่รู้จะเปรียบอย่างไร เอาเป็