Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง มีนา


สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ


ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน คุยเรื่องความฝันร่วมกันมากมาย


ที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหรอกนะครับ แต่มีความสุขล้นเปี่ยมในปัจจุบัน และรู้สึกอิ่มตัว อิ่มใจ และไม่อยากจะหาใครมาในชีวิตอีกแล้ว ทำนองว่าพอมาเจอเธอผมก็อยากจะหยุดไว้ตรงนี้ ซึ่งอันนี้ไม่เกี่ยวกับรักแท้หรือไม่แท้นะครับ แต่ผมรักจริงครับพี่.....ผมว่าเราสองคนมีความเหมือนกันคือ เราเป็นคนที่สนใจในธรรม และปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แถมยังช่วยเกื้อกูลกันดูจิต แลกเปลี่ยนธรรมะ ทุกๆ วัน นี่จึงเป็นความดีนิดน้อยที่เรามีเสมอกัน....


ผมจำได้ว่าแต่ละวันที่เราได้คุยกัน เราจะถามกันเสมอว่าวันนี้ “ทุกข์กัดบ้างไหม” และแลกเปลี่ยนกันว่า “ดูจิต” เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์เป็นอย่างไร ความคิดเป็นอย่างไร แล้วก็คอยช่วยแนะนำกัน แต่นอกจากนี้เราก็คุยกันตามประสาคนหนุ่มสาวนะครับ มีเรื่องที่บางครั้งไม่เข้าใจกันบ้าง ทะเลาะกัน หึง หวง น้อยใจ รำคาญ หงุดหงิด


ผมกับเธอมักจะคุยกันดูความกรุณา และเวลาที่เธอ “ร้อน” ผมก็จะใช้ “เย็น” คอยโอบอุ้มการสนทนา ทำให้เธอเย็นลงและได้สติคุยกันมากขึ้น พี่เชื่อไหมครับ มีตอนหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่าง “ร้อน” ใส่กัน จนต้องงอนกันไปทั้งคู่ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่คุยกันสักสองสามวัน


แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ผมก็โทรศัพท์ไปหา และเธอก็รับ เมื่อทั้งผมและเธอใจเย็นลง เราก็เริ่มคุยกัน สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ก็แนะนำกันว่ามีอะไรที่ทำแล้วสบายใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อะไรที่ไม่ชอบให้ทำ อะไรที่ชอบให้ทำ


การได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างมีเมตตากรุณาต่อกันทำให้เราผูกพันและเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น


ที่ผมเล่าให้ฟังเพียงเพราะอยากจะบอกว่า “ขณะนี้” ผมมีความสุขกับความรักมากมาย แต่อนาคตผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเพราะ “เหตุ” “ปัจจัย” มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเราสองคนไปได้


พอพูดถึงเหตุปัจจัยนี้ ก็คิดมาได้ว่า เราสองคนตั้งใจว่า “จะรักกันให้ดีที่สุด” และจะไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิด “ปัจจัย” อันนำไปสู่ “เหตุ” ให้ได้เลิกร้างลากันไป


บางครั้งเมื่อผมเห็นผู้หญิงคนอื่น แล้วรู้สึกชอบ ผมก็จะรู้ว่าเริ่มชอบ เริ่มใคร่ และจะตามรู้อารมณ์นั้นอย่างมีสติ ไม่หลงใหลไปกับอารมณ์หรือแรงดึงดูดทางเพศของตนที่มีต่ออีกฝ่าย และไม่สร้างเงื่อนไขในการเข้าไปคุย สนทนา ให้เขาหรือเราได้สานสัมพันธ์กันต่อ แต่จะคงไว้เพียงความเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักเท่านั้น


และเหมือนกัน เมื่อมีชายคนอื่นมาคุยกับเธอ เธอก็จะปฏิเสธ ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร และบอกอีกว่า “มีแฟนแล้ว” และหากใครที่ทำท่าจะมาจีบ เธอก็บอกว่าขอคุยแบบเพื่อน


ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเพียงกระบวนการที่เราสองคนคิดว่า ถ้าเรามีสติ ไม่สร้างเงื่อนไข ให้ไปตามแรงดึงดูด ความใคร่ สิเน่หา ต่อคนใหม่ๆ แล้ว มันน่าจะช่วยทำให้เราสองคนเข้าใจและหล่อเลี้ยงความรักกันให้เป็นปัจจุบันต่อไป


พี่มีนาครับ.....ตอนนี้ผมกับเธอ ก็ไม่ได้แก่อะไรมากมายนะ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่ากับหญิงสาววัยย่างเข้ายี่สิบ เรายังมีอนาคตอีกไกลในสายตาของคนอื่นๆ ทว่าวันนี้เราสองคนมองว่าเราไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งพอเราตระหนักถึงมรณานุสติข้อนี้มันจึงทำให้เราสองคนรีบทำอะไรโดยเร็ว เพื่อให้เป็นต้นทุนชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า


ถ้าเรายังไม่ได้สิ้นลมหายใจไปจริงๆ เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ไปเรื่อยแหละครับ


อ๋อ พี่มีนาครับ มีอีกอีกเรื่องหนึ่งเนื่องมาจากผมได้อ่านหนังสือ “รักแท้มีจริง” ซึ่งถือเป็นหนังสือเรื่องใหม่ และนับเป็นหนังสือเล่มแรกที่คุณ “ดังตฤณ” ที่เขียนเกี่ยวกับความรักโดยเฉพาะ โดยที่เนื้อหาทั้งหมดไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน

28_7_01

 

หลายคนอาจเคยได้ยินวาทะของคุณดังตฤณที่กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “รักแท้มีจริง แต่ที่จริงกว่าคือกิเลส”

หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เราได้เห็นต่างไปอีกมุมหนึ่งว่า “แม้รักแท้จะไม่จริงเท่ากิเลส แต่ก็สูงส่งเหนือกิเลสได้

ขอเพียงเราเข้าใจและรู้วิธีสร้างความรักที่เป็นอิสระจากราคะ เพราะเมื่อเป็นอิสระจากราคะ รักนั้นก็ย่อมไม่พังเพราะราคะ”

 

โจทย์ตั้งต้นคือ แล้วจะทำอย่างไร จึงจะสร้างรักอันทรงพลังและมีอายุยืนให้เกิดขึ้นได้? และคำตอบ ก็คือเนื้อหาทั้งหมดที่คุณดังตฤณตั้งใจถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีเนื้อหาคร่าวๆ ดังนี้ครับ.....

 

เริ่มต้น เราจะได้รู้... วิธีสร้างเสน่ห์ดึงดูดความสนใจ เพื่อจะมีโอกาสเป็นผู้เลือกบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งของใคร ๆ และการสร้างเสน่ห์ในที่นี้ ก็ไม่ได้เน้นที่รูปกายซึ่งแข่งกันยาก แต่เน้นที่กระแสทางใจ ซึ่งตกแต่งกันง่าย ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือขี้ริ้วขี้เหร่มาจากไหนก็ตาม

 

เราจะได้รู้... วิธีเลือกคนที่ใช่ เพื่อที่จะให้ความรักเกิดขึ้นเองจากความใช่ ไม่ใช่เอาแต่คาดหวังให้ความรักเกิดขึ้นโดยปราศจากพื้นฐานความเป็นจริงรองรับ และเราจะได้รู้... วิธีรักษาความรัก ไม่ใช่ปล่อยให้ความใช่อย่างเดียวทำหน้าที่ไปจนตาย แต่ให้เราเลี้ยงความรักเป็น เหมือนคนมือเย็นเลี้ยงต้นไม้รอดไปจนกว่าจะถึงอายุขัย

 

เราจะได้รู้... วิธีจากกัน เพราะไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ใครจะพยายามหลีกเลี่ยงด้วยวิธีใด ๆ ต่อเมื่อเข้าใจคุณค่าและความหมายของการจากกัน จึงเป็นการสร้างนิยามความรักได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง

 

และเราจะได้รู้... วิธียกระดับความรัก อันเป็นบทศึกษาสำรองสำหรับคนที่ไม่อาจพบคู่รักด้วยวิธีใด ๆ หรือพบแล้วแต่ปรารถนาความสุขขั้นสูงสุดที่เหนือรักเชิงชู้สาว

 

เขาว่ากันว่า ในยุควัตถุนิยมแบบคนรุ่นใหม่ ที่แทบจะไม่มีใครรู้จักความหมายของรักแท้อีกต่อไป มีแต่เพียง ราคะ ที่สวมหน้ากากมาทักทายในคราบของภาพฝันสวยหรู จนหนุ่มสาวจำนวนนักต่อนัก ต้องบอบช้ำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ส่วนลึกยังโหยหา แต่ก็ไม่มีใครรู้ความหมาย ไม่มีใครเห็นวิธี...


ผมและเธอได้ร่วมกันซื้อหนังสือ “รักแท้มีจริง” ไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อมอบเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมิตร หากใครที่อยากอ่าน สามารถแจ้งชื่อและที่อยู่มาได้ใน “ธรรมตามใจ” นี้นะครับ แล้วผมจะจัดส่งไปให้โดยพลัน......

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์