Skip to main content

ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน

\\/--break--\>

ผมรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสพบปะกับญาติธรรม ซึ่งถือเป็นกลุ่มกัลยาณมิตรที่คอยช่วยเหลือดูแลกันและกันในการภาวนา มีการสอบถามปัญหา พูดคุยแลกเปลี่ยน แบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนาที่ทั้งถูกและผิดของแต่ละคน เล่าเรื่องการภาวนาในชีวิตประจำวันของกันและกันว่าแต่ละคนนำไปใช้อย่างไรบ้าง


มาครั้งนี้นอกจากผมจะได้รู้จักกับพี่ๆ ทั้งสามแล้ว ผมยังได้มาอยู่ในสถานที่ซึ่งถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และสงบอย่างยิ่ง แถมยังเป็นการเดินตามรอยครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เป็นต้นมา ที่ท่านได้มาบำเพ็ญภาวนาในละแวกถ้ำผาปล่องนี้


ในหนังสือหลายเล่มที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้เทศนาสั่งสอนลูกศิษย์นั้น ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะมาอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ท่านได้เริ่มต้นภาวนาที้ “ถ้ำผาเงิบ” ก่อนซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ครูบาอาจารย์วัดป่าหลายๆ องค์ได้มาภาวนาที่นี้ และต่อมาไม่นานก็มีชาวบ้านพาท่านไปพบกับถ้ำผาปล่อง ซึ่งหลวงปู่สิม จึงเห็นว่าควรพัฒนาต่อให้เป็นสถานที่ภาวนา ท่านจึงเริ่มต้นพัฒนาถ้ำผาปล่องเรื่อยมานับแต่นั้น


ที่ถ้ำผาปล่องนี้ มีประวัติเล่าต่อมาว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ได้มาบำเพ็ญภาวนาที่นี้ และรวมถึงพระอรหัตสาวกทั้งหลาย มวลหมู่เทพยดา ทุกหมู่เหล่าก็มาร่วมภาวนาและอนุโมทนาด้วยเสมอๆ ฉะนี้แล้วจึงทำให้ที่ถ้ำผาปล่องเป็นสถานที่ที่มีพลังแห่งความสงบ สะอาด สว่าง และสัปปายะ เหมาะแก่การภาวนาอย่างยิ่ง


สำหรับพวกเราทั้งสี่คนแล้ว ถือว่าการมาที่นี่เป็นครั้งแรก และเมื่อมาถึงที่วัด เราจะเห็นสถูปอนุสรณ์สถานของหลวงปู่สิม และเมื่อเดินเข้ามาก็จะเป็นสำนักงานเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน และพวกเราต้องเดินทางเท้าเพื่อขึ้นไปยังถ้ำผาปล่องซึ่งอยู่บนภูเขาอีกหลายเมตร โดยทางที่ขึ้นไปนั้นเป็นบันไดจำนวนหลายร้อยขั้น ระหว่างสองข้างทางมีคำสอนของหลวงปู่สิม ที่ปรากฏเป็นข้อความสั้นๆ ติดอยู่ไว้สองข้างทาง เช่น ทุกข์ไม่ต้องบ่น ให้ทนเอา


เมื่อเดินมาเรื่อยๆ จนถึงยังบริเวณในถ้ำผาปล่อง ก็จะมีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุอยู่ข้างๆ เราทั้งหลายจึงเข้ากราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ และด้านหลังของถ้ำก็เป็นส่วนของกุฏิหลวงปู่สิม ซึ่งได้มีการประดิษฐ์รูปเหมือหลวงปู่ไว้ ให้สาธุชนได้เคารพกราบไหว้ ถัดมาจากนั้นด้านล่างลงมาอีกไม่ไกลจากปากถ้ำก็เป็นโรงครัว และที่พักของผู้มาปฏิบัติธรรมภาวนาที่วัด


แต่ละวันการภาวนาจะเริ่มต้นขึ้นโดยการทำวัตรเช้าตอนตี 3 กว่าๆ จะมีการสวดมนต์และฟังเทปธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม เมื่อเสร็จศาสนกิจในประมาณตอนตี 5 กว่าๆ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยและกลับมาพบกันอีกครั้งตอน 8 โมงเช้า เพื่อรับประทานอาหารเช้า และตอนเย็นหนึ่งทุ่มจึงเป็นช่วงทำวัตรเย็นและฟังธรรมเทศนาอีกครั้ง ทั้งนี้ในการฟังธรรมเทศนา หลวงปู่สิม ท่านมักย้ำเสมอว่าให้เรานั่งขัดสมาธิเพชร เพื่อดูความอดทนและดูจิตดูใจของตนไปด้วย ซึ่งหลังจากช่วงทำวัตรเย็นแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจของแต่ละคนและเข้านอน


นอกจากนี้ในระหว่างวัน ใครที่ภาวนาแบบไหนก็สามารถที่จะแยกย้ายกันไปภาวนาได้ เพราะทุกๆ ที่ภายในถ้ำผาปล่องนี้เป็นสถานที่ที่เอื้อต่อการนั่งสมาธิ เดินจงกรมอย่างยิ่ง ส่วนผมนั้นก็เลือกบริเวณถ้ำผาปล่อง หน้าพระประธาน บริเวณหน้ากุฏิหลวงปู่ และบริเวณเจดีย์พระบรมสาริกธาตุ เป็นสถานที่นั่งสมาธิภาวนา และก็เลือกพื้นที่ว่างๆ ด้านล่าง เป็นที่เดินจงกรม ทั้งนี้หลักสำคัญที่สุดคือการมีสติรู้กายรู้ใจในระหว่างวันที่มาอยู่ภายในวัด


นอกจากนี้ภายในวัดยังมีหนังสือเรื่องราวของครูบาอาจารย์วัดป่าหลายๆ องค์ที่ได้กล่าวถึงประวัติและปฏิปทาของท่าน ซึ่งผมได้ใช้เวลาว่างมาอ่านหนังสือเหล่านี้ ก็ถือว่าได้ประโยชน์และเข้าใจบรรยากาศ ตลอดจนความตั้งใจ ความอดทน ศรัทธา วิริยะ ของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


ในการเดินทางมาภาวนาในวัดถ้ำผาปล่องครั้งนี้ ผมมีความรู้สึกได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์และได้มาเห็นสถานที่ที่ท่านได้บำเพ็ญภาวนา ทำให้เกิดกำลังใจและความตั้งใจที่จะน้อมนำเอาธรรมเป็นที่พึ่งเอกของชีวิตไม่ว่าจะอยู่ที่วัดหรืออยู่ในสถานที่ไหนๆ ธรรมะที่เป็นดั่งทางเอก ทางแห่งการเจริญในศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นดั่งเส้นทางที่จะทำให้เรารู้ทุกข์และพ้นจากความทุกข์ในที่สุด


การได้มีโอกาสอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ใต้ร่มเงาของดอยเชียงดาวนี้ มีความเงียบ สัปปายะดำรงอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมตัวเอง จึงทำให้จิตใจภายในได้รับความสงบ ร่มเย็นจากปัจจัยภายนอก เป็นใจที่ตั้งมั่นอยู่ภายใน และเป็นผู้รู้ ผู้เห็น การเคลื่อนไหวของกายและการเคลื่อนไหวของจิตใจอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วจิตใจของเรามีความจริงที่ถูกปิดบังซ่อนไว้โดยมีเมฆหมอกแห่งความไม่รู้ขวางอยู่ เราเพียงเฝ้ามองตามรู้ด้วยความเป็นกลาง ตามความเป็นจริง เมื่อเหตุปัจจัยทำงานเมฆหมอกเหล่านี้ก็ค่อยๆ จางหายไปกลายเป็นความรู้ตัวทั่วพร้อมที่ปรากฏออกมาให้เห็นความจริงภายในจิตใจ ดั่งเช่นขุนเขาที่สงบร่มเย็นที่ถูกก้อนเมฆบดบังและถูกเปิดออกให้ได้ยลตามความเป็นไปในความจริง

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา อ่านเรื่องความกลัวของมีนาแล้ว ฉันเริ่มมองมาที่ตัวเองแล้วว่า ฉันกลัวอะไร? มาถึงตอนนี้ก็คิดได้ว่าคงไม่มีความกลัวอะไรที่น่ากลัวไปกว่าการที่เรา “ไม่รู้” ว่าตัวเอง “กลัว” อะไร ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น – ใครสักคนเคยบอกเช่นนั้น ฉันมักเลือกสร้างความกลัวเพื่อให้ตัวเองกล้าหาญ และเอาชนะความกลัวให้ได้ เพราะความกลัวคือสิ่งที่ท้าทายจิตใจและมานะในตัวของฉัน แต่ยังไงก็ตามมีน้อยคนนักที่จะสามารถพัฒนาความกลัวที่มีอยู่ในตนให้กลายเป็นความเข้มแข็งในการดำรงชีวิตบางที เราอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนไม่มีใครเป็นเพื่อนคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา หรือหารือกันเรื่อง “ด้านใน” ของตนก็เป็นได้…
พันธกุมภา
มีนา
ฉันดีใจ...ที่เธอมีคนดูแลระหว่างการเดินทาง แม้ว่าเราจะเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรม คนส่วนมากเขาก็มองว่าเราเติบโตมาในสังคมที่เห็นว่าการชวนดื่มเหล้า การกินอาหารร่วมกันเป็นการให้เกียรติกับผู้มาเยือน การที่เธอกล้าปฏิเสธและอธิบายความเป็นตัวเธอ นับว่าเป็นความกล้าที่จะบอกความเป็นตัวตนด้านดีของตัวเองคนจำนวนมากเกรงใจคนอื่นอย่างน่าเป็นห่วง ฉันเอง...บางครั้งยังไม่กล้าที่จะบอกถึงความเป็นตัวตน หรือความคิดจริงๆ ในเรื่องงาน หลายครั้งเป็นข้อจำกัดขององค์กร สถาบัน และเส้นแบ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้เรา...ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะบอกว่า เราอยากทำงานเพราะคิดถึงคนที่ลำบาก…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา....เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จสิ้น และพยายามที่จะเคลียร์งานทุกอย่างให้แล้วเสร็จก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่า ฉันเดินทางออกจากบ้านที่เชียงรายในวันที่ 24 ธันวาคม 2550 เพื่อมาจัดการงานต่างๆ เอกสารที่คั่งค้างจากการทำวิจัย ช่วงการเดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงรายมายังกรุงเทพฯ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวหลายเรื่อง กลัวรถจะชน กลัวจะมี “มาร” มาขวางไม่ให้ได้ไปปฏิบัติคำว่า “มาร” ในที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่เคยสัมผัสคือ น่าจะมาเป็นลักษณะของอุปสรรค กีดกันไม่ให้เราไปปฏิบัติ อย่างเช่นบางคนพอจะไปปฏิบัติธรรม ก็ป่วยไม่สบาย หรือ ประสบอุบัติเหตุ หรือว่าคนรอบข้างเราเช่น ญาติพี่น้อง ป่วยไม่สบาย…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภา…แม้ว่าฉันจะไม่ได้ไปที่วัดป่าสุคะโตกับเธอ ฉันเห็นบรรยากาศไปพร้อมกับการเล่าสู่กันของเธอ อดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ความกลัว” ตั้งแต่เด็ก เรามักถูกขู่ให้กลัวอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามา รัก ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เด็กเล็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นของตัวเอง เขาเพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่รู้ว่า ไฟมันร้อน น้ำในบ่อมันลึกหรือตื้นเพียงไหน ปลั๊กไฟห้ามเอานิ้วแหย่เข้าไป อาจจะเดินไปไหนไกลๆ โดยพ่อแม่ไม่เห็นแล้วประสบอันตรายสิ่งที่เด็กไม่ได้ประสบกับตัวเอง เด็กไม่รู้ว่าอันตราย ไฟมันร้อน น้ำมันลึก เป็นอย่างไร พ่อแม่จึงมักดึงเอาสัญชาติญาณด้านลึกคือความกลัวออกมา การขู่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่างที่เธอได้บอกฉันนั่นแลว่า กว่าคนเราจะสามารถเอาใจมาอยู่กับกายได้นั้นต้องใช้เวลาและให้โอกาสตัวเองพอสมควร ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยคิดเลยว่าทำไมต้องเอาใจมาอยู่กับกาย หรือเอากายมาอยู่กับใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าควรทำอย่างไร ควรทำเมื่อไหร่บ่อยครั้งที่ “ความสุข” ทางโลก ที่เข้ามากระทบเราทั้งทาง หู ตา จมูก ลิ้น และกาย รวมถึงใจของเรานั้นทำให้เราคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง แต่หารู้ไม่ว่าการที่รับผัสสะเหล่านั้นมาปรุงแต่งก็กลับทำให้จิตใจของเรามีแต่การสร้างกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลายคนที่เข้าถึงธรรมปฏิบัติ บางคนพบว่าความสุขทางโลกไม่ใช่ทางออกหรือคำตอบของชีวิต…
พันธกุมภา
มีนา    ถึง พันธกุมภา ฉันต้องขอบคุณ พันธกุมภา ที่เชื้อเชิญ และพยายามดึงฉันออกมาเขียน แม้ว่าจะถูกบอกว่า "น่าจะเป็นนักเขียนได้..." แต่ฉันยังไม่...แม้แต่ลงมือทำ จะเป็นได้อย่างไร หน้านี้...และหน้าที่นี้ ต้องเป็นความต้องการของพันธกุมภา ที่จะดึงฉันออกมาจากะลาเดิมเป็นแน่ สำหรับฉันแล้ว การเดินทางไปวัดป่าสุคะโต เพื่อพบหลวงพ่อเทียนของเธอ แทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไร หากเราไม่ใช่กัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ฉันสนับสนุนให้เดินทางเพื่อไปเรียนรู้ ให้จิตอยู่กับกาย คนสมัยนี้...ฉันเองก็เป็นคนสมัยนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันของตนเอง ฉันเคยสังเกตตัวเองเมื่อต้องทำงาน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา,ฉันเริ่มเขียน “ธรรมตามใจ” มาได้เพียงไม่นาน ก็พบว่าอันแท้แล้ว ยังมีกัลยาณมิตรทางธรรมอีกหลายคนที่อยู่ในช่วงวัยใกล้ๆ กัน จึงน่าจะชวนกันมาแบ่งปันธรรมปฏิบัติในพื้นที่นี้ร่วมกัน มีนา, เป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่ตอบรับคำเชื้อเชิญจากฉัน – เธอ เป็นผู้หญิงรุ่นพี่ ที่ฉันรู้จักมาค่อนปีทีเดียว ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าเจอกันครั้งแรกที่ไหนอย่างไร เพราะผ่านมาแล้วหลายนาน แต่ก็ไม่เป็นไร คงไม่สำคัญไปกว่าการที่ต่อไปเราทั้งสองจะได้แบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เราต่างปฏิบัติเช่นกันฉันกับเธอ, พันธกุมภากับมีนา, เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา ตัวตนทางโลกของเราอาจมีค่าเฉลี่ยของอายุที่ต่างกันอยู่มาก แต่ในทางธรรมแล้ว…
พันธกุมภา
บุคลิกภายนอกและนิสัยภายในของเขา ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขาจะมีท่าทีสนใจในธรรมะและปฏิบัติเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ หลายๆ คนที่รู้จักเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดที่อยากบวชเรื่องของเขาน่าสนใจตรงที่ว่า อยู่ดีๆ เขาก็บอกกับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันว่าอยากจะบวช เพื่อนคนนี้ของข้าพเจ้า แต่เดิมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมขี้หลีอีกต่างหาก จนวันหนึ่งตัวเองได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา, เวลา 10 วันของการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป เริ่มไม่เที่ยว เริ่มไม่ดื่มเหล้า แต่ยังคงความขี้หลีสาวๆ และสูบบุหรี่อยู่ทุกๆ คนต่างรับรู้อยู่อย่างห่างๆ ว่าเขาตั้งใจปฏิบัติ…
พันธกุมภา
ดูจิต...ดูจิตคืออะไร? ข้าพเจ้ามักสงสัยตลอดเวลา เมื่อมีผู้ใหญ่ได้บอกสอนเรื่องการ “ดูจิต” บางคนถามว่าวันนี้ดูจิตเป็นยังไงบ้าง ดูจิตไปถึงไหนแล้ว แต่ละคำถามเกิดจากการติดตามผลของการปฏิบัติที่พี่ๆ แต่ละท่านต่างเฝ้าสอบถามด้วยความเป็นห่วงวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พบกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันมาเสียนาน ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องการปฏิบัติของข้าพเจ้าให้ผู้ใหญ่ท่านได้รับฟัง และเราก็ได้คุยถึงครูบาอาจารย์ที่สอนการวิปัสสนากรรมฐานแต่ละหนแห่งผู้ใหญ่ท่านนี้ได้แนะนำ และชวนเชิญให้ข้าพเจ้าได้ลองปฏิบัติตามแนวทางของ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ…
พันธกุมภา
- 1 - ข้าพเจ้าได้อ่าน บทเขียนของ “กลางชล” ในนิตยสาร “ธรรมะใกล้ตัว” ฉบับที่ 29 ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 http://www.dungtrin.com/mag  ซึ่งเป็นบทบรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าว ที่ได้พาตัวข้าพเจ้าให้นำใจเข้าศึกษาและเรียนรู้ธรรมะจากนิตยสารธรรมเล่มนี้ในบทบรรณาธิการ “กลางชล” เล่าว่า ได้เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ดังขึ้นจากแผ่นซีดีว่า “การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเองนะ หลวงพ่อจะบอกให้ หลวงพ่อเองตอนอยู่กับโลก ก็ไม่ได้เป็นรองใครหรอก อยู่ในโลกก็มีความสุข แต่แล้วก็พบว่า ความสุขของโลกนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเลย...”อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ถ้าเราเอนท์ติดคณะนั้นคณะนี้…
พันธกุมภา
ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มเข้าใจว่าชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้มีแต่ “ทุกข์” ทั้งๆ ที่หลายเรื่องราว เราสามารถที่จะพบกับความสุขได้โดยไม่ยาก แต่นั้นอาจไม่ใช่ความสุขที่นำไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริงชีวิตอย่างช่วงวัยของข้าพเจ้านั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่เข้ามากระทบ ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายและบางคราก็ไม่สามารถที่จะหาทางออกไปสู่เส้นทางแห่งความสงบสุขได้อย่างแท้จริง ความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักแล้วว่า ควรจะนำพาชีวิตของตนเองให้พบกับความสุข-สงบ-เบิกบาน อย่างเอาจริงเอาจังเสียแต่โดยพลัน แม้ว่าที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พาตัวเองเข้าไปสู่เส้นทางของความบันเทิงเริงใจ เที่ยวผับ เธค…